ทะลุมิติทั้งครอบครัว นิยาย บท 192

เซี่ยเหวินหยวนพาเด็กรับใช้ เริ่นจื่อเซิง เริ่นหลี่เจิ้ง ทั้งสี่คนไม่คิดว่าท่านลุงคนนั้นจะบอกว่าไปทำงานก็ไปทำงานจริงๆ พูดเสร็จก็ปล่อยพวกเขานั่งอยู่ตรงนั้น

และยังตะโกนด่าเสียงดังจากข้างนอกดูคล้ายกับด่าให้พวกเขาฟัง “เหมือนดังกระต่ายหมายจันทร์ ยากจนจนไม่เหลือแม้แต่ขนเส้นหนึ่ง ยังจะมามุงดูอะไร ไม่รีบไปทำงาน”

ก่อนหน้านั้นเริ่นหลี่เจิ้งแอบมองสีหน้าของเซี่ยเหวินหยวน แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจว่าเซี่ยเหวินหยวนจะอยู่ในเหตุการณ์หรือไม่ เขาพึมพำกับเริ่นจื่อเซิง

“ลูกชายใหญ่ เจ้าทำผิดแล้ว เจ้าพูดเรื่องนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าแค่พูดบอกไปว่าเอาเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์มาให้พวกเขาแล้ว พวกเขารับก็น่าจะเพียงพอแล้ว พวกเราก็ควรกลับได้แล้ว เจ้าดูคุณชายเซี่ยต้องมาลำบากขนาดนี้ พวกเรารีบกลับกันเถอะ”

เริ่นจื่อเซิงยังไม่โกรธ เซี่ยเหวินหยวนกลับโมโหจนหัวเราะออกมา ตอนนี้เขาอยากจะฟันพ่อสามีของน้องสาวมากที่สุดแล้ว

คนโง่ถึงมีการกระทำที่โง่เขลา

เริ่นจื่อเซิง “หยุดพูดเถอะ ท่านพ่อ” เขาหมดความอดทนแล้ว

ครั้งนี้เขาพบว่า ท่านพ่อของเขาทำเรื่องอะไร มักจะไม่ครุ่นคิดก่อน

ทำไมเขาถึงต้องมาด้วยตนเอง เขามองทางพี่ชายของภรรยาแล้ว นี่คงเป็นเพราะจวนโหวให้ลงมาดูเหตุการณ์ด้วย

พวกเขากลัวคนกลุ่มอพยพลี้ภัยพวกนี้หรือ?

ถ้าเป็นแค่คนอพยพลี้ภัยธรรมดาถึงจะถูกเอาเปรียบจะสามารถทำอะไรได้

ถึงแม้หน่วยงานรัฐจะมีหนังสือเรื่องทุจริตเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ เขาก็ไม่กลัว อย่างมากก็นำรถหลายคันขนเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์มาให้ก็สามารถทำให้คนพวกนี้ปิดปากลงได้

แต่ตอนนี้เขากับพี่ชายของภรรยามาดูเหตุการณ์ด้วยตนเองและมาตกน้ำเช่นนี้ มีสภาพร่างกายเปียกปอนแบบนี้ เกรงว่าเบื้องหลังของคนพวกนี้คงเป็นจวนกั๋วกง

จะส่งเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์เสร็จแล้วก็จบเรื่องได้อย่างไร

ถ้าทำตามคำพูดนั้น

อย่ามองเพียงแค่ขนเสบียงอาหารมาให้ช้าไปหนึ่งวัน แต่ก็ต้องทำให้คนพวกนี้พอใจ ไม่…ถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือ จะต้องให้คนที่ไปร้องเรียนกับจวนกั๋วกงพึงพอใจ มิเช่นนั้นถึงแม้จะส่งเสบียงอาหารมาให้หลายคันรถก็ไม่มีประโยชน์

แต่เริ่นจื่อเซิงก็คิดไม่ออก กลุ่มคนอพยพลี้ภัยจะรู้จักคนตระกูลลู่และสามารถบอกกล่าวได้อย่างไร

…………

ครอบครัวของซ่งฝูเซิงทั้งสี่คนลงจากรถลากเกวียนตรงปากทางถนนที่ตัดกันระหว่างอำเภออวิ๋นจงกับอำเภอถงเหยา

ท่านคหบดีจะให้รถลากเกวียนส่งพวกเขาจนถึงที่ แต่ซ่งฝูเซิงปฏิเสธบอก ไม่อยากรบกวนมากไป เส้นทางเดินเหลือไม่ไกล พวกเราแบกของเดินไปก็ได้ มิเช่นนั้นหากท่านส่งพวกเราเสร็จ พวกท่านจะมองไม่ค่อยเห็นทาง แต่อำเภออวิ๋นจงของพวกท่านไกลมาก

ท่านคหบดีพูดไม่ชนะซ่งฝูเซิง

ภรรยาของท่านคหบดีตะโกนบอกเฉียนเพ่ยอิง “บอกแม่ของเจ้า อีกไม่กี่วันข้าจะไปเยี่ยมนาง”

สองฝ่ายกล่าวอำลากัน

ซ่งฝูเซิงแบกหมี่โซ่ว เฉียนเพ่ยอิงแบกฝ้าย ซ่งฝูหลิงแบกของกินและผ้า ทั้งสี่คนเดินหนึ่งชั่วยามกว่าถึงเดินมาถึงปากทางหมู่บ้าน

เพิ่งเข้าหมู่บ้านมา สี่คนก็รู้สึกว่า วันนี้ดูผิดปกติไปหน่อย

เพราะตลอดทางมีคนทักทายพวกเขาไม่ขาดสาย

“เพิ่งกลับมาหรือ ไปทำอะไรมา?”

“ไอ้หยา นี่เพิ่งกลับจากอำเภอถงเหยามาหรือ? ซื้อของมามากมาย มิน่าพวกเจ้าถึงได้กลับมาป่านนี้”

และยังมีคนปากไวรีบบอกกับซ่งฝูเซิงว่าสะพานขาดแล้ว ตอนนี้ต้องนั่งแพไม้ข้ามแม่น้ำ

และยังบอกอย่างละเอียดว่า ก่อนหน้านี้เริ่นหลี่เจิ้งตกลงไปในแม่น้ำ ลูกชายคนโตของเริ่นหลี่เจิ้งก็ตกลงไปเช่นกัน และพี่ชายลูกสะใภ้ของเริ่นหลี่เจิ้งกับผู้ติดตามก็ตกลงไปด้วย

รู้ว่าพี่ชายของลูกสะใภ้คนโตของเขาเป็นใครไหม? จวนโหว ตอนท้ายพวกเขาถูกคนของพวกเจ้าเข้าไปช่วยเหลือ พวกเจ้าช่างจิตใจดีเหลือเกิน อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ ถูกแล้ว พวกเขาตกน้ำก็เพราะจะไปที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ตรงนั้น

มีหลายคนบอกเล่าให้ซ่งฝูเซิงฟัง และถามกลับซ่งฝูเซิง “พวกเขาไปสถานที่นั้นของพวกเจ้าทำไม รู้หรือไม่?”

“ข้าไม่รู้ พวกข้าก็เพิ่งกลับมา” ซ่งฝูเซิงพูดโกหกอย่างชำนาญ

“อ๋อ งั้นรีบไปเถอะ เร็วเข้า มีแพไม้จากฝั่งตรงข้ามมารับพวกเจ้าแล้ว”

เมื่อมองออกไปก็เห็นแสงไฟที่ถูกจุดขึ้นมาบนแพไม้ส่องแสงสว่างไสวกำลังถ่อแพมาฝั่งพวกเขา

ทั้งสี่คนกำลังรอแพไม้เข้าฝั่งมารับ และเห็นรถม้ากับคนบังคับม้าก็ไม่ได้แปลกใจเท่าใดนัก

แต่มีสองเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

ซ่งฝูหลิงพูด “สะพานขาดหรือ? ขาดได้ถูกเวลาจริงๆ”

เฉียนเพ่ยอิงพูดขึ้น “วันนี้ที่ออกไปซื้อเสบียงอาหาร ซื้อผักก็คงลำบากแน่ พวกเขาจะขนกลับไปอย่างไร? หรือว่าแถวนี้ยังมีถนนเส้นอื่นอีก?”

ซ่งฝูหลิงไม่ได้สนใจนัก สักครู่ก็พูดว่า “ท่านพ่อ ทางขวามือด้านหลังของท่าน เหล่าซิ่วไฉเพิ่งเดินมา ตอนนี้เขากำลังมองท่านอยู่ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเขามองท่านด้วยสายตาแปลกๆ”

ซ่งฝูเซิงไม่ได้หันกลับ เขากระซิบกับลูกสาว “แค่สายตาแปลกๆ คงไม่มีปัญหาอะไร ที่ข้ากลัวก็คือ อย่าเกลียดข้าก็พอ”

ซ่งฝูหลิงปากขยับเพียงเล็กน้อย ตอบกลับ “พวกเราก็ไม่รู้ว่าหมี่โซ่ววิ่งไปเพียงครู่เดียวจะได้เรื่อง พวกเราไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย อย่างนี้จะมาเคืองพวกเราก็ไม่ได้”

หมี่โซ่วจับมือเฉียนเพ่ยอิง เขาเงยหน้ามองพี่สาว พี่สาวกำลังพูดถึงเขาหรือ?

ซ่งฝูเซิงพูดขึ้น “ลูกสาว เจ้าไม่เข้าใจ คนบางคนโกรธคนที่ทำร้ายเขา แต่ทำได้แค่หลีกเลี่ยง แต่เมื่อมีใครให้ความหวังกับเขาแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็กลับแค้นเคืองคนที่ให้ความหวังกับเขาได้ หรือโกรธแค้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป”

หมี่โซ่วทำให้มีผลลัพธ์เช่นนี้ ก็ไม่มีใครคาดถึง มันเกินความคาดหมาย

ดังนั้นจึงไม่สามารถร่วมมือกันได้ แต่หวังว่าเหล่าซิ่วไฉอย่าเกลียดผิดคนเลย

“ลุงสาม ป้าสาม พั่งยา หมี่โซ่ว” เกาเถี่ยโถวป้องปากตะโกนเรียกมาแต่ไกล

แม้กระทั่งชาวบ้านในหมู่บ้านก็จะพาลโกรธพวกเขาไปด้วย เพราะเริ่นหลี่เจิ้งถูกลงโทษ ไม่มีใครรับซื้อพวกเป็ดไก่อีก ชาวบ้านก็จะขาดรายได้ นี่เรียกว่า เป็นการตัดเส้นทางการทำมาหากิน

การฆ่าพ่อแม่ของเขากับการตัดเส้นทางทำมาหากิน แค่สองเรื่องนี้ก็ทำให้ถูกโจมตีได้ นอกจากพวกเขาจะอพยพย้ายออกจากหมู่บ้านเหรินจยา มิเช่นนั้นแค่คนในหมู่บ้านก็หลายพันคนแล้ว หากชาวบ้านคิดไม่ซื่อก็สามารถทำให้พวกเขาเดือดร้อนอย่างมาก ไม่มีใครจะสามารถป้องกันตนเองให้รอดผลจากอันตรายได้ทุกทาง

ดังนั้นพวกเขาจึงสรุปออกมาว่า พวกเขาต้องการใช้ชีวิตที่ปกติสุข ใช้ช่วงโอกาสนี้เอาผลประโยชน์มามากที่สุด อย่างมากก็เอาที่ดินทำกิน เสบียงอาหาร เรื่องที่จะต้องมีข้อพิพาทกับชาวบ้านในอนาคตก็อาศัยเวลานี้ในการแก้ปัญหาให้เสร็จสิ้นไป ต่อไปคนสองฝั่งแม่น้ำก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่เบียดเบียนกันและกัน

เซี่ยเหวินหยวนเดินออกมาจากบ้านกระท่อมก่อน จากนั้นตามมาด้วยเริ่นจื่อเซิง เริ่นหลี่เจิ้ง และสุดท้ายคือ ซ่งฝูเซิง

ซ่งฝูเซิงส่งสัญญาณให้ทุกคนไม่ต้องสนใจพวกเขา ควรทำอะไรก็ทำไป

เขาก็พูดกับเซี่ยเหวินหยวนและเริ่นจื่อเซิง “สถานการณ์โดยรวมก็เป็นเช่นนี้ พวกท่านก็เห็นแล้ว ต้องอยู่บ้านกระท่อมแบบนี้กัน ต้องอาศัยอยู่อย่างระมัดระวังเพราะเกรงว่าในอนาคตเมื่อหิมะตกหนักอาจจะทำให้บ้านพังทลายลงมาได้”

เริ่นจื่อเซิงทำทีพยักหน้าเห็นด้วย ไม่ควรที่จะให้พวกเจ้าอยู่อย่างนี้ พวกเจ้ามีทั้งคนชราและเด็ก ต้องหาวิธีการแก้ไข ตอนนี้จะก่อสร้างบ้านก็คงเป็นไปไม่ได้ พรุ่งนี้จะขนอิฐจากเมืองเฟิ่งเทียนมาส่งให้ส่วนหนึ่ง เอามาทำหลังคาแก้ปัญหาไปก่อน

“แล้วสะพานนั่นล่ะ?”

ตอนนี้เริ่นหลี่เจิ้งเริ่มมีความมั่นใจขึ้น พวกเจ้าต้องการผลประโยชน์ไม่ใช่หรือ? ยังกล้าชักสีหน้า เขาทำทีพูดเป็นทางการ “พรุ่งนี้จะเรียกรวมคนในหมู่บ้านให้มาช่วยกันซ่อมสะพาน”

“ทำแค่สะพานไม้แคบๆ แบบนั้นไม่ได้นะ หลี่เจิ้ง”

“เออ? ทำไมหรือ?”

“พวกเราออกไปก็ต้องเข็นรถ เป็นชาวบ้านก็ต้องออกไปหาซื้อข้าวของอะไรบ้าง ถ้าสะพานเล็กเกินไป พวกเราก็เข็นรถออกไปไม่ได้” ซ่งฝูเซิงพูดเสร็จก็หันไปมองเริ่นจื่อเซิงและเซี่ยเหวินหยวน ยิ้มออกมาด้วยความเกรงใจ “ข้าคิดว่าสะพานต้องใช้งานตลอด ถ้าทำใหม่ก็ทำให้ดีไปเลย”

เริ่นหลี่เจิ้งกัดฟัน “ได้ ข้าจะทำสะพานกว้างๆ ให้กับพวกเจ้า”

ต้นเดือนนี้เขาจะต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่ในการทำสะพาน? เสียดายอย่างมาก

ซ่งฝูเซิงแกล้งสอบถามเซี่ยเหวินหยวนขึ้นมา “คุณชายเซี่ย ครอบครัวใหญ่ข้างบนเขาใช้กระดาษมันอะไร? เป็นแผ่นใสขนาดใหญ่ มีแสงผ่านได้ ฝนตกก็ไม่เละ เหมือนบ้านคนมีเงินใช้ทำเป็นเพิงกระโจมปลูกดอกไม้ด้านนอก ท่านบอกข้าน้อยหน่อยเถอะว่ากระดาษนั้นเรียกว่าอะไร เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้”

เซี่ยเหวินหยวนพูด “วันหลังข้าจะให้ผู้ติดตามส่งมาให้เจ้าส่วนหนึ่ง”

ซ่งฝูเซิงยกมือขึ้นคำนับเป็นการขอบคุณ “รบกวนท่านเกินไปแล้ว”

เซี่ยเหวินหยวนคิดในใจ เจ้ายังมีหน้ามาเกรงใจข้าอีกหรือ? แค่เพียงครู่เดียวเจ้าก็เสนอความต้องการออกมาหลายอย่างแล้ว…

…สิ่งที่น่าโมโหก็คือ รถขนเสบียงอาหารยังมาไม่ถึง น้องเขยเพิ่งพูดได้ประโยคเดียว ช่วยพวกเจ้าขนเสบียงอาหารมาส่งให้ เจ้าก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและถามกลับว่าทุกเดือนจะได้เสบียงอาหารเพียงแค่นี้หรือ? และยังถามต่อถ้าไปรับทุกเดือนก็ยุ่งยาก สามารถส่งเสบียงอาหารครึ่งปีมาทีเดียวได้หรือไม่? ถ้ามีใครถามเรื่องเสบียงอาหารช่วยเหลือก็จะไม่มีเรื่องเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นอีก เพราะพวกเรารับมาหมดแล้ว…

…กดดันจนน้องเขยต้องพยักหน้าตอบรับ…

…นอกจากนี้ ซ่งฝูเซิง เจ้านี่แน่จริง สนทนามาครึ่งชั่วยามก็ยังไม่รู้ว่าเจ้ากับตระกูลลู่มีความสัมพันธ์กันอย่างไร เจ้าจับจุดพวกข้าถูกว่าพวกข้าจะต้อง…ยอมรับข้อเสนอแน่นอน

ซ่งฝูเซิงก็มองเซี่ยเหวินหยวนด้วยรอยยิ้มและพูดขึ้น “ต้องขอบคุณคุณชายเซี่ยแล้ว” เขาคิดในใจ ใช่สิ เพราะคาดการณ์ถูกว่าพวกเจ้าจะต้องตอบตกลงแน่

ในเวลานี้ รถขนเสบียงอาหารก็มาถึงพอดี

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว