ท่านย่าหม่ามองเพื่อนสาวทั้งเจ็ด นางพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“ถ้าตัดสินใจไปแล้วก็ห้ามถอยหลัง พวกเรามาเริ่มพูดเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า…
… เมื่อวานข้าสอบถามลูกสามว่าจะไปเมืองเฟิ่งเทียนและเมืองอื่นๆ เพื่อขายกุยช่ายขาวเมื่อไหร่ เขาบอกว่าอีกสามวันให้หลัง…
…ถ้านับตั้งแต่วันนี้ ก็เหลืออีกสองวัน…
… เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราแปดคนรวมทั้งข้าด้วยต้องแบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละสองคน แต่ละกลุ่มคอยตามหลังพวกเขาไปตามสถานที่เหล่านั้น เมืองเฟิ่งเทียน อำเภอจยา อำเภออวิ๋นจงและตำบลถงเหยา…
…อีกสักครู่ข้าจะแบ่งกลุ่มให้ว่าใครไปเมืองไหน พวกเจ้าต้องจดจำเส้นทางไว้ให้ดี เดินตามหลังพวกหลานๆ ก็อย่ามัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ต้องจดจำเส้นทางถนนไว้นะ…
…จดจำว่าเดินอย่างไร เลี้ยวทางไหน ต้องเดินอีกนานไหม จำเป็นต้องจำไว้ให้แม่น...
…พวกเขาขายกุยช่ายขาว ไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนพวกเราได้ตลอด…
…พวกเราอาจจะต้องออกไปขายทุกวัน ไม่เหมือนกับพวกเขาที่ออกไปขายไม่ต่อเนื่อง”
ท่านยายทั้งเจ็ดรีบพยักหน้า “วางใจได้ พวกข้ารู้แล้ว”
ท่านย่าหม่ายังกล่าวต่อไป
“อย่างแรก เดินตามขบวนของพวกเขาไป อีกอย่างหนึ่งข้าจะให้เค้กสี่ก้อนกับพวกเจ้าแต่ละกลุ่ม พวกเจ้าตามหลังพวกเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยม ลองซ้อมมือดู และยังมี…”
“สี่ก้อนพอหรือ?” ลูกสะใภ้คนโตโจวซื่อของลุงซ่งถามขึ้น
“เพียงพอแล้ว” ท่านย่าหม่าบอกกับโจวซื่อว่า ตอนแรกนางกับหลานสาวคนเล็กก็นำเค้กเพียงสี่ก้อนไป
เมื่อนางตอบคำถามเสร็จ นางก็พูดต่อในหัวข้อพูดคุยก่อนหน้านี้
“สิ่งที่พวกเจ้าควรจะกังวลก็คือ เค้กสี่ก้อนนี้จะขายได้หรือไม่…
…เค้กสี่ก้อนไม่สามารถขายให้กับโรงเตี๊ยมทั้งหมดได้ เจ้าต้องให้เขาลองชิมก่อนแล้วค่อยสั่งจองของ อย่าเสียดายที่จะให้คนอื่นได้ลองชิม ถ้าอยากให้ถึงเป้าหมายที่คาดหวังไว้ ก็ต้องรู้จักเสียสละก่อน…
…ถ้าเจ้าจะนําเค้กไปส่วนหนึ่งโดยที่ไม่มีหลานเหล่านั้นอยู่เป็นเพื่อน พวกเจ้าก็ต้องใช้สมองคิดว่าจะเข้าไปในโรงเตี๊ยมกับหอนางโลมได้อย่างไร นี่สิถึงเป็นเรื่องสำคัญ”
ท่านยายหวังพยักหน้า “ใช่แล้ว พี่หม่า พวกข้าเคยขายไข่ ขายถุงหอม แต่ไม่เคยขายของที่มีราคาเช่นนี้มาก่อน เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วก็เริ่มรู้สึกกลุ้มใจจริงๆ”
“ไม่ต้องกลัว” หลังจากนั้นการฝึกอบรมของท่านย่าหม่าก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
หญิงชราเรียนรู้มาจากซ่งฝูเซิง มีการประชุมก่อนหน้าที่ซ่งฝูเซิงจะขายกุยช่ายขาวหนึ่งวัน สอนวิธีการขายและสอนถึงขั้นตอนการสั่งจองว่าควรจะพูดอย่างไร
“รอสักครู่นะ ข้าต้องไปเติมฟืนก่อน” ท่านย่าหม่าจะลงจากเตียงเตา มิเช่นนั้นไฟที่อยู่ใต้เตียงเตาอาจมอดดับได้ หากพวกลูกสามกลับมานอน เตียงเตาก็จะไม่ร้อนแล้ว
“ไม่ต้องๆ” หญิงสูงวัยหลายคนที่นั่งอยู่ด้านข้างตั่งต่างแย่งกันไปเติมฟืน
หลังจากนั้นก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากบ้านของซ่งฝูเซิง
“ข้าจะบอกพวกเจ้า หอนางโลมนั่นเป็นสถานที่ที่ดี เมื่อเจ้าไปถึงที่นั่นแล้ว ถ้าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าไปได้ พวกเจ้าก็…”
“ในโรงเตี๊ยม เจ้าสามารถบอกกับเถ้าแก่ว่า ร้านเค้กย่าหม่าของพวกเราไม่ได้ขายแค่เค้กไข่เพียงเท่านั้น หลานสาวคนเล็กของข้าบอกแล้วว่า สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้ ถ้าอยากจะเพิ่มพุทราแดงหรือใส่ถั่วเขียว นางสามารถทำได้”
“โอ้ พั่งยา ทําไมถึงมีความสามารถขนาดนี้นะ เจ้าพูดสิ”
“ข้าพูดมานานแล้ว ยังต้องให้เจ้าพูดอีกหรือ”
“ฟังข้าพูดนะ ทั้งหมดฟังข้าสิ ประชุมอยู่นะ ทำอะไรกัน ต่อไปข้าจะพูดแล้ว ห้ามพูดแทรก”
“ได้สิ เจ้าพูดมา”
พวกนางพูดคุยจนคนในครอบครัวของซ่งฝูเซิงไม่มีที่จะไปอีกต่อไป พวกเขากับคนอื่นนําอิฐที่นํากลับมาสร้างเตาอบสองเตาจนเสร็จ ถึงกลับมาที่บ้าน พวกนางถึงพูดคุยกันเสร็จสิ้น
ท่านย่าหม่าก็จะกลับบ้านแล้ว
ตอนนั้นเฉียนเพ่ยอิงยังเรียกนางด้วยความเกรงใจว่า ท่านย่าหม่า ท่านอยู่พักผ่อนที่นี่เถอะ แต่นางบอกว่าไม่อยู่ที่นี่ แค่เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงบ้านแล้ว
แต่ท่านย่าหม่าไม่รู้ว่า หลังจากที่นางกลับบ้านแล้ว พวกเพื่อนพี่สาวของนางยังไม่เลิกชุมนุมกันเลย
เก่อเอ้อร์นิวเป็นคนจัดชุมนุม
เก่อเอ้อร์นิวเสนอสองประเด็น ประเด็นแรก พวกเราต้องไปลาออกนะ เรื่องการทำงานร่วมกันเพราะหลังจากสองวันพวกนางก็ต้องทิ้งหน้าที่การงานนี้แล้ว
ลูกสะใภ้ใหญ่ของลุงซ่งพยักหน้า คืนนี้นางจะกลับไปบอกกับพ่อสามีว่าจะไม่ทํางานนั้นแล้ว อยากจะให้ใครไปทำก็จัดไป นางต้องบอกให้พ่อสามีรับรู้ก่อน
เก่อเอ้อร์นิวพูดขึ้นอีก “น้องสะใภ้ข้าไปขนอิฐกลับมา พวกเจ้าหลายคนก็คงเห็นแล้ว อ่าห์ พวกเราก็ไม่ต้องใช้เงินทุนเลย แค่เข็นออกไปขายก็สร้างรายได้แล้ว น้องสะใภ้ก็สอนตัวต่อตัวว่าจะต้องขายอย่างไร พวกเราก็อย่าได้แต่มองดูอย่างเดียว”
ท่านยายหวังมีไหวพริบดี นางเข้าใจความหมายในคําพูดของเก่อเอ้อร์นิวทันที นางรีบพูดต่อ “ใช่แล้ว พวกเราทําอาหารกันเจ็ดคนไม่ใช่หรือ พรุ่งนี้สามคนนี้อยู่ทำอาหาร ส่วนอีกสี่คนให้ตามพี่หม่าเข็นรถไปเอาอิฐจากตำบลถงเหยา”
ท่านยายเถียนก็พูดขึ้น “แต่พวกเรายังต้องทำงานของซ่งฝูเซิงอีกสองวัน ต้องทำอาหารให้สองร้อยกว่าคน เหลือคนทําอาหารเพียงแค่สามคนจะสามารถทำไหวไหม? ต้องทำอาหารสองมื้อนะ แค่ปอกหัวไชเท้าต้องใช้เวลามากแล้ว อย่าทำให้เสียเวลากินข้าว เดี๋ยวลุงซ่งจะด่าได้และทําให้ฝูเซิงเสียหน้า”
ทั้งเจ็ดคนคำนวณเวลาแล้ว ก็คิดว่าสามารถกัดฟันลงมือทำได้
คนที่ต้องไปตัวตำบลมีท่านยายกัว ลูกสะใภ้คนโตโจวซื่อของลุงซ่ง และท่านยายหวังกับป้าใหญ่เก่อเอ้อร์นิวของซ่งฝูเซิง
คนที่เหลืออยู่บ้านทำอาหาร
หญิงสูงวัยทั้งเจ็ดก็ใช่ว่าจะไร้สมอง พวกนางเลือกคนเหล่านี้เพราะในวันข้างหน้าก็ต้องเป็นคนไปขายของในพื้นที่ต่างๆ
สองวันมานี้ช่วยกันขนอิฐและยังช่วยท่านย่าหม่าส่งของ เป็นช่วงเวลาที่ตนเองสามารถเรียนรู้ว่าท่านย่าหม่าพูดกับคนอื่นอย่างไรในสถานการณ์จริง เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองรู้สึกประหม่าเวลาขายของ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...