ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 966

องครักษ์ที่ยืนอยู่หน้าสุดตอบกลับทันใด “ทูลองค์หญิง หลายวันที่ผ่านมาแม่ทัพติ้งหย่วนอยู่แต่ในห้องพำนักตลอดมิได้ออกไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ทุกสิ่งปกติดี สำรับอาหารที่ส่งมาล้วนได้รับแล้วทั้งสิ้น และรับประทานหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ทุกสิ่งปกติดีอย่างนั้นหรือ?

หลายวันที่ผ่านมาโม่เหยียนไม่ได้ออกไปที่ใด อยู่แต่ในตำหนักตลอด?

แววตาของหนานหว่านเยียนพลันสะท้อนประกายวูบไหวขึ้นมา จากนั้นก็ถามต่อในทันที “หน้าต่างทุกบานมีคนเฝ้าอยู่หรือไม่?”

องครักษ์ผงกศีรษะ “พ่ะย่ะค่ะ ประตูทางเข้าออกและหน้าต่างทุกบาน ล้วนมีคนเฝ้าจับตามองอยู่ตลอดทุกวัน ไม่พบพิรุธหรือความผิดปกติใดอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

น่าแปลก

หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วขึ้น มิได้ถามอะไรมากไปกว่านี้ก็ตรงเข้าไปผลักบานประตูออก ก่อนจะเดินเข้าไปทันที

ด้านหลังของนาง หยุนเหิงกำลังถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างมาอย่างเงียบเชียบ สายตานั้นวุ่นวายซับซ้อน

แทบจะเป็นเสี้ยวขณะเดียวกัน จังหวะที่หนานหว่านเยียนผลักประตูเข้าไป โม่เหยียนก็เดินออกมาจากในห้อง

เขาสวมเพียงอาภรณ์ผืนบางและเรียบง่ายชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่กลับสะท้อนเค้าโครงร่างกายและมัดกล้ามแข็งแกร่งล่ำสันรวมถึงไหล่และแผงอกกว้างของบุรุษออกมาอย่างชัดเจน

ดวงหน้าของเขาซีดขาวและอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด นิ้วเรียวจนเห็นข้อกระดูกม้วนเป็นกำปั้นอยู่ตรงปากพลางกระแอมไอออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา มองแล้ว ต่างจากกู้โม่หานที่แข็งแรงมีชีวิตชีวาราวฟ้ากับเหว

ครั้นเห็นหนานหว่านเยียน สีหน้าแววตาที่งามหน้ามองของเขาคล้ายกับตะลึงงันก่อน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมา “องค์หญิง ท่านกลับมาแล้ว”

“ไม่ทราบว่าท่านกลับมา ข้าน้อยมิได้ออกไปต้อนรับท่านด้วยตนเอง ขอองค์หญิงโปรดประทานอภัยให้ข้าน้อยด้วย”

หนานหว่านเยียนจ้องใบหน้าเขาไว้ ความรู้สึกในใจยามนี้เต็มไปด้วยความสับสน ทว่าใบหน้ากลับเรียบเฉยไม่แสดงออก

นางกวาดสายตามองภายในตำหนักปราดหนึ่ง ชัดว่ามีร่องรอยของการใช้ชีวิต ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างแนบเนียน เอ่ยด้วยเสียงเบาหวิวขึ้นว่า “มิใช่เรื่องใหญ่อันใด เจ้าเองก็ยังบาดเจ็บอยู่ พักฟื้นบาดแผลในห้องก็เป็นเรื่องปกติ”

โม่เหยียนเห็นแววตาของหนานหว่านเยียนฉายประกายวูบไหว ก็ทราบทันทีว่าความหวาดระแวงในใจของนางยังไม่จางหายไป ก็เอ่ยปากด้วยท่าทางรู้สึกผิด “โม่เหยียนไม่สามารถเดินทางเคียงกายองค์หญิงไปที่อู้ไห่ได้ เป็นความบกพร่องของข้าน้อย”

“ไม่ทราบว่า ท่านเดินทางราบรื่นปลอดภัยดีหรือไม่ ระหว่างทางพบเจอเหตุการณ์ใดบ้างหรือเปล่า?”

หนานหว่านเยียนมิได้ปลดความระแวง และมิได้เชื่อโม่เหยียนทั้งแบบนี้ เลิกคิ้วมองเขาปราดหนึ่งก็กล่าว “แค่ไปพบคนน่ารำคาญคนหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่ตามไปก็ดีแล้ว”

อุตส่าห์ได้ใช้ชีวิตด้วยกันตั้งหนึ่งวันแล้ว เหตุใดฮองเฮาเหนียงเหนียงถึงได้ยังรังเกียจเดียดฉันท์ฝ่าบาทเช่นนี้? ไม่เห็นเค้าว่าจะดีกันเลยแม้แต่น้อย

หยุนเหิงลอบมองโม่เหยียนปราดหนึ่งอย่างเงียบเชียบ ความประหม่าปรากฏชัดเจนไม่น้อย

สีหน้าของโม่เหยียนเรียบเฉยไม่สะทกสะท้าน “ถึงแม้ข้าน้อยจะไม่ทราบว่าองค์หญิงไปพบผู้ใดมา แต่บัดนี้ท่านกลับมาถึงแล้ว เชิญพักผ่อนให้เต็มที่เถิด”

ถึงนางไม่ชมชอบเขา เขาก็ไม่เคยโกรธกริ้ว ต่อให้ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกัน แต่ที่เขาสามารถออกจากวัง รวมถึงกลับเข้าวังได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ทั้งหมดเพราะได้รับการช่วยเหลืออย่างลับ ๆ จากหยุนเหิงที่อยู่ในวังมาตลอด ใช้อุบายอันฉลาดเฉลียวแยบยล สร้างสถานการณ์ตบตา ให้คนรู้สึกว่าเขาไม่เคยออกไปที่ใด

สำรับอาหารที่ถูกส่งมายังตำหนัก ล้วนถูกจัดการ โดยคนที่หยุนเหิงเตรียมการไว้แล้วทั้งสิ้น

คนในวังหลวงมิได้ระแวงหยุนเหิงมากนัก เหตุนี้ทุกสิ่งถึงได้ราบรื่น

เว้นเพียงหนึ่งสิ่งที่ไม่ราบรื่นนัก นั่นคือตอนที่เขาเร่งรีบกลับมายังตำหนักเมื่อครู่ เพราะมีบาดแผล หนำซ้ำยังต้องรีบเร่งหักกระดูกปลอมตัวกลับเป็น “โม่เหยียน” เขาเกือบถูกจับได้แล้ว…

เสี้ยวขณะนั้นเขากำลังผลัดอาภรณ์อยู่ในมุมอับสายตาด้านหลังห้องพอดี กลับองครักษ์นายหนึ่งเคาะประตูในจังหวะเดียวกัน ครั้นเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับ สายตาก็สอดมองเข้ามาด้านใน

เขาเม้มปากแน่น ท่าทางคล้ายกำลังกระดากอาย “เดิมข้าน้อยคิดว่าตนเองจะสามารถปกป้องดูแลท่านได้อย่างดี กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกคนชั่วช้าทำร้ายเช่นนี้”

“แม้ว่าองค์หญิงท่านจะซื่อสัตย์จริงใจไม่เคยตำหนิต่อว่าข้าน้อยมาก่อน ทว่าในใจของข้าน้อยกลับรู้สึกหวาดหวั่น กลัวท่านจะรู้สึกว่าตัวข้าน้อยผู้นี้ไร้ประโยชน์ ด้วยเหตุนี้…ด้วยเหตุนี้ข้าน้อยจึงไม่กล้าออกจากวังไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”

“สองสามวันที่ผ่านมา ใช่ว่าข้าน้อยไม่อยากออกไปข้างนอก เพียงแต่ต้องการปิดประตูสร้างความสงบและสมาธิ เพื่อพิจารณาถึงความผิดบาปของตนเองเท่านั้น”

ว่าพลาง เขาก็หลุบสายตาลงจ้องมองมือซ้ายของหนานหว่านเยียนอย่างตั้งใจ ครั้นพบว่าบนนิ้วของนางสวมแหวนวงหนึ่งไว้ ดวงหน้าพลันฉายประกายงุนงงสงสัยขึ้นมา

หนานหว่านเยียนฟังคำอธิบายของเขาก็คิดว่าพอใช้ได้ กระทั่งเห็นเขาเอาแต่จ้องมองมือของนางอยู่ตลอด ท่าทางคล้ายกำลังฉงนสงสัย ก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ในยามนี้ว่าตนถูกกู้โม่หานสวมแหวนให้เมื่อคืน

ระหว่างทางกลับวัง นางลองหลายวิธีแล้ว ทว่าทำอย่างไรก็ถอดมันไม่ออก ยามนี้ นางพลันได้ยินคำถามสนเท่ห์ของโม่เหยียนขึ้นว่า “องค์หญิง สิ่งนี้คืออาวุธลับชิ้นใหม่อย่างนั้นหรือ?”

เขาจ้องมองด้วยท่าทางฉงนสงสัยโดยแท้จริง สิ่งสำคัญคือ เขาไม่สามารถใช้อุบายปิดฟ้าข้ามสมุทรได้อย่างสมบูรณ์ ที่จะแสดงละครให้แนบเนียนและแยบยลเพียงนั้น ท้ายที่สุดหนานหว่านเยียนก็กำจัดข้อสงสัยในใจออกไปได้ นางเอ่ยปากอย่างนุ่มนวลสุขุมว่า

“เปล่า ในเมื่ออาการป่วยของเจ้ายังไม่หายดี เช่นนั้นก็พักฟื้นร่างกายต่อเถิด แล้วก็อีกอย่างอย่าเอาแต่โทษตนเองเช่นนี้เลย”

“เรื่องลอบสังหาร ข้าจะจัดการเอง”

ครั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หยุนเหิงลอบถอนหายใจออกมาอย่างเงียบเชียบ ฮองเฮาเหนียงเหนียงน่าจะเชื่อมั่นในตัวฝ่าบาทแล้วกระมัง

ตราบใดที่เชื่อมั่นก็ราบรื่นมากแล้ว วันหน้าวันหลังพฤติกรรมของฝ่าบาทจะได้ผ่อนคลายลงได้บ้าง

โม่เหยียนเห็นหนานหว่านเยียนสวมแหวนอยู่ ในใจกลับรู้สึกปีติยินดีขึ้นมาลึก ๆ เขาทอดสายตามองนัยน์ตาของนาง คิ้วเรียวได้รูปฉายประกายอบอุ่นอ่อนโยนลงมาก “ข้าน้อยรับทราบ”

ยามนี้เอง ด้านนอกตำหนักกลับมีเสียงกระโชกโฮกฮากดังสนั่นลั่นขึ้นมา “องค์หญิง! ห้ามเชื่อคนผู้นี้โดยเด็ดขาด เขาไม่ใช่โม่เหยียนอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว…”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้