ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา นิยาย บท 434

หมอใหญ่พูดออกมาอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ประเด็นหลักก็คืออาการของโรคนี้ค่อนข้างซับซ้อน พวกกระหม่อมเองก็ไม่กล้ารับประกันว่าหากกินยานี้เข้าไปแล้วจะช่วยรักษาได้”

“ถ้าหากไม่มั่นใจเช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหลายก็ทดลองดูก่อนแล้วค่อยถวายให้พระชายากิน” ฮ่องเต้มีรับสั่ง

พวกหมอหลวงทั้งหลายต่างพากันกลุ้มใจอย่างมาก พวกเขาไม่ได้กลัวที่จะทดลองกิน แต่ประเด็นสำคัญก็คือไม่มีใครในที่นี้เคยเป็นโรคนี้มาก่อนนะสิ?

รองแม่ทัพอวี๋นึกถึงหนูทดลองอย่างฉีจิ่งอวิ๋นได้ขึ้นมา จึงเอ่ยพูดออกมาอย่างระมัดระวัง

เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายจึงเริ่มวางใจและเริ่มลงมือได้ ต่างพากันรวบรวมสติปัญญาของแต่ละคน และสั่งให้ขันทีทั้งหลายไปต้มยามาคนละหนึ่งชาม ต้มมาได้ทั้งหมดหกชาม จากนั้นก็ทำการบีบจมูกฉีจิ่งอวิ๋นแล้วกรอกลงไปให้เข้าดื่ม กรอกลงท้องจนพุงกางไปเลย ดื่มให้มากกว่าฟองสบู่เมื่อวานเสียอีก

หลังจากดื่มเข้าไป ได้ยินเสียงท้องของเขาร้องครวญครางและได้ดันกลิ่นเน่าออกมา แต่ก็ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ายาหลอนประสาทที่ถูกปรับปรุงโดยเหลิ่งชิงฮวนนั้นมีฤทธิ์ร้ายกาจมากมายเพียงใด

ในสามคนนี้คนที่ตื่นขึ้นมาก่อนเป็นคนแรกก็คือโฉวซือเส่า

ประการแรกก็คือเขามีวรยุทธ์สูงส่งและอีกประการก็คือตัวเขายืนอยู่ข้างนอกรถจึงสูดยาลงไปเพียงเล็กน้อย

แน่นอนยังมีเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ มู่หรงฉีมัวแต่เป็นห่วงภรรยาขอตัวเองเท่านั้น ปล่อยทิ้งเขาท่ามกลางหิมะอยู่เป็นเวลานาน จนร่างกายแข็งอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่เพื่อความเท่แล้วเขายอมที่จะหนาวตาย ถึงกลับโยนเสื้อกันหนาวหนังแกะที่ทนต่อความหนาวได้มากที่สุดทิ้งไปแล้ว จึงต้องทนหนาวเหน็บอย่างนั้นจนตื่นขึ้นมาเอง

เขาลืมตาขึ้นมาประโยคแรกที่ถามก็คือ “พระชายาล่ะ?”

“ถูกท่านอ๋องฉีพาตัวกลับไปแล้วขอรับ”

“มู่หรงฉีล่ะ?”

ลูกน้องมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย รู้สึกว่าเขาอาจจะสมองเบลอไปแล้ว “ท่านอ๋องฉีพาพระชายาฉีกลับไปแล้ว”

“ฉีจิ่งอวิ๋นล่ะ?”

“คนของท่านอ๋องฉีพาตัวกลับไปแล้วขอรับ”

“แล้วทิ้งข้าเอาไว้คนเดียวงั้นสิ?”

ลูกน้องมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจอีกครั้ง “โชคดีที่พวกเราตามมาด้วยขอรับ”

ไม่เช่นนั้นก็คงกลายเป็นศพในสถานที่อันเวิ้งว้างแห่งนี้ไปแล้ว

โฉวซือเส่าแอบด่าในใจเงียบ ๆ “ถ้าเช่นนั้นพระชายาไม่เป็นไรอะไรใช่หรือไม่?”

“พวกท่านทั้งสามคนล้วนสลบไปพร้อมๆกัน ได้ยินมาว่าตอนนี้พระชายาฉียังไม่ได้สติ ทำให้ท่านอ๋องฉีร้อนรนใจจนแทบจะเป็นบ้าแล้วขอรับ”

“ยังไม่ฟื้นหรือ?”

“ขอรับ สร้างความตกใจให้กับฝ่าบาทและไทเฮา จนต้องพาพวกหมอหลวงแห่มาตรวจอาการ และยังอารมณ์เสียเอามากๆขอรับ”

โฉวซือเส่าลุกขึ้นมาเพราะรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย อยากจะไปดูเหลิ่งชิงฮวนเสียหน่อย แต่เดินไปสองก้าวเท่านั้นก็ต้องเดินกลับมา

“เรื่องอะไรข้าต้องไปดูด้วย? ในเมื่อข้าปลอดภัยดี ก็แสดงให้เห็นว่ายานี้ต้องไม่เป็นไรแน่นอน ตัวข้าเองยังสามารถฟื้นขึ้นมาได้ ถ้าข้าไปละก็ มู่หรงฉีก็จะโล่งใจลงไม่ใช่หรอกหรือ? เดี๋ยวอีกสักพักถ้าหากมีคนจากจวนท่านอ๋องมาถามหาข้า ว่าข้าฟื้นแล้วหรือยัง เจ้าก็บอกพวกเขาไปว่า สภาพของข้าย่ำแย่มาก กระอักเลือดออกมาเยอะมาก เกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว ข้าจะทำให้มู่หรงฉีกระวนกระวายตายไปเลย แม่งสิ ใช้จนหมดประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งกันได้”

ลูกน้องไม่กล้าปฏิเสธ แม้จะรู้สึกว่าเจ้านายของตัวเองค่อนข้างงี่เง่า ใครที่ไหนจะสาปแช่งตัวเองว่ากำลังจะตายกันเล่า

โฉวซือเส่าเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “มีความคืบหน้าเกี่ยวกับพรรคนกอินทรีบ้างหรือไม่?”

