“หากเจ้าต้องการสนหิมะเขาฉีซาน ก็ไปงานเลี้ยงกับข้า”
นี่คือลายมือของฟู่เฉินหวน
ข่มขู่นางอีกแล้ว
นางมิรู้ว่าคราวนี้ฟู่เฉินหวนต้องการทำอะไรอีก แต่นางก็ยังตัดสินใจไปด้วย
ไม่มีทางหลีกหนีได้อยู่ดี
แต่คาดมิถึงว่าฟู่เฉินหวนจะพาลั่วเยวี่ยอิงเข้าวังไปด้วย
ตอนนี้ชื่อเสียงของลั่วเยวี่ยอิงฉาวโฉ่ นางมิรู้ว่าฟู่เฉินหวนพานางมาด้วยเพราะเหตุใด เพียงเพื่อให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาหรืออย่างไร
แต่อย่างไรนางก็มิใช่คนที่ถูกหัวร่อใส่อยู่ดี ลั่วชิงยวนจึงมิสนใจ
วันนี้ลั่วเยวี่ยอิงแต่งตัวงดงาม นางยังสวมอาภรณ์สีสันสดใสที่นางสวมในงานชมบุปผาครั้งก่อน ด้วยความหวังที่จะให้ตัวเองเด่นกว่าลั่วชิงยวน
เมื่อเห็นท่าทางภาคภูมิใจของนาง ลั่วชิงยวนรู้สึกขบขันและมิสนใจ สิ่งที่นางต้องการตอนนี้คือสนหิมะเขาฉีซาน
นางมิอยากเป็นคนไร้ค่าไปตลอดชีวิต
หลังจากเข้าไปในวังหลวง มีหลายคนระหว่างทางที่เห็นลั่วเยวี่ยอิงอยู่ข้างกายฟู่เฉินหวน สายตาของพวกเขาแปลกและเต็มไปด้วยการนินทา
“มิใช่ว่าก่อนหน้านี้ลั่วเยวี่ยอิงไปยั่วยวนคุณชายสกุลเหยียนหรอกหรือ? หลังจากก่อให้เกิดเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่เช่นนั้นนางกล้าเข้ามาในวังได้อย่างไร?”
"ช่างไร้ยางอายจริง ๆ"
“หากนางรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง นางคงมิตามรบเร้าจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องหรอกกระมัง”
มีคนแอบหัวเราะเยาะ
ตลอดทาง เสียงเหล่านั้นล้วนมิน่าฟัง การปรากฏตัวของลั่วเยวี่ยอิงกลายเป็นประเด็นร้อนในงานเลี้ยงไปเสียแล้ว
แต่ทว่าลั่วชิงยวนยังได้ยินเสียงที่แตกต่างจากเสียงเหล่านี้อีกด้วย
เช่น วันนี้จะมีองค์หญิงและองค์ชายชาวเผ่านอกด่านมาถวายของกำนัลเพื่อแสดงความยินดีแด่องค์จักรพรรดิ
ลั่วชิงยวนสังเกตและคิดว่าฉินเชียนหลี่ดูเหมือนจะเคยพูดถึงชาวเผ่านอกด่านนี้มาก่อน
ชายแดนที่พวกเขาประจำการอยู่คือจุดรวมตัวของชาวเผ่านอกด่าน ชาวเผ่าอาศัยอยู่เป็นกลุ่ม ๆ มีผู้นำเป็นของตนเอง จึงวุ่นวายมาก มักจะบุกโจมตีชาวบ้านบริเวณชายแดน
ดังนั้นแล้วองค์หญิงและองค์ชายของชาวเผ่านอกด่านคู่นี้มาจากที่ใดกัน?
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้น หลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้วองค์จักรพรรดิและไทเฮาก็เสด็จมา
ลั่วชิงยวนยังเห็นชายหญิงสองคนแต่งตัวอย่างชาวต่างแคว้นนั่งอยู่ตรงข้าม
“นำมันไปเก็บ”
ฟู่จิ่งหานมิอยากมองกะโหลกหมาป่านั้นอีกแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเห็นท่าทีรังเกียจของฟู่จิ่งหาน ทันใดนั้นลั่วชิงยวนก็สงสัยขึ้นมาว่าด้านหน้าของกะโหลกหมาป่าจะเป็นอย่างไร
แต่พวกเขากลับคลุมกะโหลกหมาป่าลงและนำมันไปเก็บ
องค์หญิงหล่างชิ่นกล่าวเสริม “หม่อมฉันได้ยินมานานแล้วว่ามีปรมาจารย์มากมายในแคว้นเทียนเชวีย วันนี้เสด็จพี่กับหม่อมฉันมาที่นี่ ก็ต้องการเห็นความแข็งแกร่งของยอดฝีมือในแคว้นเทียนเชวีย แลกเปลี่ยนและทดสอบวรยุทธ”
“มิทราบว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้เสด็จพี่ของหม่อมฉันได้ประลองกับที่นี่หรือไม่”
คำพูดนี้แสดงออกถึงความท้าทายทันที
ลั่วชิงยวนคิดว่า ชาวเผ่านอกด่านผู้นี้อาจต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของแคว้นเทียนเชวียของพวกเขา
แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นฝ่ายท้าทาย ฟู่จิ่งหานก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคำท้าทายนี้ เมื่อเผชิญกับชาวเผ่าที่มิอาจเรียกตนว่าแคว้นได้
จากนั้นเขาก็พูดว่า “ย่อมได้”
“ในแคว้นเทียนเชวียของเรามีปรมาจารย์มากมาย เจ้าสามารถเลือกท้าทายได้ตามต้องการ” ฟู่จิ่งหานพูดอย่างสบาย ๆ โดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวใด ๆ เลย
จากนั้นองค์ชายหล่างมู่ก็ก้าวไปข้างหน้าและมองดูทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงแห่งเทียนเชวีย
อ่านมาสามร้อยกว่าตอน ยอมรับว่านางเอกเป็นคนเก่ง เก่งแต่ทำเรื่องโง่ๆ โง่จนอ่านไปเจ็บอกไป โมโหจนจะเป็นลม ทำเพื่อผู้ชายแบบอิอ๋องไม่รู้กี่รอบ อีกกี่ตอนนางเอกถึงจะฉลาด...
หายไปไหน ไม่อัพหลายวันแล้ว ติดอยู่ตอนที่ 1386 รออ่านนะคะ เป็นกำลังใจให้น๊า...
รู้ว่ารวยแย่เองก่อความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น ทำไมไม่วางยาให้เป็นใบ้ บางบทก็ฉลาดเกินบทจะโง่ก็สุดจริง...
อาจารย์ก็ถูก รั่วให้เพียงใช้ประโยชน์ ตัวเองก็ถูกสู้เชิงหัวใจประโยชน์ เกือบตายหลายครั้ง แต่ก็ไม่ไปไหนสักที คอนจบรักกันดูดดื่มแน่นอนสินะ 5555...
มือสังหารในวังอ๋องก็องค์ชายห้าแหละ เดาตั้งแต่หมอกู้พูดว่า ไปหมดแล้วท่านเลิกแสดวได้แล้ว 555...
องค์ชายห้าตั้งใจ นางเอกก็รู้ทั้งรู้ว่ายิ่งเข้าใกล้องค์ชายห้ายิ่งมีเรื่องแต่ก็ไม่เลิก55555...
ยังรออ่านนะคะ...
นางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชายทำไมถ้านิสัยยังเหมือนเดิม...
ผัวอย่างเลว้าย แต่นางเอกก็คงรักผัวขั้นสุด เกือบทิ้งชีสิตหลายครั้งเพราะช่วยผัว ในขณะที่ผัวก็พยายามฆ่าตัวเองตลอด กู่คงเป็นเพียงข้อองมากกว่า 5555...
เกิดอะไรขึ้นคะ ไม่เขียนต่อแล้วเหรอ...