วินัยจ้องมองเด็กสาวด้วยสายตาแวววาว หลังอีกฝ่ายนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆ และส่งยิ้มบางๆ มาให้ตน “เสี่ยนึกว่าหนูเอื้องจะไม่มาหาเสี่ยซะแล้ว”
“เอ่อ...ขอบคุณคุณวินัยมากๆ นะคะ ที่เดินทางมาร่วมงาน” ช่อเอื้องกล่าวพลางก้มหัวลงนิดๆ
“เราคนกันเอง หากขาดเหลืออะไร หรือหนูต้องการความช่วยเหลือ ก็โทรหาเสี่ยได้ตลอดเวลานะ” วินัยบอกพร้อมกับส่งซองขาวปึกใหญ่และนามบัตรไปให้
“ขอบคุณค่ะ” ช่อเอื้องยกมือไหว้และรับน้ำใจจากอีกฝ่าย
ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ
วินัยล้วงมือถือออกมาดู ทันทีที่เห็นชื่อของภรรยาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ก็จำต้องลุกขึ้นยืนและเอ่ยลาเด็กสาว “เสี่ยไปก่อนนะ”
“ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“จ้ะ” วินัยฉีกยิ้ม แล้วรีบลุกเดินออกไปอย่างรวดเร็ว แม้จะขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้ขนาดไหน แต่ก็ต้องเกรงใจภรรยา เพราะอีกฝ่ายกุมบัญชีและทรัพย์สินทุกอย่างของตนเอาไว้ในมือ
เวลา 23:40 น. หลังจากแขกที่มาร่วมงานพากันเดินทางกลับจนเกือบหมดแล้ว แม่ทัพก็พาช่อเอื้องเข้าไปนั่งในรถสปอร์ตหรูของตน แล้วขับตามรถของมารดาไปช้าๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาพูดเรื่องสำคัญ
“เอื้อง!” แม่ทัพเอ่ยเรียกคนที่เอาแต่มองเหม่อเบาๆ
“คะ” คนที่กำลังคิดถึงพ่อ คิดถึงบ้าน หันไปมองอย่างมึนงง
“อย่างแรกเลย...ฉันไม่พอใจที่ไอ้แก่นั่นเรียกเธอไปคุย” แม่ทัพเปิดประเด็น
“เสี่ยวินัยเขาเรียกหนูไปรับซองทำบุญน่ะค่ะ” ช่อเอื้องรีบบอก
“อย่าให้มีครั้งหน้าอีกนะ” คนขี้หวงบอกด้วยน้ำเสียงตึงๆ
“ค่ะ” เธอขานรับเบาๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพราะเธอกำลังคิดถึงเรื่องหนึ่ง แต่เขากลับดึงเธอมาพูดอีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างจะไร้สาระนิดๆ
“เรื่องที่สอง...คืนนี้เราจะไปนอนที่บ้านแม่ของฉัน”
“ค่ะ ท่านบอกกับหนูแล้ว”
“เหรอ?” แม่ทัพมึนงงกับคำตอบครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเตี๊ยมคำพูดกับสาวเจ้า “ถ้าแม่ฉันถามถึงความสัมพันธ์ว่าเราคบกันมานานแค่ไหน ให้เธอตอบไปว่า...สามเดือน ฉันเป็นคนตามจีบเธอก่อน”
“ค่ะ” ช่อเอื้องยิ้มรับอย่างรู้สึกขำที่อีกฝ่ายกำลังสอนให้เธอโกหกผู้ใหญ่
แม่ทัพกลอกตา แล้วเอ่ยเข้าเรื่องอีกครั้ง “และถ้าแม่ฉันถามว่าเธอทำงานอะไร เธอก็บอกไปตามตรงว่าขายข้าวไข่เจียวอยู่ตรงไหน”
“เอ่อ...แล้วท่านจะไม่...” ช่อเอื้องเอ่ยค้างไว้อย่างรู้สึกกังวล กลัวว่ามารดาของอีกฝ่ายจะรังเกียจที่เธอเป็นแค่แม่ค้าขายข้าวไข่เจียว แม้จะขายได้แค่เดือนกว่าๆ ก็ตาม
“แม่ฉันไม่ได้วัดคนที่การศึกษาหรือฐานะ ฉะนั้นเธอบอกท่านไปตามตรงได้เลย เพียงแค่แทรกฉันเข้าไปอยู่ในชีวิตของเธอช่วงสามเดือนหลังด้วยก็พอ” แม่ทัพบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ค่ะ แล้วถ้าท่านถามว่าเราเจอกันที่ไหน?”
“เธอขายข้าวไข่เจียวอยู่ข้างร้านมินิมาร์ทใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นก็บอกไปว่า...ฉันเข้าไปซื้อของในมินิมาร์ทแล้วออกมาถามทางกับเธอ อยู่นาน”
“ค่ะ” ช่อเอื้องขานรับเสร็จก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้
“เธอขำอะไร?” คนที่เกิดมาก็เพิ่งจะเคยแต่งเรื่องแต่งราวหลอกมารดาเป็นครั้งแรก ถามกลับอย่างเคืองๆ
“ไม่มีอะไรค่ะ ขอโทษที่หนูเสียมารยาท” ช่อเอื้องบอกก่อนจะรีบเบือนหน้าไปมองข้างทาง
“แล้วหลังจากนั้นฉันก็ไปแวะซื้อข้าวไข่เจียวที่เธอบ่อยๆ และเสนองานให้เธอไปเป็นแม่ครัวให้ที่คอนโด แล้วก็...”
