ซุนจื่อเชียนถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วถาม
ซูเสี่ยวลู่พยักหน้า
ซุนจื่อเชียนจึงพาซูเสี่ยวลู่ไปด้วยกัน
เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว เหลียนซื่อก็เดินออกมาจากมุมตึก นางมาถึงได้สักพักแล้ว ได้ยินบทสนทนาระหว่างซูเสี่ยวลู่และซุนจื่อเชียน ที่นางไม่เข้าไปก็เพราะรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
เรื่องนี้ ซุนจื่อเชียนก็จะบอกนางเอง
เมื่อรู้ว่าเขากำลังวุ่นวายกับเรื่องนี้ เหลียนซื่อก็วางใจรอ
......
หลินผิงเซิงรออย่างร้อนใจอยู่ในโถงรับแขก บ่าวรับใช้นำน้ำชามาให้ เขาก็ไม่ได้แตะต้อง หรือแม้แต่นั่งลงก็ไม่เคย
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา หลินผิงเซิงก็ตึงเครียดไปทั้งร่าง
ก่อนหน้านี้ เขาครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่ในใจมาโดยตลอด เขามีคุณสมบัติอะไรบ้างที่จะขอรับการรักษา คิดไปคิดมา เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่าขันยิ่งนัก
เขามีความรู้ความสามารถ แต่เขาไม่มีเงิน
ใช้ชีวิตมาสี่สิบหกปี หลินผิงเซิงเพิ่งตื่นรู้ว่าที่ผ่านมานั้นสูญเปล่า เขาเพิ่งเข้าใจ ความหมายของประโยคสุดท้ายที่สหายเพียงหนึ่งเดียวในเมืองหลวงเอ่ยอำลา
สายลมพัดผ่านไป ย่อมเห็นบาดแผลทุกหย่อมหญ้า
จิตใจมนุษย์อัปลักษณ์ ยังคงมีจิตใจอันบริสุทธิ์ดุจทารก
น่าเสียดายที่เขาเข้าใจช้าเกินไป
สายลมในใจของเขา จนกระทั่งบุตรสาวนอนจมกองเลือด เขาจึงมองเห็นชัดว่า หลังจากสายลมพัดผ่านไป สถานที่ที่เขาไม่เคยมองเห็น ล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล
และบัดนี้ เขาควรใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีเพื่อชดเชยความผิดเหล่านั้น
เมื่อซุนจื่อเชียนและซูเสี่ยวลู่เดินเข้ามาในโถงรับแขก หลินผิงเซิงก็ตกตะลึง
ซุนจื่อเชียนเอ่ยกับหลินผิงเซิงว่า “อาจารย์หลิน นี่คือหมอเทวดาซูเสี่ยวลู่ที่รักษาซ่านเอ๋อร์และเชี่ยนเอ๋อร์ อาจารย์ของนางก็คือหมอเทวดาคนก่อนแห่งสำนักหมิงกู่ อย่าเห็นว่านางอายุเพียงสี่ขวบกว่า แต่นางสำเร็จวิชาแล้ว”
หลินผิงเซิงละสายตาที่ตื่นตะลึง กล่าวด้วยความรู้สึกผิด “เมื่อวานข้าได้พบนางแล้ว”
ในใจของหลินผิงเซิงยากที่จะสงบนิ่งได้ แต่บางครั้งโชคชะตาก็มักเล่นตลกเช่นนี้
ซุนจื่อเชียนก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่คิดว่าหลินผิงเซิงและซูเสี่ยวลู่จะเคยมีวาสนาต่อกัน แต่เมื่อเห็นหลินผิงเซิงตกตะลึงเช่นนี้ ในใจก็มีแต่เสียงถอนหายใจ
ผู้คนอ้อนวอนต่อเทพเจ้า แต่เมื่อเทพเจ้าอยู่ข้างกาย ผู้คนก็มักจะไม่เชื่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยนำโชคของครอบครัวชาวนา