แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 255

“ท่านหมอซุน——ท่านหมอซุน——”

เสียงมีความอกอีแป้นจะแตกเล็กน้อย แต่ก็มีความวิตกกังวลเล็กน้อย

ท่านซุนเห็นฉากแบบนี้จนชินแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคํา แต่การเคลื่อนไหวของลั่วเสี่ยวปิงกลับเร็วกว่าท่านซุน

เมื่อลั่วเสี่ยวปิงออกมาก็เห็นอู๋วิ่นเฉิงซึ่งสีหน้าแย่มาก ในใจของนางก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น

เมื่ออู๋วิ่นเฉิงเห็นลั่วเสี่ยวปิงก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เช็ดหน้า "เสี่ยวปิง ฉีฮูหยิน ได้โปรดช่วยจิ่นเหนียงด้วย ข้าอยู่ไม่ได้หากไม่มีนาง……"

ว่ากันว่าผู้ชายไม่ยอดหลั่งน้ำตาอย่างง่ายดาย แต่จู่ๆอู๋วิ่นเฉิงก็กลับร้องไห้อย่างโศกเศร้าในขณะที่พูด

เมื่อเห็นว่าเขายั้งสติไม่อยู่กิริยาที่ไม่ดีเช่นนี้ก็คงสอบถามอะไรจากเขาไม่ได้หรอก ลั่วเสี่ยวปิงจึงมองหาบ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านข้าง "เกิดอะไรขึ้น?"

"ฮูหยิน……ฮูหยินนางกินยาพิษ"

ลั่วเสี่ยวปิง: "รีบนำทางเร็ว"

ในเวลานี้ซุนมู่หยางก็ก้าวมาข้างหน้า "ข้าไปด้วย"

ลั่วเสี่ยวปิงเหลือบมองซุนมู่หยางและพยักหน้า

แต่อู๋วิ่นเฉิงก็ยังคงมองดูท่านซุน และเห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้ท่านซุนไปด้วย

ท่านซุนกลับไม่สบอารมณ์นัก "มีพวกเขาสองคนอยู่ ต่อให้ข้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เจ้ายังไม่รีบไปอีก?"

อู๋วิ่นเฉิงจึงเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน

อู๋วิ่นเฉิงนั่งรถม้ามา ตอนมาในรถม้านอกจากคนขับรถม้าก็มีเพียงอู๋วิ่นเฉิงผู้เดียวแล้ว แต่ตอนเขาไปในรถม้ากลับมีซุนมู่หยางกับลั่วเสี่ยวปิงและไป๋เสาเพิ่มขึ้น ซึ่งก็จะดูแออัดไปเล็กน้อย

แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาไปสนเรื่องอื่นแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงจึงถามอู๋วิ่นเฉิงว่าจิ่นเหนียงกินยาพิษอะไรไปและมีอาการอย่างไร

แต่น่าเสียดาย ถามอู๋วิ่นเฉิงอะไรเขาก็ไม่รู้ ตอบไม่ได้เลย

ลั่วเสี่ยวปิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรอีกต่อไป เพียงหวังให้รถม้าเร็วขึ้นกว่านี้

โชคดีที่บ้านเก่าของอู๋วิ่นเฉิงก็อยู่ไม่ไกลจากร้านขายยาของท่านซุนนัก รถม้าใช้เวลาไม่นานก็มาถึงแล้ว

หลังจากที่ทุกคนลงจากรถม้าก็เดินตรงเข้าไปและไม่มีอารมณ์มาสังเกตกับดักที่ตระกูลอู๋วางเอาไว้ จากนั้นพวกเขาก็ถูกอู๋วิ่นเฉิงพาไปที่ลานบ้านโดยตรงเลย

เมื่อลั่วเสี่ยวปิงและคนอื่นๆมาถึง ในลานก็มีคนยืนไว้เป็นจํานวนมากแล้ว และมีหญิงชราคนหนึ่งเห็นคนที่อู๋วิ่นเฉิงนํากลับมา ก็ขมวดคิ้วและทำสีหน้าที่แย่ "เฉิงเอ๋อร์ ท่านหมอซุนล่ะ?"

"แม่ มันสายเกินที่จะอธิบายแล้ว ให้พวกเขาไปดูจิ่นเหนียงก่อนเถอะ" อู๋วิ่นเฉิงไม่แม้แต่มองดูหญิงชรานั้นเลย ดวงตามองแต่ห้องนั้นอยู่เสมอ

เมื่อหญิงชราได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้น "เฉิงเอ๋อร์ เจ้าสับสนไปแล้วเหรอ! นี่คนที่เจ้าพากลับมานี้เป็นคนอะไรกัน ให้พวกเขาดูอาการจิ่นเหนียง หากนางตายแล้ว คนอื่นก็คงคิดว่าตระกูลอู๋ของพวกข้านั้นไม่มีปัญญาเชิญหมอมา ถึงตอนนั้นตระกูลอู๋คงต้องถูกคนอื่นต่อว่าแน่เลย"

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของอู๋ฮูหยินใหญ่ ลั่วเสี่ยวปิงก็ขมวดคิ้ว เพียงรู้สึกว่าคําพูดของหญิงชรานี้ดูไม่เพราะยิ่งนัก

แต่ไม่รอลั่วเสี่ยวปิงเอ่ยปาก ซุนมู่หยางก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนก่อนหน้านี้ และจ้องมองอู๋ฮูหยินใหญ่อย่างเย็นชา "อภัยให้ฉันด้วยที่ต้องพูดตรงๆ ตระกูลอู๋ของพวกเจ้านั้นไม่สามารถเชิญหมอเช่นพวกข้าได้จริง"

คําพูดนี้ของซุนมู่หยางนั้นเป็นความจริงยิ่งนัก

เพราะไม่ใช่ใครก็ได้ที่สามารถเชิญหมอเทวดามาดูโรคได้

แต่ความจริงนี้ก็ทำให้อู๋ฮูหยินใหญ่โกรธจนล้มลง โชคดีมีผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆนางนั้นประคองนางไว้

อู๋ฮูหยินใหญ่ชี้ไปที่ซุนมู่หยางด้วยมือที่สั่น "บ้านข้านั้นเล็ก ไม่เหมาะกับคนอย่างเจ้า ดังนั้นเจ้าออกไปจากบ้านข้าเดียวนี้ซะ!"

"แม่——" ในที่สุดอู๋วิ่นเฉิงก็ทนมองดูต่อไปไม่ได้อีก พูดอย่างดังว่า "ตอนนี้ชีวิตของจิ่นเหนียงสําคัญกว่า ท่านทำเช่นนี้อย่าให้จิ่นเหนียงตายจริงเหรอ?นางคือชีวิตของข้า——"

เสียงของอู๋วิ่นเฉิงเต็มไปด้วยความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเสียงก็แหบแห้ง แถมยังมีร่องรอยของความเจ็บปวดและความอดกลั้น

ลั่วเสี่ยวปิงเห็นว่าตัวของอู๋ฮูหยินใหญ่แข็งทื่อ ส่วนสีหน้าของผู้หญิงที่ประคองอู๋ฮูหยินใหญ่นั้นกลับซีดขาวยิ่งนัก

เมื่อมองดูผู้หญิงคนนั้น ลั่วเสี่ยวปิงหรี่ตาลงเล็กน้อย

เหมือนที่คิดไว้ไม่ผิด ไม่รอลั่วเสี่ยวปิงถามซุนมู่หยางก็อธิบายว่า "พิษกู่หนานเจียง"

ลั่วเสี่ยวปิง:“……”พิษกู่……มันเป็นของในตํานานไม่ใช่เหรอ?

เมื่อเห็นการแสดงออกของลั่วเสี่ยวปิง ซุนมู่หยางก็รู้ว่าลั่วเสี่ยวปิงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นเขาจึงอธิบายว่า "นี่เป็นพิษกู่ธรรมดาที่คร่าชีวิตคนได้ แม้ว่าชื่อจะน่ากลัว แต่ก็แก้ง่ายอยู่"

ที่แท้กู่คร่าชีวิตคน พอเห็นชื่อก็คิดโยงไปถึงความหมายของมัน สามารถคร่าชีวิตผู้คนได้ มีเวลาสามวันนับจากวันที่ถูกกู่จนถึงพิษกำเริบ และเมื่อพิษกำเริบ ก็เหมือนโดนวางยาพิษ แต่หมอทั่วไปไม่สามารถตรวจพบได้เลยว่าโดนวางยาพิษอะไร

ความน่ากลัวของกู่คร่าชีวิตคนก็อยู่ที่นี่ เพราะตรวจไม่พบ ดังนั้นส่วนใหญ่ก็ได้แต่ปล่อยให้พิษกำเริบแล้วตาย

หรือหมอที่ใจกล้าหน่อยก็จะออกใบสั่งยาแก้พิษให้กับผู้ป่วยด้วยความคิดที่ว่า ‘รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น’ เช่นนี้แล้ว กู่คร่าชีวิตคนก็จะสามารถคร่าชีวิตได้ในทันที

ลั่วเสี่ยวปิงฟังแล้วก็รู้สึกสับสนยิ่งนัก แต่ในใจก็รู้สึกหนักแน่นเล็กน้อย

บอกตามความจริง แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของนางจะไม่ได้รับการฝึกฝนมากขึ้น แต่เพราะนางมีอาจารย์ที่ดีเช่นคุณปู่ ดังนั้นจริงๆแล้วนางยังคงมั่นใจในตัวเองมากนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางยังเป็นหมอปรุงยาอีก ซึ่งยิ่งเพิ่มความมั่นใจในตนเองให้กับตัวเอง

แต่ ตามในความรู้ความเข้าใจของนาง พิษกู่นั้นกลับว่างเปล่ายิ่งนัก และเป็นเรื่องที่นางก็หมดปัญญาสู้ ซึ่งทําให้นางรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน

หากวันนี้ไม่มีซุนมู่หยาง ในสถานการณ์อย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้นางอาจใช้ยาแก้พิษก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง จิ่นเหนียงคงตายจริงแน่เลย

เหมือนดูความคิดของลั่วเสี่ยวปิงออก ซุนมู่หยางกล่าวว่า "อันที่จริงข้ารู้เพราะตอนข้าไปเดินทางแล้วเคยเห็น จึงรู้ว่ามันคือพิษกู่นี่เอง"

ลั่วเสี่ยวปิงเงียบไม่พูดอะไร ซุนมู่หยางก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงให้อู๋วิ่นเฉิงไปเตรียมส่ำเส้งมา

ส่ำเส้งคือเลือดของหมู วัว แพะ

อู๋วิ่นเฉิงฟังอยู่ข้างๆอยู่เสมอ ตอนซุนมู่หยางแก้ความสับสนให้ลั่วเสี่ยวปิงเขาก็ฟังเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าจิ่นเหนียงถูกวางพิษกู่ของที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ ทั้งคนก็ตกตะลึงเล็กน้อย

แต่เมื่อซุนมู่หยางบอกว่าต้องการส่ำเส้ง อู๋วิ่นเฉิงก็รีบตั้งสติ และวิ่งเซออกไปที่ทางประตู

แต่ในขณะนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวที่หน้าประตู และปิดกั้นทางไปของอู๋วิ่นเฉิง……

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง