เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แม่นมจางกำลังจมดิ่งกับห้วงความคิดฟุ้งซ่าน กว่านางจะได้สติรู้ตัวอีกครั้ง ก็มาถึงจวนหย่งผิงโหวแล้ว
ชีเจิ้นเพราะเพิ่งพบเซียวอวิ๋นถิงที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิงมาเมื่อสักครู่ ยามนี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และไม่มีเวลามาสนใจสวี่อินอินเช่นกัน เพียงแต่เอ่ยปากออกคำสั่งอย่างส่งเดชไปว่า “ไปพบมารดาของเจ้าก่อนเถิด!”
เขาเอ่ยพลางเตรียมจะออกไป สวี่อินอินเองก็ไม่ได้สนใจนัก ยอบกายลง ทำความเคารพต่อชีเจิ้น
นางไม่ทำความเคารพยังดีเสียกว่า ครั้นยอบกายลงแล้ว ชีเจิ้นกลับชะงักฝีเท้าทันที
ไหนว่าอากัปกิริยาท่าทางการทำความเคารพของสวี่อินอินไม่ถูกต้องไม่สมควร
ปัญหาคือตรงนี้ มันถูกต้องตามระเบียบเกินไปแล้วต่างหาก
ท่วงท่าลีลาการยอบกายทำความเคารพของสวี่อินอิน ลื่นไหลดุจสายน้ำและเมฆา หาจุดบกพร่องไม่ได้แม้แต่จุดเดียว
เขาชะงักฝีเท้า “เจ้าเคยเรียนมารยาทมาก่อนหรือ?”
สวี่อินอินส่ายหน้าค่อยๆ ไม่ช้าไม่รีบร้อน เห็นชีเจิ้นขมวดคิ้ว ก็เม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางดูคล้ายขลาดกลัว “ยายคนหนึ่งเคยสอนข้าเจ้าค่ะ”
ยาย?
ชีเจิ้นรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเก่า หมู่บ้านที่สวี่อินอินอาศัยอยู่ หลายปีที่ผ่านมานี้ แม้แต่บัณฑิตขั้นจิ้นซื่อสักคนยังไม่เคยมี ตระกูลใดจะมีความฟุ้งเฟ้อร่ำรวย จนต้องใช้มารยาทประเพณีเหล่านี้กัน?
เขาเกิดความคิดในใจ ก็ถามด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า “เป็นยายจากที่ใดหรือ?”
มาแล้ว!
สวี่อินอินเอ่ยคำพูดแก้ต่างที่วนเวียนอยู่ในใจของตนนับไม่ถ้วนออกมา “ข้าต้องเดินทางหลายสิบลี้ไปตัดไม้ทำฟืนเสมอ ด้านบนของภูเขาลูกนั้นมีศาลเจ้าอยู่แห่งหนึ่ง ที่ศาลเจ้ามียายเฒ่าคนหนึ่งบอกว่าต้องชะตาข้ายิ่งนัก จึงสอนข้าอ่านตำราเขียนอักษร…”
บนภูเขา?
ด้านบนภูเขาลูกนั้นที่ห่างจากที่อาศัยของสวี่อินอินมีศาลเจ้าอยู่จริงๆ
หัวใจของชีเจิ้นพลันเต้นอย่างรุนแรง “ยายเฒ่าคนนั้น แซ่เจียงหรือไม่?”
สวี่อินอินเงยศีรษะขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
ชีเจิ้นสูดหายใจเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ
พินิจมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง สีหน้ายิ่งปรากฏความประหลาดใจหนักขึ้นกว่าเก่า
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพินิจพิเคราะห์เด็กสาวคนนี้อย่างตั้งใจเลยสักครั้ง กระทั่งยามนี้ได้จ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ถึงค้นพบว่า แม้ใช้ชีวิตตรากตรำทำงานหนักในชนบท ทว่าเด็กสาวคนนี้กลับมีผิวผิวพรรณขาวผ่องนุ่มเนียน
คิ้วคางเครื่องหน้าเองก็งดงามละเอียดอ่อน สันจมูกสูงตรง นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเปล่งประกายดุจเกลียวคลื่น
แค่คิ้วคางใบหน้าเพียงอย่างเดียว เทียบกับชีจิ่นแล้วก็ไม่มีจุดใดด้อยกว่าเลย
ชีเจิ้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโพล่งขึ้นทันที “ไปกันเถิด ข้าจะไปที่เรือนหลังพร้อมเจ้า”
สวี่อินอินยิ้มเยาะอย่างเงียบเชียบในใจ
ก่อนหน้านี้ยังรีบร้อนจะออกไป บัดนี้กลับร้อนใจจะเดินไปส่งตนเองแล้ว
สิ่งนี้มิใช่เพราะมโนสำนึกของชีเจิ้นถูกค้นพบ มิใช่ความรักของผู้เป็นบิดาถูกกระตุ้น
แต่เป็นเพราะนางจงใจเอ่ยถึงแม่นมเจียงขึ้นมาก็เท่านั้น
นางย่อมรู้ดีว่าท่าทีของชีเจิ้นเปลี่ยนไปด้วยเหตุผลอะไร
เพราะคนที่แม่นมเจียงรับใช้คือองค์หญิงใหญ่ และคนที่กำลังบำเพ็ญเพียรรักษาความสงบในศาลเจ้าแห่งนั้น ก็คือองค์หญิงใหญ่เช่นกัน
เด็กสาวที่ได้รับคำชี้แนะจากคนข้างกายขององค์หญิงใหญ่ ยังไม่เรียกว่ามีคุณค่าอีกหรือ?
เมื่อคิดได้ดังนี้ นางจึงเหลือบสายตาพร้อมรอยยิ้มมองแม่นมจางที่อยู่ด้านหลังปราดหนึ่ง
แม่นมจางถูกสายตาของสวี่อินอินจ้องมองก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาแล้ว
ก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่แสดงท่าทีว่าอยากให้ตนไปพึ่งพิง ทว่าตนเองก็ยังไม่เต็มใจนัก
แต่กระนั้น คุณหนูใหญ่ท่านนี้ช่างสุขุมลุ่มลึกถึงที่สุดจริงๆ!
นางมีขุนเขาใหญ่ให้พึ่งพิงและมีโอกาสดีเช่นนี้ แต่กลับอดทนไม่แพร่งพรายความลับแม้เพียงเสี้ยวเดียวนี้ต่อหน้าพวกแม่นมฮวา
ราวกับว่าคาดคะเนไว้แม่นยำทุกย่างก้าว
โดยซ้อนกลอุบายกำจัดแม่นมฮวาทิ้งไปก่อน จากนั้นค่อยทำให้เป็นเรื่องใหญ่ หนำซ้ำยังบุกไปที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิงด้วย…
พิจารณาจากมุมมองในยามนี้แล้ว ที่ไปศาลาว่าการเมืองต้าซิงก็มิใช่จับพลัดจับผลูไป แต่เพราะมั่นใจว่าหากไปที่ศาลาว่าการเมืองต้าซิงแล้ว เรื่องนี้จะไปถึงหูชีเจิ้นไวกว่า…
ชีเจิ้นนำทางสวี่อินอินตรงเข้าไปที่เรือนหลังแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหญิงในเงามาร