แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 230

“ข้าน้อยบังอาจขอร้องว่า ขอให้นายหญิงให้โอกาสหลานสาวของข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ” ซูซิ่วเหม่ยก้มศีรษะลง

ลั่วเสี่ยวปิงไม่ได้บอกให้ซูซิ่วเหม่ยลุกขึ้นทันที และนางก็ไม่ตอบสนองต่อซูซิ่วเหม่ยในทันทีด้วย แต่กลับมองไปทางหลานสาวของนาง หญิงสาวที่มักจะก้มหน้าอยู่ตลดคนนั้น

“เจ้าชื่ออะไร?” ลั่วเสี่ยวปิงถามในขณะที่กำลังมองหญิงสาวคนนั้นและถาม

เมื่อถูกถาม หญิงสาวก็คุกเข่าลงด้วยความประหม่าเป็นอย่างยิ่งในทันที “ข้าน้อยชุยอินฮวาเจ้าค่ะ”

ลั่วเสี่ยวปิงถามว่า “เจ้าอยากเรียนทำชานมเหรอ?”

หลังจากที่ตัวเองเลือกไป๋เสวียกับหลินลู่เสวียแล้วซูซิ่วเหม่ยก็เอ่ยปากขอร้องขึ้นมาในทันที น่าจะเป็นเพราะชานมสินะ

เมื่อชุยอินฮวาได้ยินลั่วเสี่ยวปิงถามเช่นนี้ นางก็มองไปทางท่านย่าของตัวเองด้วยจิตใต้สำนึกในทันที แล้วก็มองพ่อแม่ของตัวเองสักพักหนึ่ง แล้วก้มศีรษะลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เมื่อเห็นเช่นนี้ ชุยฮุยกับเสี่ยวเจียนก็มีสีหน้าที่เป็นกังวลขึ้นมา และต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนว่าจะมีความกังวลอะไรอยู่

เมื่อเทียบกับตระกูลชุยครอบครัวนี้ สีหน้าของลั่วเสี่ยวปิงนั้นสงบนิ่งกว่ามาก พวกเขาไม่พูดอะไร ลั่วเสี่ยวปิงก็ไม่เร่งรัดเช่นกัน และนางยิ่งไม่อาจเริ่มพูดขึ้นมาก่อนได้

เมื่อบรรยากาศซบเซาลงไปบ้างแล้ว ในท้ายที่สุดชุยอินฮวาจึงกล่าวว่า “ข้าน้อย อยากเรียนเจ้าค่ะ”

ชุยอินฮวาไม่ได้โง่ ในเมื่อในเวลานี้ ย่าของนางได้คุกเข่าขอร้องนายหญิง เช่นนั้นนางจำต้องคิดว่าการเรียนทำชานมเป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่ง และท่านย่ามักจะมีความคิดดี ๆ เสมอ

ลั่วเสี่ยวปิงมองไปที่ ชุยอินฮวา แต่กลับไม่มีการตอบรับใดใดออกไปในทันที

ในขณะนี้ตระกูลชุยทั้งครอบครัวล้วนกลั้นหายใจเอาไว้ ซึ่งทุกคนต่างก็กำลังเฝ้ารอการตัดสินใจของลั่วเสี่ยวปิงอยู่

ในขณะที่บรรยากาศตึงเครียดจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า “ข้าไม่คิดที่จะใช้คนที่แม้แต่จะเผยหน้าที่แท้จริงก็ทำไม่ได้คนหนึ่งหรอกนะ"

น้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่กลับมีพลังอำนาจที่ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้อยู่ด้วย

อันที่จริง ชุยอินฮวาผู้นี้ นับตั้งแต่วันแรก นางก็ได้ให้ความสนใจเข้าแล้ว

เหตุผลที่นางซื้อครอบครัวนี้มา เป็นเพราะมองว่าครอบครัวนี้ก็ถือว่าเป็นภาระหน้าที่และความรับผิดชอบนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูซิ่วเหม่ยผู้นั้น ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีความคิดคนหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้ให้มาเป็นหัวหน้าฝ่ายธุรการหรืออะไรอย่างอื่นก็ได้

นอกจากนี้ในฐานะผู้ที่เคยเป็นคนรับใช้ของผู้อื่น นางก็น่าจะค่อนข้างรู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้าง และพอที่จะช่วยลดความกังวลของนางลงไปได้ด้วย

อีกทั้ง จากคำพูดของแม่ค้านายหน้าชุยเหวินเฉิงวัยสิบขวบคนนั้นยังเคยทำหน้าที่เป็นเพื่อนเรียนของนายน้อยด้วย ดังนั้นเขาจึงสามารถเรียนหนังสือเป็นเพื่อนอานอานและดูแลเขาไปด้วยได้พอดี

สำหรับชุยอินฮวาคนนี้ ตั้งแต่แรกเริ่ม นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

นางไม่เพียงแต่ชอบก้มหน้าและประหม่าง่าย แต่นางยังแต่งหน้าให้ขี้เหร่อยู่เสมอ

ไม่ผิด นางแต่งหน้าให้ขี้เหร่

ชุยอินฮวามักจะทำให้ใบหน้าของตัวเองดำมืดอยู่เสมอ จนมองเห็นไม่ค่อยชัดเลยว่าหน้าตาของนางเป็นอย่างไร

แต่ฝีมือดันดูเหมือนว่าจะไม่ยอดเยี่ยมเท่าไหร่นัก เพราะมือของนางขาว และไม่เข้ากับผิวหน้าของนางเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนในบ้านหลังนี้ถึงไม่สามารถสังเกตุเห็นได้นานขนาดนี้

