ยอดหมอยาของอ๋องเสียน นิยาย บท 498

บทที่ 498 คนนั่งอยู่บ้าน แต่เคราะห์ร้ายกลับมาจากในวัง

“ท่านอ๋องพูดเช่นนี้ก็หมายความว่าเฉาเหวินเป็นลูกพี่ลูกน้องของท่าน แล้วเหตุใดท่านถึงได้ไม่รู้จัก” อันหลิงหยุนเข้าใจแล้ว ที่แท้เขาก็ปล้นเงินตัวเอง

กงชิงวี่เอ่ยอย่างเย็นชา “มารดาของเฉาเหวิน เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาของบิดาเสด็จแม่ อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่มีบทบาทสำคัญอะไรในจวนมากนัก คนในครอบครัวเขาที่เสด็จแม่ยังไปมาหาสู่ด้วยก็มีไม่มากนัก กั๋วจิ้วน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น รองลงมาก็เป็นก๊กกู๋ใหญ่ ทว่าคนที่เหลือนั้นมีมากนัก เหล่าเครือญาติราชนิกุลก็มีอยู่มาก เสด็จแม่ถึงไม่ค่อยได้พบพวกเขานัก คนบางคนหากไม่ใช่พยายามลืมไปเสีย ก็เป็นพวกที่จำเป็นต้องรู้จักอย่างเสียไม่ได้

มารดาของ เฉาเหวิน ผู้นี้นามว่า หวางเฟิงยี๋มีอุปนิสัยดุร้าย หากก็เป็นคนรู้ความนัก นางนับเป็นยอดดวงใจของก๊กกู๋ใหญ่ หลังจากแต่งให้บิดาของเฉาเหวิน แล้วก็ยังเข้าออกจวนกั๋วจิ้วอยู่บ่อยครั้ง ถึงขนาดที่ว่าธุระไม่น้อยของก๊กกู๋ใหญ่ก็มีนางเป็นผู้ไปจัดการ

ช่วงก่อนหน้านี้ที่มู่มิงเข้าวัง ได้ยินมาว่าก็เป็นความชอบของนาง ตอนที่ข้าไปหากั๋วจิ้วน้อย เขาพูดกับข้าว่า เรื่องที่มู่มิงได้เข้าวังนั้นนางมีส่วนเป็นอย่างมาก และในคืนที่ตัดสินใจให้มู่มิงเข้าวังในคืนนั้น หวางเฟิงยี๋ผู้นี้ก็อยู่ที่ในวังด้วย

“หากพูดเช่นนี้เราก็ล่วงเกินคนของไทเฮาเข้าแล้วงั้นหรือ” อันหลิงหยุนพลันทำหน้ากังวลขึ้นมา เรื่องนี้ดูจะวุ่นวายขึ้นมาไม่น้อยแล้ว ฝ่าบาทเชื่อฟังเพียงไทเฮาเท่านั้น พวกเขาทำลายรากฐานของไทเฮาเช่นนี้ก็ออกจะไม่ถูกต้องอยู่

“ในเมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้แล้วก็ไม่มีทางอื่น ก็ทำได้แค่จู่โจมก่อนแล้ว”

อันหลิงหยุนถามต่อ “หวางเฟิงยี๋ผู้นี้อยู่สุขสบายขนาดนั้น ท่านตาคงโปรดท่านแม่ของนางมากกระมัง”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” กงชิงวี่มองอันหลิงหยุน ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก

“แต่ละบ้านตบแต่งภรรยาไม่ว่าจะภรรยาหลวงหรืออนุ หากมีฐานะสูงส่งสักหน่อยก็สามารถนำสาวใช้สองคนติดตัวมาเป็นสินเดิมได้

สาวใช้เหล่านั้นเป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดี สตรีที่นี่จำต้องยอมรับอยู่เรื่องหนึ่งกว่าจะต้องแบ่งปันสามีกับผู้อื่น จึงจะนับว่ามีน้ำใจกว้างขวางอย่างที่คนเป็นภรรยาควรจะเป็น และนับเป็นศรีภรรยา

หากสาวใช้พวกนั้นมีไว้ทำอะไรเล่า ประการแรกก็เพื่อให้มีคนอยู่ข้างกาย ประการที่สองที่สำคัญที่สุด เมื่อแรกเข้าบ้านสามีไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง สาวใช้เหล่านั้นจึงมีไว้เพื่อเอาอกเอาใจสามี

แทนที่จะให้สามีแต่งผู้ที่จะเข้ามาต่อสู้กันตาต่อตาฟันต่อฟันกับภรรยาหลวง ยังไม่สู้แต่งผู้ที่เป็นพวกเดียวกันภรรยาไปเสีย ไม่เท่ากับเป็นเสือติดปีกไปเลยหรือ”

ได้ยินดังนั้น อันหลิงหยุนถึงได้เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “ความหมายของท่านอ๋องก็คือมารดา หวางเฟิงยี๋ผู้นี้เป็นสาวใช้สินเดิมของพระมารดาของเสด็จแม่ เพราะฉะนั้นนางอยู่ในจวนจึงมีฐานะต่ำต้อยเช่นนั้นหรือ”

“นางไม่ได้มีฐานะโดดเด่นอันใดนัก ถึงอย่างไรเสียลูกที่เกิดจากภรรยาเอกก็มีอยู่หลายคน ทว่ามารดาของ หวางเฟิงยี๋คือสาวใช้สินเดิมของท่านยาย จึงอาจพูดได้ว่านางซื่อสัตย์และภักดีต่อท่านยายนัก คาดว่าในช่วงปีนั้นนางคงช่วยรักษาฐานะในจวนของท่านยายให้มั่นคง และกำจัดศัตรูที่คอยขวางหูขวางตาไปไม่น้อย

ภายหลังจึงได้เลื่อนฐานะของ หวางเฟิงยี๋ขึ้นมา

ไม่อย่างนั้นชื่อของนางคงไม่ได้มีเกียรติขึ้นมาถึงปานนี้ ผู้เป็นลูกอนุ มีเพียงบุรุษเท่านั้นที่มีชื่อทรงเกียรติและมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในวงศ์ตระกูลได้

ทว่าชื่อของหวางเฟิงยี๋ได้อยู่ในวงศ์ตระกูล เห็นได้ว่าในปีนั้นท่านยายกรุณามารดาของนางมากเพียงไร

“มิน่าเล่า ทว่าเมื่อก่อนท่านแม่ไม่ได้ไปมาหาสู่กับนาง เหตุใดด้วยเรื่องของมู่มิงจึงไปมาหาสู่กับนางแล้วเล่า”

“เพราะมีคนแนะนำอยู่บ่อยๆ ในตอนนั้เสด็จแม่หมดหนทางที่จะทำให้พวกเรายอมรับมู่มิงแล้ว ฮูหยินก๊กกู๋ใหญ่จึงเข้าวังมาเสนอให้หวางเฟิงยี๋เข้าวัง เสด็จแม่ก็คงตอบตกลงนั่นแหละ”

“ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น เช่นนี้ผู้ที่เป็นผู้ปกป้องคนผิดก็คือเสด็จแม่น่ะสิ แล้วท่านอ๋องคิดจะทำอย่างไร”

“จะยังทำอย่างไรได้ เงินมากมายขนาดนั้น มากพอจะให้ข้าใช้ในกองทัพที่ด่านชายแดนตอนฤดูหนาวเลยด้วย”

“แล้วทางด้านเสด็จแม่เล่า”

อันหลิงหยุนยังกังวอยู่ไม่น้อย ทว่ากงชิงวี่กลับแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง หากก็ไม่ได้เอ่ยคำใดต่อ

เมื่อถึงหน้าประตูวัง กงชิงวี่ก็ลงจากรถม้าไปคนเดียว ส่วนอันหลิงหยุนรออยู่บนรถ

“ท่านอ๋อทรงระวังด้วย” อันหลิงหยุนที่อยู่บนรถม้าสีหน้าไม่ดีนัก ลูกชายไปพบแม่มีอันใดน่าเป็นห่วงกัน คงไม่ถึงขนาดตัดหัวเขากระมัง

ไห่กงกงที่รออยู่หน้าตำหนัก เมื่อเห็นทั้งสองเข้าจึงรีบคุกเข่าคำนับทันที “ข้าน้อยถวายบังคมฝ่าบาทและอ๋องเสียนพ่ะย่ะค่ะ”

“ลุกขึ้นเถิด เข้าไปทูลเสด็จแม่ทีว่าเรามีเรื่องขอเข้าเฝ้า”

“ไทเฮาเพิ่งจะตรัสว่าคิดถึงฝ่าบาท ยังบอกให้ข้าน้อยไปเชิญฝ่าบาทมาอยู่เชียว ยามนี้ฝ่าบาทก็มาแล้ว เชิญฝ่าบาทเข้าไปเลยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ชิงหยู่หันไปมองกงชิงวี่ ก่อนจะถือสมุดบัญชีในมือเข้าไปในตำหนักเฉาเฟิ่ง

“ลูกถวายบังคมเสด็จแม่พ่ย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ชิงหยู่เข้าไปหวางฮองไทเฮา พระนางทอดพระเนตรสมุดบัญชีในมือของฮ่องเต้

“ข้าพอได้ยินเรื่องมาบ้างแล้ว ให้ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไปว่า เรื่องนี้เป็นเพราะข้าไม่เข้มงวด ทำให้ฝ่าบาทต้องอับอาย ข้าต้องรับโทษ นับแต่วันนี้ไป ข้าจะไปขังตัวเองสำนึกผิดที่ตำหนักศาลบรรพชนเป็นเวลาสิบวัน ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่เหลือฝ่าบาททำตามเห็นสำควรเถิด”

“เสด็จแม่…” ฮ่องเต้รู้สึกทำไม่ลงอยู่บ้าง “ให้ลูกเป็นคนไปเถิด หากให้เสด็จแม่เป็นผู้รับโทษ ลูกจะทนได้อย่างไรกัน ให้ลูก…”

“เจ้าเป็นฮ่องเต้ ไม่อาจบุ่มบ่าม คนพวกนี้ทำเกินไปจริงๆ หากข้าไม่รับโทษ พวกเขาก็จะพาลคิดว่าแผ่นดินต้าเหลียงเป็นของพวกเขาไปด้วย”

“ลูกขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงปกป้องพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ชิงหยู่ราวกับยกภูเขาออกจากอก

หวางฮองไทเฮาลุกขึ้น ฮ่องเต้ชิงหยู่จึงเดินเข้าไปพยุงที่มือของหวางฮองไทเฮาทันที “ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว พรุ่งนี้แม่จะไปที่ตำหนักศาลบรรพชน เจ้าเองก็กลับไปเสียเถิด ฝากไปบอกแม่คนชอบหาเรื่องข้างนอกวังผู้นั้นด้วยว่า ให้พรชายาอ๋องเสียนไปขังตัวเองสำนึกผิดกับแม่ด้วย จะได้ไม่ไปก่อเรื่องข้างนอกอีก”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ขณะเดียวกันนั้นเอง อันหลิงหยุนก็พลันจามขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ก่อนจะลูบจมูกพลางทำหน้าสงสัย อยู่ดีๆ เหตุใดถึงได้จามขึ้นมาได้

พอคิดถึงพระพักตร์ยิ้มกริ่มได้ใจของหวางฮองไทเฮา อันหลิงหยุนก็เกิดลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคลขึ้นมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอยาของอ๋องเสียน