ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 910

(พายุฝนฟ้าเริ่มตั้งเค้า อุปมาว่า บรรยากาศตึงเครียดก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้น)

ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งวัน  ลู่เจียวเจียวถูกส่งกลับมายังตำหนักบรรทมของตัวเองแล้ว  ในช่วงระยะเวลาสองวันมานี้นางผ่านมาอย่างเลวร้ายมีชีวิตอยู่มิสู้ตายด้วยซ้ำ

แม้ว่าหนานหว่านเยียนจะมิได้ต้องการปลิดชีวิตนาง  ทว่าตลอดทั่วทั้งใบหน้านางบวมแดงจนผิดปกติและแผลเปื่อยเป็นหนอง  มือและเท้าต่างล้วนได้รับบาดเจ็บที่แตกต่างกัน  นี่คือการแก้แค้นอย่างชัดเจนจึงได้กระทำกันถึงขนาดนี้!

ลู่เจียวเจียวเคียดแค้นชิงชังจนดวงตาทั้งคู่แดงก่ำแล้ว  คิดต้องการจะออกแรงกำหมัดแน่น  กลับเจ็บปวดจนเสียดแทงใจ  ได้แต่สบถด่าขึ้นมาแล้วไม่กี่คำเท่านั้น  “เจ้าคนสารเลว!”

“หนานหว่านเยียน  รอให้ข้าหายดีแล้วก่อนเถอะ  ข้าจะต้อง...ข้าจะต้องทำให้เจ้ารับผลตอบแทนอย่างสาสมใจแน่นอน!”

แต่ยังมิทันรอให้นางได้ก่นด่าอย่างสมใจอยาก  ภายในใจนางก็ปวดจี๊ดขึ้นมาระลอกหนึ่งซึ่งนางต้องอกสั่นขวัญแขวนเลยทีเดียว

นางกุมตรงหัวใจไว้แล้วร้องโอ๊ยคำหนึ่ง  ซวนเซเท้าแทบยืนไม่มั่นคงด้วยซ้ำ  นางบันดาลโทสะแทบตายแล้ว ขจ โชคดีที่หมอสตรีนางหนึ่งรีบมาประคองนางไว้ได้ทันเวลา  จึงช่วยให้นางมิต้องล้มตึงลงคลุกฝุ่นอยู่กับพื้น

“องค์หญิง  อย่าได้บันดาลโทสะ  สัมผัสถูกบาดแผลแล้วจะเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นเพคะ”

ลู่เจียวเจียวไหนเลยจะไม่บันดาลโทสะได้เล่า  นางบันดาลโทสะจนโกรธเคืองอย่างเกรี้ยวกราดแล้ว!

นางเกิดเรื่องขึ้นจนบานปลายใหญ่โตมากถึงขนาดนี้แล้ว  แต่เสด็จแม่กลับหาได้ส่งคนมาช่วยนางแต่อย่างไรไม่ตลอดมา  หรือว่ามีหนานหว่านเยียนแล้ว  นางก็หมดความหมายไม่นับเป็นตัวอะไรแล้วเช่นนั้นหรือ?!

แต่คำพูดเหล่านี้นางก็มิกล้าพูดออกมา  ได้แต่เก็บไว้อยู่ในใจ  และรู้สึกเคียดแค้นเกลียดชังหนานหว่านเยียนมากยิ่งขึ้น

หมอสตรีพูดเสียงเบาๆ ขึ้นว่า  “องค์หญิงหงเหมิง  ให้บ่าวช่วยใส่ยาให้ท่านเถอะ”

“มือไม้เบาสักหน่อย!”  หงเหมิงมองหมอสตรีอย่างรังเกียจเดียดฉันท์คราหนึ่ง  และได้ตำหนิอย่างอารมณ์ไม่ดีนักเพิ่มขึ้นอีกหลายคำ  “หากทำให้ข้าเจ็บปวดแล้วละก็ เจ้าจะต้องได้เห็นดีอย่างแน่นอน!”

“ไม่ทราบจริงๆ ว่าหนานหว่านเยียนผู้นั้นให้เสด็จแม่และเสด็จพี่หลายคนกินยาเสน่ห์อะไรเข้าไป  แต่ละคนต่างคล้อยตามเชื่อฟังนางคนเดียวเท่านั้น บฝ แม้แต่ข้าที่เป็นองค์หญิงอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมผู้นี้ก็ไม่อยู่ในสายตาแล้ว!”

“หนานหว่านเยียนที่น่าตาย  ข้า——”  คำพูดเพิ่งจบลง  ปลายนิ้วมือของนางก็เกิดความเจ็บปวดน่าตกใจสะท้านจิตขึ้นมาวูบ  ปวดจนนางตัวสั่นมิสามารถควบคุมได้ระลอกหนึ่ง  แต่ก็ยังมิลืมเตะซัดใส่หมอสตรีอย่างดุดันแล้วเท้าหนึ่ง  “เศษสวะที่ไร้ประโยชน์  มิใช่บอกให้เจ้ามือเบาหน่อยหรอกหรือ!”

หมอสตรีผู้นั้นรีบเร่งพยักหน้า  น้ำเสียงเคารพนอบน้อมเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างยิ่ง “บ่าวสมควรตาย  ทว่าองค์หญิงหงเหมิง  บาดแผลของท่านหากมิรีบจัดการอีกละก็  เกรงว่า……”

ลู่เจียวเจียวสะท้านใจวูบ  แม้ว่าจะเจ็บปวดแต่ก็มิอาจไม่กัดฟันพูดว่า ญฌ “เอาล่ะ เอาล่ะ  ข้าจะไม่ถือสาหาความเจ้าอีก  ขอเพียงเจ้ารักษาข้าให้หายแล้วละก็  เจ้าก็จะได้รับผลประโยชน์มิน้อย!”

หมอสตรีรับคำโดยสีหน้าราบเรียบมิเปลี่ยน  มองดูท่าทางกระหืดกระหอบด้วยความโกรธที่สั่งสมของลู่เจียวเจียวแล้ว  พลันดวงตาก็เปล่งประกายแปลกประหลาดวูบวาบขึ้นทันใด……

หลังจากลู่เจียวเจียผ่านประสบการณ์ในเรื่องนี้  นางต้องการเล่นงานหนานหว่านเยียนให้ถึงตายมากยิ่งขึ้นแล้ว  แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนแปลงจนจำไม่ได้มิเหมือนเดิมแล้ว  ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้นางก็มิอาจเข้าร่วมในงานฉลองพระราชสมภพของจักรพรรดินีอีกสองวันข้างหน้าเช่นกัน

แต่นางก็จะไม่ให้อภัยหนานหว่านเยียนเช่นกัน  วันใดที่นางฟื้นฟูพลังกลับคืนมาแล้ว  นางก็จะทำให้หนานหว่านเยียนได้เห็นดีกันแน่นอน!

เรื่องราวของลู่เจียวเจียวเนื่องเพราะหนานหว่านเยียนจงใจสะกดข่มปกปิดเอาไว้  ดังนั้นจึงมิได้ก่อให้เกิดระลอกคลื่นใหญ่ความวุ่นวายใดๆ ขึ้นมาภายในพระราชวัง

และในสองวันข้างหน้า  หนานหว่านเยียนกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานฉลองพระราชสมภพของจักรพรรดินีโดยตลอด

ผู้คนจากทั่วสารทิศมุ่งหน้าสู่ราชสำนัก  ท่านอ๋องเจ้าขุนมูลนายที่ได้รับพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์เริ่มทยอยกันรุดมายังเมืองหลวงแล้ว  สถานการณ์ภายในตลอดทั่วทั้งพระราชวังตึงเครียดขึ้นมาแล้วอย่างเห็นได้ชัด  ทหารองครักษ์ภายในวังก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นแล้วโดยไม่รู้ตัว……

ณ ภายในตำหนักจานกุ้ย

ตั้งแต่เช้าตรู่โม่เหยียนก็รุดมาอยู่เป็นเพื่อนกับเด็กน้อยทั้งสี่แล้ว  แต่วันนี้นอกจากเกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยที่มิต้องพูดถึงแล้ว  อันอันกับน่าวน่าวกลับมิได้ซุกซนส่งเสียงดังหนวกหูอย่างหายาก  ทั้งสองเพียงติดแจอยู่กับโม่เหยียนด้วยความเงียบสงบเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่ง  คนหนึ่งนั่งอยู่บนขาซ้ายของเขา  อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม

เกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยนั่งอยู่ตรงข้ามกับโม่เหยียน  พี่น้องสองสาวกำลังรับประทานอาหาร  พลันน่าวน่าวดูดนิ้วพลางพูดขึ้นทั้งที่มีอาหารอยู่เต็มปากว่า  “พี่สาว  พวกข้าในวันพรุ่งนี้  จะให้ของขวัญอะไรแก่ท่านยายฮะ?”

อันอันพยักหน้าเห็นพ้อง  “มิผิด  ก่อนหน้านี้  ท่านแม่มักจะพูดว่า  พวกข้าขอเพียงได้รับประทาน  สิ่งของที่รสชาติหวาน  ก็จะเบิกบานใจแล้วฮะ”

“พรุ่งนี้  ข้าและน้องชาย  จะมอบของกินที่อร่อย  ให้ท่านยายฮะ”

โม่เหยียนเห็นลักษณะท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กน้อยมิสิ้นกลิ่นน้ำนมทั้งสองแล้ว  รู้สึกแต่เพียงหัวใจหวั่นไหววูบแทบละลาย

เขาลูบศีรษะน้อยๆ ของสองพี่น้องอย่างรักใคร่เอ็นดู  อดไม่ได้ที่จะบีบๆ จมูกของพวกเขาพูดว่า  “พวกเจ้าหากคิดเช่นนี้ละก็  อย่างนั้นก็สามารถใช้ได้เช่นกัน”

“ทว่าเวลานี้  ยังต้องกินข้าวอย่างเชื่อฟังว่าง่าย  อย่าให้จักรพรรดินีต้องกังวลในร่างกายของพวกเจ้า  จะต้องเติบโตอย่างแข็งแรงอ้วนท้วนสมบูรณ์  นางและท่านแม่ของพวกเจ้าจึงจะรู้สึกวางใจ”

พูดจบเขาบิดขนมดอกไม้ชิ้นหนึ่งให้เป็นชิ้นเล็กๆ อย่างเอาใจใส่วางลงภายในชามเล็ก  พอดีคำให้เด็กน้อยทั้งสองสามารถกินได้  อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

โม่เหยียนป้อนเด็กน้อยทั้งสองรับประทานข้าวอย่างอดทนยิ่งนัก  เมื่อเห็นริมปากของน่าวน่าวและอันอันเปรอะเปื้อนอาหารจนเลอะเทอะ  เขาก็ไม่รังเกียจว่าสกปรกเช่นกัน  ช่วยเช็ดให้พวกเขาจนสะอาดอย่างระมัดระวังละเอียดรอบคอบ

เห็นโม่เหยียนรักใคร่เอ็นดูน้องชายทั้งสองมากเช่นนี้  เกี๊ยวน้อยแค่นเสียงขึ้นมาแล้วสองครา  นางผลักน้ำแกงฟักทองที่ตนชื่นชอบดื่มมากที่สุดถึงเบื้องหน้าโม่เหยียน  มุ่ยปากน้อยๆ ขึ้นจงใจเสแสร้งเอ่ยปากพูดอย่างมิใส่ใจว่า  “น้ำแกงนี้ร้อนเกินไปแล้ว  ให้เจ้าดื่มเถอะ”

โม่เหยียนตะลึงงันวูบ  นัยน์ตาเรียวยาวแปรเปลี่ยนเป็นจันทร์เสี้ยวเล็กน้อย  อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบๆ ศีรษะของเกี๊ยวน้อย  “ขอบพระทัยอานผิงจวิ้นจู่อย่างยิ่ง”

การปฏิบัติต่อกันของระหว่างทั้งสอง  ได้กระตุ้นความสนใจของซาลาเปาน้อยขึ้นมาแล้วอย่างสมบูรณ์

ถึงแม้จะพูดว่าพี่สาวอุปนิสัยปากแข็งแต่จิตใจอ่อนโยนมากเช่นนั้น  แต่ก็ไม่ถึงกับภายในช่วงระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น ภฝ ก็เข้ากันได้ดีมากขนาดนี้กับโม่เหยียนแล้วกระมัง?

กิริยาท่าทางของพวกเขาทั้งสองในเวลานี้  กลับเหมือนกับคนรู้จักกันมาก่อนเนิ่นนานแล้วคู่หนึ่งมากกว่า……

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้