แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 228

เมื่อถูกฮัวเว่ยปลุกปั่นเช่นนี้ หลายคนจึงวางตะเกียบที่อยู่ในมือลงไปแล้วจริง ๆ

ถึงแม้จะบอกว่าประเพณีพื้นบ้านของที่นี่จะเปิดกว้างอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่าก็จะมีคนที่มีความคิดที่ค่อนข้างเป็นประเพณีนิยม ถึงขนาดที่ว่าต่อต้านเรื่องการท้องก่อนแต่งนี้เป็นอย่างมากอยู่หลายคนเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของฮัวเว่ยแล้ว จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้นมาว่า “ของที่ทำโดยผู้หญิงที่ไม่ใสสะอาด ข้ารังเกียจยิ่งนัก ถุย”

เมื่อมีคนหนึ่งพูดออกมา ก็ย่อมมีคนเห็นด้วยเป็นธรรมดา

“ผู้หญิงไร้ยางอาย ไร้แม่สื่อไร้การหมั้นหมายก็ให้กำเนิดลูกเสียแล้ว และเงินทองในการเปิดร้านนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำเป็นเงินที่ชายชู้ที่ไหนให้มากันแน่?”

“เชอะ ถ้าข้ารู้มาก่อนว่าคนที่เปิดร้านนี้เป็นผู้หญิงไร้ยางอายแบบนี้ ข้าก็คงไม่เข้ามาหรอก ข้าจะต้องโชคร้ายแน่ ๆ เลย”

“......”

เมื่อทุกคนต่างก็เจ้าพูดคำหนึ่งข้าก็พูดคำหนึ่ง และพูดไม่น่าฟังเป็นอย่างยิ่ง

ไป๋เสาคอยอยู่ข้างๆลั่วเสี่ยวปิงตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ สีหน้าของนางก็ขรึมลง แล้วนางก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ฮูหยิน ต้องการจะให้ข้าน้อย......”

ลั่วเสี่ยวปิงไม่รอให้ไป๋เสา พูดจบก่อนก็ส่ายหน้าขึ้นมาเบา ๆ

เมื่อไป๋เสาเห็นดังนั้น นางก็จำต้องถอยออกไป แต่สายตาของนางกลับกำลังจับจ้องไปที่ทุกการเคลื่อนไหวของผู้คนที่กำลังพูดไปด่าไป ราวกับกำลังมองดูว่าใครด่าได้แรงที่สุด

ส่วนโอหยางฉี่หยู่ เดิมทีเขายังไม่ทันได้ตอบสนองต่อคำพูดเหล่านั้นที่ฮัวเว่ยพูดเลย

แต่เมื่อรอจนกระทั่งมีการตอบสนองขึ้นมาแล้ว โอหยางฉี่หยู่ก็ยืนขึ้นทันที “ฮัวเว่ย เจ้ากำลังพูดไร้สาระอะไรอยู่ที่นี่?”

เสียงของโอหยางฉี่หยู่นั้นดังมาก และถ้าหากมองให้ดี ๆ จะสามารถมองเห็นความตื่นตระหนกและความกลัวที่อยู่ภายในดวงตาของเขาได้

ล้อเล่นน่ะ เรื่องที่ในใจของตัวเองมีความคิดที่ไม่ควรมีนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง และเรื่องที่ถูกผูกมัดกับลั่วเสี่ยวปิงอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้าหากทำเรื่องที่ไม่เหมาะสม ตัวเองอาจจะต้องโดนคนผู้นั้นทำให้ต้องอับอายได้ และเรื่องนี้ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถพูดเล่นได้

แต่ทว่า ปฏิกิริยาของโอหยางฉี่หยู่ในสายตาของฮัวเว่ยและคนอื่นๆนั้นกลับเป็นการร้อนตัว

“เจ้าไม่เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตา ข้าพูดไร้สาระ ถ้าข้าพูดไร้สาระแล้วเจ้าจะร้อนตัวทำไมล่ะ? กล้าทำไม่กล้ารับหรือ?” ฮัวเว่ยพูดด้วยความเย่อหยิ่งมาก แล้วมองไปทางฝูงชน และพูดว่า “พวกเจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ ถ้าพวกเจ้ามาอุดหนุนร้านที่คนแบบนี้เปิดจริง ๆ พวกเจ้าอาจจะแปดเปื้อนไปด้วยความซวยได้ ถึงเวลานั้นจะทำให้ชื่อเสียงของพวกเจ้าเองเสื่อมเสีย......”

“ปัง” มีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

ทันใดนั้นลั่วเสี่ยวปิงที่กำลังนั่งอยู่อย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดไม่จามาโดยตลอดก็ตบโต๊ะและลุกขึ้นมา

“นายท่านสามฮัวน่าเกรงขามมากเลยเจ้าค่ะ!” ลั่วเสี่ยวปิงหัวเราะเยาะในขณะที่กำลังมองดูฮัวเว่ย

สีหน้าที่เย่อหยิ่งในตอนแรกของฮัวเว่ยแข็งทื่อไปในทันทีเมื่อเห็นลั่วเสี่ยวปิง

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ฮัวเว่ยจึงมีความรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

แต่ หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ไปเอาแรงผลักดันอันมหาศาลเช่นนี้มาจากไหนกัน?

“ข้าไม่รู้ว่านายท่านสามฮัวไปได้ยินคำพูดที่ไม่มีมูลความจริงนี้มาจากไหน ถึงได้เอาข้ากับคุณชายโอหยางมาผูกเอาไว้ด้วยกันแบบนี้” ลั่วเสี่ยวปิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ถึงแม้ว่าข้าจะแบกรับชื่อเสียงว่าท้องก่อนแต่งมาสองสามปีแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าสามีขาดการติดต่อ ซึ่งนี่มันก็ท้อแท้ใจเกินกว่าจะอธิบาย แต่ตอนนี้สามีของข้าก็กลับมาแล้ว โดยมีคนทั้งหมู่บ้านเป็นพยาน แล้วก็ยังมีทะเบียนสมรสที่อยู่ในศาลาว่าการเมื่อห้าปีที่แล้วเป็นหลักฐานด้วย ถ้านายท่านสามฮัวอยากจะอาศัยว่าตัวเองมีฐานะเป็นพ่อค้าหลวงก็มาใส่ร้ายป้ายสีข้าตามอำเภอใจที่นี่ ข้าไม่รังเกียจเลยนะที่จะไปร้องเรียนจนถึงเมืองหลวง คิด ๆ ดูที่เมืองหลวงจะมีเจ้าหน้าที่ที่กล้าแตะต้องนายท่านสามฮัวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าไหมนะ?”

พอลั่วเสี่ยวปิงพูดอย่างนั้น ออกมา แขกที่ก่อนหน้านี้ยังมองดูลั่วเสี่ยวปิงอย่างดูถูกเหยียดหยามต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด

นี่......นางมีคนทั้งหมู่บ้านเป็นพยาน และมีทะเบียนสมรสเป็นหลักฐาน คงไม่ใช่เรื่องโกหกใช่ไหม?

นายท่านสามฮัวก็ตกตะลึงเช่นกัน

ถ้าจะบอกว่ามีคนทั้งหมู่บ้านเป็นพยานก็สามารถสมอ้างได้ แต่นางมีทะเบียนสมรสที่อยู่ในศาลาว่าการเมื่อห้าปีที่แล้วเป็นหลักฐาน นี่มัน......น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้ใช่หรือไม่?

แต่ทว่า เขาได้ยิน......

ในขณะที่นายท่านสามฮัวกำลังคิดว่าจะเชื่อคำพูดของลั่วเสี่ยวปิงหรือไม่ ในเวลานั้นเองหราวชิงหย่าก็ค่อยๆลุกขึ้นและพูดกับลั่วเสี่ยวปิง ว่า “ถึงแม้ว่าตระกูลฮัวจะเป็นพ่อค้าหลวง แต่ในราชสำนักก็เป็นเพียงตำแหน่งที่ไม่มีอำนาจอะไร โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นแค่พ่อค้าเท่านั้น เมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้ว ปกติทางศาลาว่าการล้วนสามารถยอมรับพิจารณาข้อเท็จจริงที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีของน้องสาวได้นะ”

ลูกศิษย์ของนายท่านตระกูลหราวมีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง และประโยคที่ว่า"บังเอิญว่ามีลูกศิษย์ที่รับราชการอยู่ในเมืองหลวงพอดี" ประโยคหนึ่งนั้นพอที่จะครอบคลุมได้อย่างไร?

ตระกูลฮัวของพวกเขาจะสามารถล่วงเกินตระกูลหราวได้อย่างไร?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นายท่านสามฮัวก็ไม่สนใจที่จะไปค้นหาความจริงเท็จในคำพูดของลั่วเสี่ยวปิงแล้ว แล้วเขาก็เปลี่ยนสีหน้าทันที “เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว เรื่องก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ทำให้ชัดเจนเอง พวกเจ้ากินเถอะ พวกเจ้ากินเถอะ......"

ในขณะที่กำลังพูดอย่างนั้น นายท่านสามฮัวก็คิดอยากจะจากไป

ถ้าเขาไปล่วงเกินคนของตระกูลหราวเสียแล้ว พี่ชายคนนั้นของเขาจะต้องไม่ให้อภัยเขาอย่างแน่นอน

ส่วนเรื่องที่ตระกูลหราวกับลั่วเสี่ยวปิงผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าเขานั้นมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ ถึงเวลานั้นเขาจะไปตรวจสอบดูก็ย่อมได้

พอคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของนายท่านสามฮัวก็ดูไม่ค่อยดีนัก

อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาอยากจากไป จะต้องขึ้นอยู่กับว่าลั่วเสี่ยวปิงเห็นด้วยหรือไม่

“ช้าก่อน” ลั่วเสี่ยวปิงพูด

นายท่านสามฮัวหยุดฝีเท้าลง แล้วหันไปทางลั่วเสี่ยวปิง “เจ้ายังต้องการอะไรอีก?” ในน้ำเสียงของเขามีความหงุดหงิด แล้วก็มีความอัดอั้นตันใจอยู่เล็กน้อย

เขานึกว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาจะเป็นจอมอันธพาล ไหนเลยจะคิดว่า วันนี้เขากลับเกือบจะได้เป็นไอ้บ้าไปเสียแล้ว

“นายท่านสามฮัวใส่ร้ายข้าและนายน้อยโอหยางอย่างไม่มีมูลความจริง ก็คิดจะจากไปแบบนี้เสียแล้วหรือ?” ลั่วเสี่ยวปิงถามอย่างเย็นชา

นายท่านสามฮัวเหลือบมองไปที่หราวชิงหย่า หลังจากนั้นก็กัดฟันถามว่า “เจ้าจะเอายังไง?”

ลั่วเสี่ยวปิง “ขอโทษซะ!”

“ต้องการให้ข้าขอโทษ เจ้าอย่าได้คิดฝันเลย!” เชอะ จะให้เขาขอโทษหญิงชาวบ้านคนหนึ่งงั้นหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร?

เมื่อลั่วเสี่ยวปิงเห็นนายท่านสามฮัวเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่รีบร้อน แต่กลับมองไปทางหราวชิงหย่า แล้วพูดว่า “พี่ชิงหย่า นายท่านเพิ่งจากไป ไม่ทราบว่าถ้าจะไปขอจดหมายจากเขาตอนนี้จะยังทันเวลาอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง