บทที่ 486 ปากที่ควบคุมไม่ได้
วังเฟิ่งหยีจุดโคมไฟเอาไว้แล้ว เมื่อเดินผ่านทางเดินยาวของวังเฟิ่งหยี ทั้งสองข้างมีโคมไฟขนาดใหญ่สีแดงแขวนอยู่สองแถว
ในวัง โคมไฟก็มีการจัดแบ่งระดับ โคมไฟสีแดงมีเพียงวังเฟิ่งหลงของฮองเฮาที่สามารถแขวนได้
ส่วนโคมไฟของสนมอื่นๆสีสันจะแตกต่างกันไป
ฮองเฮาอยู่ระดับหนึ่ง หวงกุ้ยเฟยก็อยู่ระดับหนึ่ง กุ้ยเฟยก็อยู่อีกระดับหนึ่ง ค่อยๆลดหลั่นกันลงไป
ของฮองเฮาคือโคมไฟสีแดงลูกใหญ่ ของหวงกุ้ยเฟยคือโคมไฟสีแดง ส่วนโคมไฟของกุ้ยเฟยสวยที่สุด สีจะอ่อนสักหน่อย
ทางเดินยาวมาก ระยะทางประมาณสองร้อยกว่าเมตร ทำให้สามารถมองเห็นด้านบนของวังเฟิ่งหยีได้
ตลอดทางอันหลิงหยุนรู้สึกแปลกๆ ไม่มีใครเลยสักคน ปกติแล้วไม่ว่าฮ่องเต้ชิงหยู่จะเสด็จไปที่ไหนในวัง จะต้องมีคนไม่น้อย
คนที่ตามเสด็จวันนี้ มีเพียงแค่ขันทีน้อย
“ถวายบังคมฝ่าบาท” มีคนออกมาจากวังเฟิ่งหยี หมอบคลานอยู่ที่พื้น
“ลุกขึ้นเถอะ ฮองเฮาล่ะ?” ฮ่องเต้ชิงหยู่ถาม
“ทูลฝ่าบาท ฮองเฮากำลังสวดมนต์เพคะ”
ฮ่องเต้ชิงหยู่หันมองอันหลิงหยุน แล้วจึงเดินนำเข้าไปก่อน อันหลิงหยุนเดินตามหลังเข้าไป
เมื่อเข้าไปถึงห้องบรรทมในวังเฟิ่งหยี สิ่งที่อันหลิงหยุนเห็นเป็นอย่างแรกคือหอพระที่ตั้งขึ้นใหม่ ในวังสร้างหอพระ?
อันหลิงหยุนรู้สึกงง
ฮ่องเต้ชิงหยู่เข้าไปด้านใน ก็เดินไปยังฝั่งตรงข้ามหอพระ ที่นั่นมีโต๊ะตั้งอยู่ ส่วนที่อยู่ถัดจากโต๊ะคือที่บรรทมของฮองเฮาเสินหยุนชู
“ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ” นางกำนัลไปกราบทูลต่อเสินหยุนชู เสินหยุนชูจึงได้วางลูกประคำในมือลง แล้วเดินออกมาจากหอพระ
อันหลิงหยุนยืนอยู่ทางด้านหนึ่ง เมื่อเสินหยุนชูเดินออกมา อันหลิงหยุนก็รีบทำความเคารพ: “ถวายพระพรฮองเฮา”
“ไม่ต้องมากพิธี” เสินหยุนชูพูดพลางก็เดินเข้าไปหาฮ่องเต้ชิงหยู่ แล้วถอนสายบัว
ไม่ได้พูดอะไร แล้วจึงลุกขึ้น
อันหลิงหยุนสังเกตเสินหยุนชูอย่างละเอียด สวมใส่ฉลองพระองค์ที่เรียบง่าย บนศีรษะไม่ได้ประดับอะไรไว้ เพียงแค่ม้วนผมไว้เท่านั้น หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง รูปร่างก็ดูซูบผอมลง
“วันนี้ข้ามาตั้งใจที่จะมานอนค้างที่วังเฟิ่งหยี ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะยินดีหรือไม่?” ฮ่องเต้ชิงหยู่พูดเช่นนี้ ทำให้อันหลิงหยุนใจเต้น บางเวลาก็มีเตียงที่แม้แต่ฝ่าบาทก็ขึ้นไปนอนไม่ได้เหมือนกัน
“วันนี้ไม่สะดวกเพคะ ขอทรงประทานอภัยด้วยเพคะ!” เสินหยุนชูไม่ได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดเสียทีเดียว แต่ความหมายในคำพูดนั้นหมายถึงไม่ยินดี
ฮ่องเต้ชิงหยู่หันมองอันหลิงหยุน: “วันนี้พระชายาเสียนเข้าวัง ฮองเฮาสวดมนต์อยู่คนเดียว ไม่สู้มาสวดด้วยกัน”
เสินหยุนชูหันกลับมามองอันหลิงหยุน จึงได้เชิญอันหลิงหยุนเข้าไปนั่ง
ในใจของอันหลิงหยุนรู้สึกกระสับกระส่าย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
จึงได้เดินไปนั่งลงข้างๆฮองเฮา แล้วอันหลิงหยุนก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา
กลายเป็นเสินหยุนชูที่ถามขึ้นมา: “พระชายาเสียนเชื่อเรื่องกรรมไหม?”
“หม่อมฉันไม่ค่อยเชื่อเรื่องกรรมเท่าไหร่เพคะ” ในเมื่อถูกถามแล้ว อันหลิงหยุนจึงทำได้เพียงคุยเป็นเพื่อนนาง
เสินหยุนชูมองไปที่อันหลิงหยุน : “ทำไมล่ะ?”
“ไม่มีเหตุผลเพคะ หากมองอีกมุมหนึ่ง เหตุคือจุดเริ่มต้น ส่วนผลที่เกิดขึ้นคือโอกาส มีจุดเริ่มต้น บวกกับโอกาส จึงจะได้รับ
ง่ายๆเช่นนี้เพคะ”
เสินหยุนชูมองพิจารณาอันหลิงหยุนไม่ได้พูดอะไร ฮ่องเต้ชิงหยู่เองก็กำลังคิดตามคำอธิบายนี้ ก็รู้สึกเห็นด้วยพอสมควร จึงยิ้ม
เสินหยุนชูถาม: “พระชายาเสียนรู้เรื่องธรรมะด้วยหรือ?”
“รู้เพียงเล็กน้อยเพคะ พระพุทธศาสนา!” อันหลิงหยุนพูดต่อ
เสินหยุนชูทำหน้าตาสงสัย: “พระพุทธศาสนา?”
เบื้องหน้าที่เห็นคือความเจริญรุ่งเรือง ตอนนี้เขาจึงสามารถกลับสู่ที่ที่เขาจากมาได้แล้ว!”
“เจ้าพูดอะไร?” เสินหยุนชูตะลึง ไม่กล้าจะคิดเลยด้วยซ้ำ
อันหลิงหยุนพูดว่า: “ฮองเฮา การฝึกปฏิบัตินั้นไม่ผิด แต่หากรบกวนถึงคนอื่นนั้นถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ ในที่นี้ ฮองเฮาถือเป็นมารดาของแผ่นดิน ช่วยฝ่าบาทดูแลวังหลัง และต้องเป็นตัวอย่างให้แก่ราษฎร
ประเทศต้าเหลียงรุ่งเรืองแข็งแกร่งอย่างเช่นทุกวันนี้ ทุกๆที่สงบสุข ถ้าหากฮองเฮาทรงหนีเข้าสู่ทางธรรม แล้วราษฎรที่เป็นสตรีเอาเยี่ยงอย่างตาม แล้วบุรุษของประเทศต้าเหลียงจะมีความรักได้เช่นไร หากเป็นเช่นนั้นคงจะต้องผิดหวังใช่หรือไม่เพคะ?
เสินหยุนชูไม่เข้าใจ: “ผู้ชายรู้สึกผิดหวัง แล้วเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงเล่า?”
“เกี่ยวข้องแน่นอนเพคะ ผู้ชายทำงานหาเลี้ยงชีพนอกบ้าน ก็เพื่อให้ภรรยาและลูกมีชีวิตที่สุขสบาย และเป็นทหารรับใช้ชาติตามชายแดน ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกมารุกราน เพื่อปกป้องภรรยาและลูกที่อยู่ที่บ้าน
ถ้าหากภรรยาหันหน้าเข้าทางธรรม ผู้ชายก็จะรู้สึกว่าต่อสู้ออกรบจนตัวตายก็ไร้ความหมาย ดังนั้นประเทศชาติก็คงล่มสบายในไม่ช้า”
“.....แต่ว่าพระพุทธเจ้า......”
“พระพุทธเจ้าทรงมีความเมตตา แต่พระองค์ก็ไม่เคยพูดว่า ผู้หญิงห้ามแต่งงาน และไม่เคยพูดว่า หากไม่มีความสุขให้หันหน้าเข้าสู่ทางธรรม การใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวของพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่กลัวว่าปัญหาที่ยังไม่จบสิ้นจะเป็นการรบกวนศาสนาหรอกหรือ?
ศาสนาเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ แล้วฮองเฮาจะนำเรื่องทางโลกเข้าไปรบกวนศาสนาจริงหรือ?
หากฮองเฮาทรงมีปมในใจจริงๆ ไม่สู้วางปมนั้นลงเสีย
วางลงก็สำเร็จแล้ว หากตนเองสำเร็จ คนอื่นก็สำเร็จไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นราษฎรก็สำเร็จ
คิดว่าพระอรหันต์รูปนั้นมีอำนาจพิชิตโลกได้จริงๆหรือเพคะ?
ไม่เป็นเช่นนั้น พระอรหันต์รูปนั้นปล่อยอารมณ์ความรู้สึกไปตามความวุ่นวายของทุกสรรพสิ่ง ความโศกเศร้าเสียใจ แต่กลับไม่เข้าใจรักโลภโกรธหลงในโลกมนุษย์ ตอนที่เขาเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์ จึงไม่ใช่การฝึกฝน!
ถ้าหากนั่นคือการฝึกฝนจริง แล้วคนที่ปรากฏตัวรอบกายเขา ทำไมจึงไม่บรรลุธรรมไปด้วย?
ในเมื่อเป็นการบรรลุธรรม เช่นนั้นคนที่เคยปรากฏตัวขึ้นต่างก็กำลังฝึกฝนในโลกมนุษย์
การฝึกฝนไม่มีข้อกำหนดตายตัว อาจจะเป็นความทุกข์หรือเป็นความสุข...... ล้วนเป็นหนทางในการฝึกฝนทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าทรงมีเมตตา ทรงผ่านความทุกข์มาทั้งสิ้นแล้ว หวังว่าฮองเฮาจะทรงปล่อยวางจิตใจด้านมืดลงได้ การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจะได้ไม่เปล่าประโยชน์! ชาติหน้าเท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ได้! หวังว่าจะไปสู่ดินแดนอันบริสุทธิ์โดยเร็ว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอยาของอ๋องเสียน
เรื่องนี้สนุกมาก ดีมากจริงๆ ขอบคุณผู้แต่ง ขอบคุณผู้แปล ขอบคุณสปอนเซอร์ ขอบคุณ Admin ที่ลงให้อ่านจนจบ ถ้าเป็นไปได้อยากอ่านเรื่องเจ้าห้าต่อ...
หยุนหยุนคือแบบ เห้อออออ...
เต้คือหงเมียหนักมาก ผิดขนาดไหนก็เข้าข้าง...
ฮองเฮาก็ไม่ได้ท้องจริงๆซะหน่อย คนที่ท้องจริงๆก็มีแค่เซียวผินผู้น่างสารเท่านั้น...
ฮองเฮาเลวทรามเพียงใดทุกคนรู้หมด เต้ก็รู้ดีในใจ แต่ก็บังคับให้ทุกคนต้องตายเพื่อเมียรักตัวเอง ช่างเป็นผัวเมียที่เลวทรามสมกันจริงๆ สงสารหยุนหยุน ทำไมต้องชีวิตมาพัวพันกับคนชั่วพวกนี้ด้วยนะ...
ทุกคนรู้มดว่าฮองเฮาพยายามฆ่าหลิงหยุนาตลอด แต่ทุกคนก็ต้องการให้หลิงหยุนช่วยฮองเฮาและบ้านฮองเฮา ฮ่องเต้ก็นิสัยแย่นะ รักเมียหลงเมียจนปิดหูปิดตาทุกทาง ใจขณะดียวกันก็บังคับห้หิงหยุนสละชีวิตเพื่อตัวเองกับเมียัตวเอง บ้าบอ...
อักลิงหยุนคือใช้เงินมือเติบมากอยู่นะ ขึ้นเงินเดือนให้คนั้งจนตั้งเยอะในคราวเดียว อีกทั้งสร้างหนี้สินพันรอบตัวอีก อย่างไรก็ตามรักษาใครก็ไม่เคยได้เงิน คนในราชวงศ์ขี้เหนียวมาก...
กระยาหารังคืออะไรคะ...