“แล้วก็อะไรคะ?” คนอ่อนประสบการณ์หันกลับมาถามด้วยสีหน้าซื่อๆ
“เธอพูดค้างไว้แค่นี้แหละ แม่ของฉันจะเข้าใจความหมายเอง” แม่ทัพบอกด้วยท่าทีนิ่งขรึม
“ค่ะ” ช่อเอื้องพยักหน้ารับแม้จะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แม่ทัพกดเปิดเพลงฟังเบาๆ เพื่อผ่อนคลายความเขิน เอ๊ย! เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดภายในรถ
ยี่สิบนาทีต่อมา...
ทันทีที่แม่ทัพขับรถเข้าไปจอดที่ด้านหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ก็เห็นมารดายืนรอรับอยู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เฮ้อ...ผมไม่น่าพาเอื้องกลับมานอนที่บ้านเลย” แม่ทัพบ่นพึมพำ แล้วเดินคอตกกลับไปที่ห้องนอนของตัวเองอย่างสิ้นหวัง ถ้าลงมารดาได้เสียงแข็งแบบนี้ ไม่มีทางที่จะยอมใจอ่อนเป็นแน่
เช้าวันต่อมา...เวลา 07:10 น.
มาลีนที่ตื่นเช้ามาใส่บาตรตอนเช้ากับว่าที่ลูกสะใภ้เสร็จ ก็พากันเดินกลับมาในบ้านอย่างอารมณ์ดี
“ไปไหนกันมาครับเนี่ย?” แม่ทัพมองคู่หูดูโอ้ที่เหมือนกับจะเข้ากันได้ดีเกินคาด ด้วยสายตาตัดพ้อ
“แม่ชวนหนูเอื้องไปใส่บาตรมาจ้ะ” มาลีนอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของบุตรชาย ขณะที่ช่อเอื้องรีบหลบสายตาหาเรื่องของคนเถื่อนด้วยการก้มลงมองที่พื้น
“ทำไมไม่มีใครปลุกผมเลย” คนที่ต้องนอนกอดหมอนข้างแทนนางฟ้า คนสวยถามอย่างไม่พอใจ
“เห็นลูกนอนหลับสบาย แม่กับหนูเอื้องก็เลยไม่อยากจะรบกวน” มาลีน ออกตัวอย่างรู้สึกขำกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่บุตรชายหยิบยกมาเป็นประเด็นราวกับว่า...มันคือปัญหาใหญ่ระดับชาติ
“ไม่อยากจะเชื่อว่าแม่จะทำเหมือนผมไม่มีตัวตน”
“หึๆ คิดมากน่าทัพ ไปทานข้าวกันเถอะ” มาลีนหัวเราะขึ้นมาอย่างเบรก ไม่อยู่ เมื่อเห็นลูกชายสุดที่รักออกอาการดราม่าเป็นครั้งแรก
แม่ทัพกลอกตาก่อนจะเดินนำไปยังห้องรับประทานอาหารด้วยสีหน้าเซ็งๆ มาลีนหันไปส่งยิ้มให้ว่าที่ลูกสะใภ้แล้วออกเดินตามไปเงียบๆ
สองชั่วโมงต่อมา...หลังทานมื้อเช้าเสร็จช่อเอื้องก็กลับขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวเดินทางไปงานศพของบิดา (วันสุดท้าย) แต่พอเดินลงมาที่ชั้นล่างก็ถูกคนที่ดักรออยู่ดึงแขนให้ออกเดินตาม
“เจอกันที่งานนะครับแม่” แม่ทัพรีบเปิดประตูรถสปอร์ตของตนออก แล้วดันสาวเจ้าให้เข้าไปนั่งด้านใน
“เฮ้! ลูกทำแบบนี้กับแม่ไม่ได้นะทัพ” มาลีนที่เดินมากับว่าที่ลูกสะใภ้ถึงกับมึนงงในการกระทำของบุตรชาย
“ทำได้สิครับ ผมทำอยู่นี่ไง” แม่ทัพหันไปตอบพร้อมกับปิดประตูให้สาวเจ้า จากนั้นก็รีบเดินอ้อมไปประจำตำแหน่งคนขับอย่างไม่รอช้า
“ให้ตายเถอะ เหมือนพ่อไม่มีผิด” มาลีนโกรธจนตัวสั่นที่บุตรชายทำตัวไร้มารยาทกับตน
“หึๆ แล้วพ่อผมใช่สามีของแม่หรือเปล่าครับ?” แม่ทัพหัวเราะก่อนจะขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว
“หยาบคาย” มาลีนตะโกนด่าตามหลังอย่างโมโห รีบหันไปสั่งคนขับให้ขับรถตามบุตรชายไปอย่างรู้สึกเจ็บใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อุ้มรักซาตานลวง (ซีรีส์ หลอกเด็ก)