และในเวลานี้เอง จู่ ๆ ลั่วเสี่ยวปิงก็รู้สึกว่าตัวเองประมาทเลินเล่อในเรื่องนี้มากเกินไปแล้วจริง ๆ อันที่จริงภายใต้สถานการณ์ปกติ นางน่าจะถามครอบครัวนี้ตั้งแต่ทีแรกว่าเป็นเพราะไปล่วงเกินอะไรเจ้านายมาถึงได้ถูกขายอย่างนี้

แน่นอนว่า สาเหตุที่เกิดความผิดพลาดนี้ ก็เพราะนางไม่ค่อยรู้และเข้าใจเรื่องทาสในเรือนในสมัยนี้มากนัก

จนถึงตอนนี้ นางก็ยังไม่เข้าใจอะไรมาก แต่หลังจากคิดให้ละเอียดรอบคอบดูแล้ว ทาสในเรือนน่าจะไม่สามารถถูกขายออกมาได้อย่างไรก็ได้จึงจะถูก

ความคิดเหล่านี้ที่อยู่ในหัวใจของลั่วเสี่ยวปิง ก็เป็นเพียงเรื่องในขณะนั้นเท่านั้น

พอนางพูดอย่างนั้นออกมา คนในตระกูลชุย รวมทั้งชุยเจิ้นไฉที่ตอนนี้ดีขึ้นมากแต่ยังดูอ่อนแออย่างเห็นได้ชัดก็คุกเข่าลงพร้อมกัน เขามีความรู้สึกประหม่าเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกสับสนเล็กน้อยเช่นกัน ซึ่งแลดูควรแก่การพิจารณาอย่างระมัดระวังมากเลยทีเดียว

แต่ทว่า ในขณะที่ครอบครัวนี้กำลังคุกเข่าอยู่ คนอื่น ๆ ก็กำลังมองด้วยความสงสัย และลั่วเสี่ยวปิงก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน

หลังจากผ่านไปนานดูเหมือนว่าชุยอินฮวาจะตัดสินใจอะไรขึ้นมาได้แล้ว จึงหันไปก้มศีรษะคำนับลั่วเสี่ยวปิง แล้วพูดว่า “นายหญิงได้โปรดอนุญาตให้ข้าน้อยไปล้างหน้าด้วยเถิด”

แต่สิ่งที่ซูซิ่วเหม่ยขอกลับเป็นอิสระในการแต่งงานของหลานสาวของตัวเอง

แต่ทว่า ถึงแม้ว่าฮูหยินจะมีความรักต่อซูซิ่วเหม่ยเพียงใด นางก็ไม่สามารถขัดขวางลูกชายของนางได้เลย

ผู้หญิงคนนั้นคิดว่า หากลูกชายของนางอยากจะให้ชุยอินฮวาเป็นอนุภรรยา นั่นเป็นการยกย่องชุยอินฮวา แต่ถ้าชุยอินฮวา ปฏิเสธ นั่นก็แสดงว่านางมองข้ามความหวังดีของเขา

แต่สัญญานั้นก็เป็นคำสัญญาที่นางได้รับปากออกไปแล้ว และถ้านางไม่ตอบตกลง มันก็จะเป็นการตบหน้าตัวนางเช่นเดียวกัน

ดังนั้นฮูหยินจึงให้ทางเลือกหนึ่งแก่ซูซิ่วเหม่ยในเวลานี้ ถ้าไม่ให้ชุยอินฮวาเป็นอนุภรรยา ก็ให้ขายพวกเขาทั้งครอบครัวออกไปให้หมดเสีย

ในเวลานั้นตระกูลชุยทั้งครอบครัวอยู่ในบ้านของเจ้านายหลังนั้น ก็ถือว่าเป็นเสมือนปลาได้น้ำชุยเหวินเฉิงมีฐานะเป็นเพื่อนเรียนของนายน้อย และเขาจะมีอนาคตไกลอย่างหาที่สุดไม่ได้ แต่ถ้าเขาถูกขายออกไป เขาจะต้องตกต่ำจนมีจุดจบที่เศร้าสลดอย่างแน่นอน

ถ้าเป็นคนอื่น โดยธรรมชาติแล้วเขาจะต้องประนีประนอม แต่ซูซิ่วเหม่ยกลับเลือกทางเลือกที่สองเสียแล้ว

เพราะว่าประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ชุยอินฮวาก็เลยยิ่งรู้สึกไม่เต็มใจที่จะแสดงใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อฟังถึงตรงนี้ ลั่วเสี่ยวปิงก็รู้สึกชอบใจคนตระกูลชุยขึ้นมาแล้วเล็กน้อย

แน่นอนว่า ความจริงของเรื่องนี้ นางก็สามารถให้คนไปตรวจสอบดูได้เช่นกัน

และสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้ นางก็ต้องแก้ไขด้วยเช่นกัน

ไม่มีพนักงานในร้านเมืองแห่งอาหารของนางที่หน้าตาไม่ดีเลยสักคน แต่ทว่าพวกเขานั้นล้วนแต่เป็นคนที่หน้าตางดงามทั้งสิ้น และการที่คนหน้าตาดีเหมือนชุยอินฮวาเข้ามาอยู่ในร้านเมืองแห่งอาหารเช่นนี้......

ไม่ต้องคิดแล้ว มันจะต้องมีปัญหาไม่จบไม่สิ้นแน่นอน

ช่างปวดหัวจริง ๆ

ในขณะที่ลั่วเสี่ยวปิงกำลังคิดอยู่นั้น นางก็ขมวดคิ้วไปมา แต่คนตระกูลชุยกลับกำลังมองลั่วเสี่ยวปิงอย่างกดดันทีละคน ๆ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง