เหลิ่งชิงฮวนรู้สึกพูดไม่ออกจริงๆกับกฎที่เพี้ยนของราชวงศ์ แต่ก็ต้องทำใจเชื่อฟังกฎเหล่านั้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่บีบคั้นของพระสนมฮุ่ยเฟย จึงพูดไม่ออกขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดี
ครั้งก่อนมู่หรงฉีแก้ตัวโดยอ้างอาการบาดเจ็บของนาง จึงทำให้ทั้งสองไม่เคยร่วมหอด้วยกันมาก่อน ตอนนี้ตัวนางจะทำอย่างไรดี?
“กราบร...เรียนเสด็จแม่ เป็นลูกเองที่ไร้ความสามารถ ไม่สามารถเป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องได้ สำหรับท่านอ๋องแล้ว ดูเหมือนจะไม่พอใจในตัวชิงฮวนนัก”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” พระสนมฮุ่ยเฟยขึ้นเสียงขึ้นมากะทันหันและถามอย่างมีความหมายแอบแฝง “อย่าได้บอกข้าว่า ท่านอ๋องรังเกียจที่จะแตะต้องตัวเจ้า หรือว่ามีสาเหตุอื่นใดกันแน่?”
เหลิ่งชิงฮวนและเหลิ่งชิงหลางทั้งสองคนคุกเขาลงพร้อมกัน คนหนึ่งกระวนกระวาย ส่วยอีกคนหนึ่งกำลังได้ใจ
“ขอให้เสด็จแม่โปรดประทานอภัย”
“ฮึ!” พระสนมฮุ่ยเฟยตะคอกออกมาอย่างเย็นชา และพุ่งเป้ามาที่เหลิ่งชิงฮวน “นับตั้งแต่พวกเจ้าแต่งงานกันก็เกือบจะสองเดือนแล้ว เวลานานขนาดนี้ จะไม่เคยรับใช้สามีตัวเองได้อย่างไร? ท่านอ๋องจะแต่งเจ้าเข้ามาในจวนไปทำไมกัน? ให้มาว่างงาน เป็นของประดับตกแต่งอย่างงั้นหรือ?”
แต่ละประโยค ช่างบีบคั้นยิ่งนัก
เหลิ่งชิงฮวนเม้มริมฝีปากแน่น “ท่านอ๋องรังเกียจหม่อมฉัน หม่อมฉันเองก็ทบทวนตัวเองอยู่เสมอ รู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรกับตำแหน่งนี้ ไม่คู่ควรกับตำแหน่งพระชายาของจวนอ๋องฉีเพคะ”
เอ่ยมาเพียงประโยคเดียวก็ทำเอาพระสนมฮุ่ยเฟยไม่รู้ว่าควรจะตำหนิต่ออย่างไรดี
คนงามพูดขัดจังหวะขึ้นมาในเวลาที่ประจวบเหมาะพอดี “พระชายาเข้าใจความลำบากใจของพระสนมฮุ่ยเฟยผิดไปแล้วเจ้าค่ะ พระสนมฮุ่ยเฟยมีเจตนาเพียงแค่ต้องการลดความบาดหมางเมื่อครั้งก่อนระหว่างท่านกับท่านอ๋องให้เร็วที่สุดก็เท่านั้น ทำไมท่านถึงได้อยากหลีกทางไปเองเสียเล่า?”
การยุแยงตะแคงรั่วยิ่งทำให้เรื่องใหญ่โตขึ้นไปอีก จากเรื่องหนึ่งก็กระทบกระทั่งไปถึงเรื่องอื่น ๆ ได้ เหลิ่งชิงฮวนยังไม่ทันได้พูดอะไร นางก็แทบอดใจรอไม่ไหวเสียแล้ว
“ดูเหมือนพระชายาจะไม่พอใจลูกชายฉีเอ๋อร์ของข้ามากนัก แม้ว่าจะเป็นแตงยังไม่ได้ทีฝืนเด็ดออกมาจากต้นย่อมไม่หวาน ต่างคนก็ต่างใจ” พระสนมฮุ่ยเฟยมีสีหน้าอึมครึม “แท้จริงแล้วเป็นลูกชายฉีเอ๋อร์ของข้าที่ไม่ต้องการแตะต้องเจ้า หรือว่าเป็นเจ้าที่ไม่เต็มใจรับใช้ฉีเอ๋อร์ ยังต้องคุยหารือกันต่อไป”
เหลิ่งชิงฮวนสัมผัสได้ถึงความหมายในคำพูดของพระสนมฮุ่ยเฟย และมักรู้สึกว่าวันนี้คำพูดของนางแอบจิกกัดเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าในคําพูดมีนัยบางอย่างอยู่
“ชิงฮวนไม่กล้าเพคะ”
“ไม่กล้า?” พระสนมฮุ่ยเฟยส่งเสียงขึ้นจมูกเขาๆ “ในใต้หล้านี้มีเรื่องอะไรที่เจ้าไม่กล้าทำอีกหรือ? เหอะๆ วันนี้หากข้ากลับไปมือเปล่า จะไม่ทำให้บรรดาพระสนมองค์อื่นในวังหัวเราะเย้ยหยันจนฟันหลุดออกจากปากหรอกหรือ นี่เป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เกรงว่าคงไม่มีเรื่องหายากเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อนเป็นแน่ ใครจะไปเชื่อว่าเวลานานขนาดนี้แล้วยังไม่ร่วมหอกันอีก? คนที่ไม่รู้ บางที่เขาอาจเข้าใจผิดว่าฉีเอ๋อร์ของข้าแต่งกับพระชายาที่ไม่บริสุทธิ์เสียได้ ดังนั้น จึงมอบผ้าแสดงพรหมจรรย์ออกมาไม่ได้!”
เหลิ่งชิงหลางยิ้มน้อยๆ ลบทิ้งความเย็นยะเยือกให้หายวับไปพร้อมเอ่ยขึ้น “พระสนมได้โปรดตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยเถิด ท่านพี่ของข้าประพฤติตัวในระเบียบและกฎข้อบังคับอยู่เสมอ ทั้งการกระทำและวาจาไม่เคยทำไม่ดีเลย หากท่านไม่เชื่อสามารถตรวจสอบแต้มพรหมจรรย์ของท่านพี่ข้าได้ สิ่งนั้นสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์นั้นได้”
ร่างกายของเหลิ่งชิงฮวนสั่นเทา สิ่งที่ควรจะเกิดยังไงก็หยุดยั้งไม่ได้สินะ เหลิ่งชิงหลางจะปล่อยโอกาสดีๆเช่นนี้หลุดไปได้อย่างไร?
พระสนมฮุ่ยเฟยชำเลืองมองทั้งสองคนด้วยความสนอกสนใจ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “จริงหรือ?”
เหลิ่งชิงหลางเงยหน้าขึ้นมา “หม่อมฉันไม่กล้าทูลหลอกลวงพระสนมฮุ่ยเฟยเป็นแน่ ลูกสาวตระกูลเหลิ่งของกระหม่อมตั้งแต่เด็กจะประทับแต้มพรหมจรรย์เอาไว้ มองปราดเดียวก็รู้”
พระสนมฮุ่ยเฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือไปมา คนรับใช้ทั้งหลายถอยกลับไปทันทีอย่างรู้งาน
เหลิ่งชิงฮวนคุกเข่าอยู่บนพื้น กัดฟันแน่นอย่างเงียบๆ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปชั่วขณะหนึ่ง จะเล่าเรื่องทั้งหมดออกไปหรือถ่วงเวลาเอาไว้ดีนะ? พระสนมฮุ่ยเฟยมาที่นี่เห็นได้ชัดว่าเตรียมการมาอย่างดี จะต้องมีคนนินทาลับหลังเป็นแน่ ย่อมไม่มีทางยอมปล่อยไปง่ายๆ
พระสนมฮุ่ยเฟยมองนางอย่างเย็นชา “ที่นี่ไม่มีคนนอกแล้ว ข้าที่อยู่ในฐานะเสด็จแม่คนนี้จะลงมือตรวจสอบเอง คงไม่ถือว่าเป็นการทำให้พระชายาอับอายใช่หรือไม่?”
เหลิ่งชิงฮวนกัดฟัน และเงยหน้าขึ้นมาพูดอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ต้องตรวจสอบหรอกเพคะ แต้มพรหมจรรย์ของหม่อมฉันไม่มีแล้วเพค่ะ”
สายตาของทั้งสามคนมองมาที่เหลิ่งชิงฮวนพร้อมกัน
เหลิ่งชิงหลางรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งในทันที แต่แกล้งทำท่าทางประหลาดใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร? ท่านพี่กับท่านอ๋องไม่เคยร่วมหอกันเสียหน่อย”
“เรื่องซุบซิบและข่าวลือในวังพวกนั้นไม่ใช่คำร่ำลือที่ไม่มีหลักฐานจริงอย่างที่คาดไว้” พระสนมฮุ่ยเฟยมีสีหน้าเย็นยะเยือก ตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน เลิกคิ้วขึ้น เครื่องประดับที่อยู่บนศีรษะส่งเสียงดังกระชอน “ลูกสาวที่ได้รับการสั่งสอนเลี้ยงดูมาอย่างดีจากจวนมหาเสนาบดี ทำเรื่องอื้อฉาวผิดธรรมเนียมแบบนี้ ยังสามารถทำลอยหน้าลอยตาได้อีก!”
ของสกปรกเช่นนี้ไม่มีใครเต็มใจที่จะจ้องมองอย่างละเอียด พระสนมฮุ่ยเฟยเพียงแค่เหลือบมองมันแป๊บเดียวแล้วก็หันไปมองทางอื่น
หญิงงามจ้องเขม็งที่ผ้าทรงสี่เหลี่ยมนั้นไม่วางตา และกัดริมฝีปากล่างอย่างแน่น สีหน้าแสดงออกอย่างไม่เต็มใจ ดวงตาลุกเป็นไฟ แม้แต่มือที่กำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ยังกำแน่นจนข้อต่อกลายเป็นสีขาว
เหลิ่งชิงหลางโพล่งออกมาอีกครั้ง “เป็นไปไม่ได้! ท่านอ๋องกับท่านพี่ไม่เคยอยู่ร่วมหอกัน จะไปมีผ้าแสดงพรหมจรรย์ได้ยังไงกัน?”
ในเวลานี้เหลิ่งชิงฮวนก็ได้สติกลับคืนมา จึงยิ้มอย่างเย็นชา “ข้ากับท่านอ๋องร่วมหอกันเมื่อใด ยังต้องรายงานเจ้าให้รู้ด้วยหรือ?”
แม้ว่าพระสนมฮุ่ยเฟยจะประหลาดใจ แต่เห็นได้ชัดว่ารู้สึกโล่งใจออกมา “ยังต้องรายงานวันที่ที่แน่นอนให้ฝ่ายจัดการบันทึกการร่วมห้องในวังได้ทราบ แม่นมเตียว รายละเอียดคือวันไหน?”
“รายละเอียดของวันขอบ่าวทบทวนความทรงจำก่อนเพคะ”
“ท่านอ๋องไม่เคยไปค้างแรมที่ตำหนักฉาวเทียนสักครั้ง” เหลิ่งชิงหลางโต้กลับไปอย่างมั่นใจ
“บ่าวจำได้รางๆว่า เหมือนพระชายารู้ว่าท่านอ๋องชอบทานเต้าหู้เหม็น จึงตั้งใจไปหาซื้อกลับมาสองกระป๋อง ท่านอ๋องรู้สึกซาบซึ้งจนใจอ่อน คืนนั้นจึงพำนักอยู่ที่ตำหนักฉาวเทียนทั้งคืน คนในจวนต่างรู้กันดี”
แม่นมเตียวพูดเรื่องไร้สาระได้อย่างจริงจัง จนทำให้เหลิ่งชิงฮวนอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา
“โกหก วันนั้นพี่สาวกับสาวใช้นั้น...”
แม่นมเตียวพูดตัดบทนางด้วยความไม่พอใจ “หากพระสนมฮุ่ยเฟยไม่เชื่อ สามารถสอบถามท่านอ๋องเป็นการส่วนตัวได้ บ่าวไม่กล้าพูดจาเลอะเทอะออกมาหรอกเพคะ ส่วนสิ่งที่พระชายารองสงสัย บ่าวเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ทำไมถึงต้องมาบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อทำลายชื่อเสียงของพระชายาของบ่าวด้วย สำหรับท่านแล้ว ไม่น่าจะมีประโยชน์อะไรเลยนะเพคะ”
เหลิ่งชิงหลางรู้สึกอึ้งเล็กน้อย แม้ว่าแม่นมเตียวจะกล้าหาญเพียงใด นางคงไม่กล้ามาพูดแทนเหลิ่งชิงฮวนด้วยตัวเองเช่นนี้ หรือว่าจะได้รับคำสั่งจากมู่หรงฉีมา ให้มาปกป้องเหลิ่งชิงฮวนงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นหากตัวเองบอกความจริงเรื่องที่เหลิ่งชิงฮวนสูญเสียพรหมจรรย์ออกไป ไม่เท่ากลับเป็นการสร้างความโกรธเคืองให้กับมู่หรงฉีหรอกหรือ?
จัดการศัตรูได้หนึ่งพัน แต่ฝั่งตนเองกลับต้องสูญเสียไปแปดร้อยนายเช่นนี้ ช่างไม่คุ้มค่าจริงๆ เหลิ่งชิงหลางจึงเลือกที่จะหุบปากไม่พูดอะไรออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา
แอดขาาาาาา หนีเที่ยวพอหรือยัง มาต่อให้จบบบบบบ...
แอดขาาาาาา 794 และ 797 ตกหล่นหายไปคะแอด ช่วยเก็บมาหน่อยคะ คิคถึงงงงงงงงงง...
แอดขาาาาาา ตอน794และ797 หายไปคะ แอดทำตกหล่นช่วยเก็บกลับมาหน่อยคะ...
อยากทราบว่ามีทั้งหมดกี่ตอนคะ....
หยุดนานแล้วนะคะ ผู้เขียน มีอัพเดทต่อไหมคะ...
ขอบคุณทุกๆๆคนนะคะที่มาบอก แต่พอให้เตรียมทิชชู่นี่ปวดตับ ปวดใจก่อนล่ะ...
อยากรู้จังว่าพระเอกรู้ความจริงว่าผู้หญิงในคืนนั้นเป็นนางเอกตอนไหนคะ ใครอ่านแล้วบอกหน่อยค่ะรบกวนสปอยหน่อยยย...
ขอบคุณนะคะที่หานิยายสนุกๆๆมาให้อ่าน จะรออ่านทุกวันค่ะ...
ขอบคุณมากๆค่ะที่อัพเดทต่อจะตั้งใจอ่านต่อไป...ตอนเรียนยังไม่ตั้งใจขนาดนี้🤗😘😄😅😊...
อย่าเท..กลางทาง..นะแอดนะ😁😁😁...