“รายงานนายท่าน พวกเราไม่พบสิ่งใดในบ้านพักบนภูเขาเลยและไม่พบสิ่งมีค่าอะไรด้วย เพราะว่ามีคนชิงลงมือก่อนพวกเราหนึ่งก้าวขอรับ”

นามผู้เขียน น่าจาอี๋นั่ว

โฉวซือเส่ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะคนที่เหลิ่งชิงฮวนไว้วานให้ไปหา กลับยังไม่ออกจากเมืองหลวงไปไหนมาอยู่ใต้จมูกตัวเองเสียได้ และตัวเองกลับยังไม่รู้อะไรเลยสักนิด แถมยังถูกนางหลอกตลบหลังจนเละอีก

ถ้าจดหมายนี้ถูกส่งออกไป ตัวเองคงถูกทำให้ขายหน้าเป็นแน่

นางเป็นแค่คนในลัทธินักบุญหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง จะมาเล็งข้อมูลพวกนี้เพื่ออะไร? แล้วไปรู้เรื่องนี้มาจากที่ใด? ดูจากคำพูดพวกนี้ก็รู้ได้เลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายน่าจะออกจากเมืองหลวงไปแล้ว หากคิดจะตามไปก็คงจะหาไม่เจอเสียแล้ว

โลกนี้มันอะไรกัน พวกผู้หญิงทำไมถึงได้บ้าคลั่งได้ขนาดนี้?

โฉวซือเส่าถอนหายใจยาวๆ “คว้าน้ำเหลวสินะ”

ลูกน้องหัวเราะคิกคักออกมา “ก็ไม่นับว่าคว้าน้ำเหลวทีเดียว อีกฝ่ายถึงแม้จะโชคดีหนีรอดคมดาบไปได้ แต่บังเอิญถูกพวกเราจับเอาไว้ได้ คนผู้นี้เป็นบุคคลที่มีฝีมือและค่อยติดตามเจ้าสำนักอินทรีทองมาโดยตลอด เราได้รับเบาะแสบางอย่างจากปากของเขามา”

โฉวซือเส่ากระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วมัวตะลึงอะไรกันอยู่เล่า? รีบลงมือก่อนถึงจะได้เปรียบ หากลงมือทีหลังจะเสียเปรียบได้ ฉวยโอกาสตอนที่เหลิ่งชิงฮวนยังไม่ตื่นขึ้นมา มู่หรงฉีไม่สนใจสิ่งอื่นใด พวกเราต้องรีบคิดหาวิธีรวบรวมข้อมูลทั้งหมดของเฟยอิงเว่ยมาอยู่ในมือ จะได้รวยกันแล้ว!”

ต่อมาเป็นไปตามที่โฉวซือเส่าคาดการณ์เอาไว้ทั้งหมดไม่มีผิด เหลิ่งชิงฮวนยังคงหมดสติไม่ฟื้น มู่หรงฉีก็ร้อนใจดุจดังไฟเผาไหม้ ส่งคนมาที่หอหงปินเพื่อสอบถามสถานการณ์ของโฉวซือเส่า

ผู้ดูแลหอหงปินเอะอะโวยวายยกใหญ่ “นายท่านของพวกเราใกล้จะไม่ไหวแล้ว ได้ยินมาว่าอาเจียนเป็นเลือดออกมาหลายกอง มีเพียงแค่หายใจออกมา ไม่แม้แต่จะหายใจเข้าไป ท่านมาเร็วไปหนึ่งก้าว หากมาช้ากว่านี้เล็กน้อย ก็ไม่สามารถมามือเปล่าได้แล้ว ต้องนำกระดาษที่จะเผามาด้วย”

คำพูดประโยคเดียวสร้างความตกใจให้กับคนที่เดินทางมาสอบถามจนลมแทบจับ เขารีบกลับไปรายงานให้มู่หรงฉีทราบทันที

ฮ่องเต้ชี้หน้าและตะโกนด่าว่าเขา” แม้แต่ภรรยาและลูกของตัวเองเจ้ายังปกป้องได้ไม่ดี ปล่อยให้ชิงฮวนตกอยู่ในอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าดูความไม่เอาถ่านของเจ้าสิ คุกหลวงของข้ายังจะปลอดภัยกว่าจวนอ๋องฉีของเจ้าเสียอีก”

ฮองไทเฮาก็ไม่สงสารหลานชายตัวเองอีกแล้ว เพราะว่ามีหลานชายอยู่หลายคนแล้ว แต่เหลนชายในตอนนี้มีเพียงคนเดียว “ลองนับวันดูแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานจะคลอดออกมาแล้ว ข้ากำชับเจ้าเป็นพัน ๆ ครั้ง บอกให้เจ้าดูชิงฮวนให้ดี ๆ ไปไหนมาไหนต้องมีผู้ติดตามไม่ต่ำกว่าห้าคน แต่เจ้ากลับทำงามหน้า ทำให้ชิงฮวนโมโหจนต้องหนีไป”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติเวลามาเป็นชายา