แม้มีครัวเรือนไม่มากเท่าไร แต่ในคืนนี้ มากกว่าครึ่งของคนในครอบครัวที่เริ่มสับสนกับการตัดสินใจของท่านแม่
บ้านท่านยายซ่งเอ้อร์
ครอบครัวของนางกับครอบครัวของซ่งฝูเซิงไม่ได้เป็นญาติที่มีเชื้อสายใกล้ชิดกันนักเพราะเป็นญาติรุ่นที่ห้า ความสนิทสนมก็เหินห่างออกไป อย่ามองเพียงแค่ใช้นามสกุลแซ่ซ่งเหมือนกัน
ครอบครัวของนางกับครอบครัวของลุงซ่งเป็นญาติใกล้ชิดกันจริง
ท่านยายซ่งเอ้อร์มีลูกชายห้าคน เดิมทีนางมีลูกทั้งหมดเก้าคน ก่อนหน้านี้ทิ้งไปสองคนตั้งแต่ยังเด็กและมีลูกสาวสองคนซึ่งแต่งงานไปแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้ตามออกมาด้วย ไม่มีหนทางที่จะไปส่งข่าว
ทุกครอบครัวในกลุ่มขบวนนี้ต่างก็ผ่านช่วงเหตุการณ์อพยพลี้ภัยมากันทั้งหมด พวกเขาต่างก็เสียใจ
แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมองไปข้างหน้า มัวแต่ซับน้ำตาทุกวันก็ไร้ประโยชน์ ต้องคิดถึงหนทางที่จะดำรงชีวิตต่อไป
ลูกชายทั้งห้าและลูกสะใภ้ต่างก็ถามนาง “ท่านแม่ เพราะอะไรหรือ หากทำงานดีๆ แค่ทำ อาหารก็มีรายได้แล้ว ไม่ต้องออกไปตากแดดตากฝน หากท่านออกไปแบบนั้นพวกเราก็เป็นห่วงนะ”
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร” ท่านยายซ่งเอ้อร์ตอบพลางทำความสะอาดเตียงเตาไปด้วย
หลังจากเก็บกวาดเสร็จแล้ว นางก็นั่งขัดสมาธิแล้วพูดต่อ “พวกเจ้าไม่ได้ยินที่ฝูเซิงหลุดพูดออกมาหรือ? ตอนนี้พวกเราอาศัยอยู่ด้วยกัน กินอาหารร่วมกัน ทำข้าวหม้อใหญ่ นั่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้…
…
เสบียงอาหารส่วนใหญ่มาจากที่เริ่นหลี่เจิ้งโกงมา มันเป็นของทางการที่แบ่งให้ประชาชนที่เดือดร้อน ทางการยื่นมือมาช่วยพวกเราทุกคน พวกเราก็ซื้อผักกับพวกธัญพืชเพื่อกักตุนไว้ยามฤดูหนาวแล้ว ตอนนี้ทําได้เพียงเตรียมอาหารด้วยกันเท่านั้น
ครอบครัวของพวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่มีสิ่งของเครื่องใช้อะไรเลย แม้แต่ถังน้ำกับไหผักดองก็มีไม่กี่อัน สถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่ตอนนี้
หลานฝูเซิงเคยบอกว่า เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ทางการก็จะไม่ให้เสบียงอาหารกับพวกเราอีก ซื้อผักหรือซื้ออะไร พวกเราต้องหาเงินเอง เมื่อทุกครอบครัวเริ่มปรับสภาพได้ พวกเราก็แยกย้ายกันไป
“แยกย้ายกันแล้ว พวกเราจะไปทำงานที่ไหน? งานนั้นเป็นงานระยะยาวหรือไม่?”
“เมื่อถึงตอนนั้นค่อยไปทำงานกับพวกอาสะใภ้” ลูกสะใภ้คนที่สามของท่านยายซ่งเอ้อร์เอ่ยขึ้น
“เจ้าพูดไปก็เหมือนกับผายลม เจ้ามีสมองหรือไม่” ท่านยายซ่งเอ้อร์ไม่ค่อยชอบลูกสะใภ้คนที่สามของนางมาก
เมื่อถึงตอนนั้น? เมื่อถึงเวลานั้นก็สายไปเสียแล้ว
ท่านลุงซ่ง “เฮ้อ”
บ้านท่านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิง
ส่วนท่านลุงใหญ่ไม่ค่อยมีความคิดเห็นอะไร เพียงแต่รู้สึกประหลาดใจที่น้องสะใภ้มอบหมายให้ภรรยาของเขาไปทำงานด้วย
“ทำงานให้เขาแล้วก็อย่าเอาเปรียบ อย่าทำให้งานของน้องสะใภ้ต้องเสียหาย”
“ท่านพูดอย่างนี้ได้อย่างไร พูดไม่น่าฟังเลย ข้าจะเอาเปรียบได้อย่างไร? ขายเค้กออกไปเตาหนึ่งก็ได้เงินเจ็ดเหวิน ไม่ให้มากและไม่ให้น้อยไปกว่านี้ หรือเจ้าคิดว่าข้าเก็บเศษขนมเค้กที่อยู่ในเตาอบออกมากินล่ะ”
ชุ่ยหลานลูกสาวของเก่อเอ้อร์นิวรีบเข้ามา “ท่านแม่ ท่านช่วยพูดกับท่านอาให้ข้าไปทำงานด้วยคนสิ”
“เจ้าทำไม่ได้หรอก” ยังไม่ทันที่ท่านลุงใหญ่จะต่อว่าลูกสาว ท่านป้าใหญ่ก็ส่ายศีรษะ “เป็นลูกผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานออกเรือน จะออกไปเปิดเผยโฉมหน้าให้คนข้างนอกเห็นไม่ได้ มิเช่นนั้นจะหาคนแต่งงานด้วยลำบาก นี่ออกไปขายของกิน ข้างนอกมีคนมากมายหลากหลายรูปแบบ พวกข้าแก่แล้วไม่กลัวอะไร แต่เจ้ายังเป็นหญิงสาวเป็นแส้อยู่”
“ถ้าเช่นนั้น พี่สะใภ้ใหญ่ของข้าล่ะ”
เก่อเอ้อร์นิวกำลังใช้เข็มกับด้ายเย็บรองเท้า นางวางรองเท้าที่อยู่ในมือที่เพิ่งทำเสร็จครึ่งหนึ่งลง นั่งจ้องมองลูกสะใภ้คนโต “พี่สะใภ้ของเจ้าต้องรอข้าทำงานใหญ่ก่อน ถ้าข้าทำงานหาเงินได้แล้ว หากมีคนสั่งจองของเยอะขึ้น พวกข้าสองคนเข็นไปไม่ไหวก็จะให้นางเข้ามาช่วยเข็นรถ และข้าจะเป็นคนให้เงินนางเอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติทั้งครอบครัว
น่าสนุกจัง...