ในเวลานั้นเอง ลั่วเสี่ยวปิงก็กำลังยืนถือไม้พายแอบฟังอยู่นอกประตู
ในตอนแรกนางพบว่าพวกเด็กๆได้หายไปแล้ว ดังนั้นนางก็เลยรีบมาดูสักหน่อย แล้วนางก็บังเอิญได้ยินคำพูดที่เล่อเล่อถามฉีเทียนเห้าเข้าพอดี
เมื่อเห็นว่าฉีเทียนเห้าสามารถพูดแก้ขัดไปได้แล้ว และมันก็ไม่ได้ฉีกออกไปจากคำโกหกของนางเลยลั่วเสี่ยวปิงจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมาในที่สุด
เพื่อเห็นแก่ที่ผู้ชายคนนี้รู้จักเอาตัวรอดขนาดนี้ นางจึงตัดสินใจที่จะไม่ลงไม้ลงมือทำอะไรตอนที่กำลังแก้พิษให้เขาแล้ว
ไม่ผิด ลั่วเสี่ยวปิงยังคงไม่เป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจสำหรับ ฉีเทียนเห้าจริงๆ
และความรู้สึกที่ฉีเทียนเห้ามีให้กับลั่วเสี่ยวปิงนั้นก็อันตรายเกินไปเช่นเดียวกัน ดังนั้นแม้ว่านางจะรับปากว่าจะแก้พิษให้เขา แต่ในตอนแรกนางก็มีแผนที่จะลงไม้ลงมือกับเขาสักเล็กน้อยในขณะที่กำลังแก้พิษอยู่เหมือนกัน
ไม่ใช่ว่านางไร้ศีลธรรม เพียงแต่นางไม่อยากประมาทไว้ใจคนจนมากเกินไปเท่านั้น แม้ว่านางต้องจะช่วยชีวิตคน แต่นางก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของพวกนางสามแม่ลูกเป็นหลัก
แต่ตอนนี้นางกลับเปลี่ยนความคิดไปเสียแล้ว
คนที่สามารถสร้างเรื่องโกหกให้กับเด็กๆฟังโดยมีเจตนาที่ดีทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ ไม่อาจเป็นคนที่ชั่วช้าสาระเลวได้อย่างแน่นอน และนางมักจะมองคนไม่ผิดเสมอ
พอคิดถึงตรงนี้ ลั่วเสี่ยวปิงก็ถือไม้พายเดินกลับไปที่ห้องครัวแล้ว ราวกับว่านางไม่เคยมาที่นี่มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
สิ่งที่ลั่วเสี่ยวปิงไม่รู้ก็คือ ตอนที่นางเดินจากไป ฉีเทียนเห้าก็ได้เหลือบมองที่ประตูอย่างเหมือนกับว่าจะมีอะไรแต่ก็ไม่มี
อาหารกลางวันที่ลั่วเสี่ยวปิงทำค่อนข้างง่าย อาหารสองน้ำซุปหนึ่งพร้อมด้วยข้าวสวย
ตอนที่ลั่วเสี่ยวปิงตะโกนบอกให้เด็กทั้งสองคนไปล้างมือเตรียมรับประทานอาหาร นางก็ถือชามใหญ่ๆมาหนึ่งชาม พอตักข้าวใส่ในชามแล้วนางก็เอาเข้าไปในห้อง
ลั่วเสี่ยวปิงวางอาหารไว้ข้างๆ แล้วช่วยประคอง ฉีเทียนเห้าให้ลุกขึ้นมานั่ง
ฉีเทียนเห้าไม่ได้กินอาหารมาหลายมื้อ ในขณะนี้เขาจึงรู้สึกหิวมากจริงๆ
เดิมทีเขาไม่มีความคิดที่จะกินอะไรเลย ที่จริงแล้วหลังจากที่โดนยาพิษเข้าไปประสาทสัมผัสในการรับรสของเขาก็มีปัญหาขึ้นมา มันทำให้ไม่ว่าเขาจะกินอะไรเข้าไปรสชาติก็ไม่ต่างกันเลย ขอเพียงแค่มันสามารถทำให้เขาอิ่มท้องได้ก็พอแล้ว
แต่เมื่อฉีเทียนเห้า นำอาหารคำแรกเข้าปาก เขาก็ต้องตกตะลึงไปทั้งตัว และภายในดวงตาที่กำลังมองดูอาหารที่อยู่ในชามเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อเห็นว่า ฉีเทียนเห้า กินอาหารเข้าไปหนึ่งคำแล้วก็ไม่ได้กินเข้าไปอีก ลั่วเสี่ยวปิงจึงเข้าผิด แล้วขมวดคิ้วไปมา “บ้านข้ามีแต่อาหารง่ายๆ เจ้าก็กินๆไปเถอะ”
ฉีเทียนเห้ายกสายตาขึ้นไปมอง ลั่วเสี่ยวปิงทำปากขยุกขยิกไปมาสองสามครั้ง และในที่สุดเขาก็พูดเพียงประโยคเดียวว่า “ก็ดีเหมือนกัน”
พอพูดจบ ฉีเทียนเห้าก็ก้มหน้ารับประทานอาหารต่อไป แต่ในดวงตาที่ลู่ลงเล็กน้อยนั้นกลับมีความตื่นเต้นที่ยากจะปิดบังอยู่ในนั้นด้วย
บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะสามารถแก้พิษที่อยู่ในร่างกายของเขาได้จริงๆก็ได้
ในขณะที่ฉีเทียนเห้า กำลังคิดอยู่นั้น มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นมาเบาๆโดยไม่ได้ตั้งใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเฝ้ารอคอยอนาคตมากขึ้นอีกเล็กน้อย
ลั่วเสี่ยวปิงไม่รู้เลยว่าในใจของฉีเทียนเห้ากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่าฉีเทียนเห้ากำลังรับประทานอาหารด้วยตัวเอง นางก็ออกจากห้องไป
ในเวลานั้นเองเด็กทั้งสองคนก็ได้ล้างมือเสร็จแล้ว และกำลังนั่งรอแม่ของตัวเองมากินข้าวด้วยกันอยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง
แม้ว่าอาหารหนึ่งมื้อนี้จะเรียบง่าย แต่สามคนแม่ลูกก็รับประทานอาหารอย่างมีความสุขมาก
หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วจางซิ่งฮวาก็มาตามที่สัญญาเอาไว้ เนื่องจากว่ามีฉีเทียนเห้าอยู่ในห้อง จางซิ่งฮวาจึงต้องปูหญ้าคาจำนวนหนึ่งอยู่ในลานบ้าน แล้วก็ทำผ้าห่มอยู่ในลานบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงการสงสัย
เมื่อจางซิ่งฮวามาแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงก็ออกไปข้างนอกอย่างสบายใจ
ลั่วเสี่ยวปิงในอดีตไม่ค่อยได้ไปเดินเล่นในหมู่บ้านสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าเรื่องที่ลั่วเสี่ยวปิงก่อขึ้นมาคราวก่อนนั้นจะไม่เล็กเลยก็ตาม แต่เนื่องจากว่าเป็นตอนพลบค่ำ ดังนั้นใครหลายคนจึงไม่ได้พบเห็นด้วยตาของพวกเขาเอง ภายในใจของพวกเขาก็เลยเต็มไปด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับลั่วเสี่ยวปิง.
เมื่อเห็นว่า ลั่วเสี่ยวปิงเข้ามาในหมู่บ้านในเวลานี้ ทุกสายตาก็ล้วนแต่จับจ้องไปที่ตัวของลั่วเสี่ยวปิง ราวกับว่าอยากจะเห็นลั่วเสี่ยวปิงออกมาจากดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น
สำหรับสายตาเหล่านี้ลั่วเสี่ยวปิงได้ทำการกรองออกไปแล้วโดยตรง และไม่สนใจผู้คนเหล่านั้นเลย แล้วลั่วเสี่ยวปิงก็เดินตรงไปยังบ้านของผู้ใหญ่บ้าน
ประการแรก นางไม่อยากต้อนรับขับสู้กับชาวบ้านมากเกินไป และประการที่สองก็คือ ผู้ใหญ่บ้านมีมีชื่อเสียงดีเป็นที่นิยมมากกว่า และคำพูดของเขาก็ง่ายที่จะทำให้ผู้คนเชื่อถือมากกว่า
นอกจากนี้ นางก็อยากจะขายของกำนัลให้ผู้ใหญ่บ้านสักหนึ่งคนด้วย
สามารถส่งเสริมการจ้างงานของชาวบ้านได้ เชื่อว่าผู้ใหญ่บ้านจะต้องสนใจอย่างแน่นอน
ตามที่ลั่วเสี่ยวปิงคิด จางเต๋อหวั่งรู้สึกสนใจจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับรู้สึกงุนงงอยู่ในใจเป็นอย่างมาก
“เสี่ยวปิง ถึงแม้ว่าเมล็ดสนเหล่านี้จะสามารถกินได้ แต่ก็ทั้งแห้งทั้งฝาด คนทั่วไปก็เลยไม่ชอบกิน เจ้าจะเก็บมันไปทำไม? ส่วนเห็ดเมาโวโวนั่น เจ้าแน่ใจหรือว่ามันจะมีอันที่กินได้?”
ยิ่งไปกว่านั้น นางกำหนดราคาที่สูงขนาดนั้น เสี่ยวปิงนางมีเงินจ่ายด้วยหรือ?
พอประโยคสุดท้ายจบ จางเต๋อหวั่งก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก เขาเอาแต่มองดู ลั่วเสี่ยวปิงอย่างระมัดระวัง และกำลังเฝ้ารอคำตอบของลั่วเสี่ยวปิงอยู่
“มีเห็ดเมาโวโวที่สามารถกินได้ ข้อนี้ข้ามั่นใจได้เลย” เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่บ้านยังคงไม่เชื่อ ลั่วเสี่ยวปิงก็เลยพูดว่า “ช่วงนี้ข้ากับเด็กๆสองสามคนก็มักจะกินเป็นประจำ ในเมื่อข้าอยากจะเก็บเมาโวโวที่สามารถกินได้ แน่นอนว่าข้าก็จะสอนชาวบ้านให้รู้จักและแยกแยะมันได้อยู่แล้ว”
ส่วนเมล็ดสนนั้น ลั่วเสี่ยวปิงไม่ได้อธิบาย แต่นางกลับหยิบกระเป๋าใบเล็กๆใบหนึ่งออกมา แล้วตั้งใจวางลงบนโต๊ะเล็กๆที่อยู่ข้างๆจางเต๋อหวั่งโดยตรง
“นี่คือเมล็ดสนที่ข้าทำเอง ผู้ใหญ่บ้านเชิญลองชิมดูสิ”
ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ยังเปิดกระเป๋าเล็กๆใบนั้นออกมา
ในขณะที่กำลังมองดูเมล็ดสนที่อ้าปากสีน้ำตาลแต่ละเมล็ดที่อยู่ข้างในเขาก็แปลกใจอยู่บ้างเล็กน้อย พอได้ปอกเปลือกออกหนึ่งเมล็ดแล้วใส่เข้าไปในปาก ดวงตาทั้งสองข้างของจางเต๋อหวั่งก็เป็นประกายแวววาวขึ้นมา
รสชาติดีมาก!
สิ่งนี้เคี้ยวหนึบมากกว่าเมล็ดแตงโมเสียอีก
“เสี่ยวปิง นี่เจ้าทำอย่างไร?” ผู้ใหญ่บ้านอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง
สนุกแต่ทำไมคุยกับคนอายุเยอะกว่า เรียกเจ้า ๆ ข้า กับเจ้า ทำไม่ใช่ ท่าน เหมือนอันอัน อานอาน คุยกับพ่อ กับผู้ใหญ่ เรียกเจ้าอยู่เลย...
เนื่องนี้สนุกดี..ถึงแม้จะมีบางตอนที่เขียนเนือยไปหน่อย แต่ก็ตบกลับมาได้ 👍👍👍 คือ โอเคดีเลย...
ตอนที่ 19 - 20 หาย...
เรื่องนี้เคยลงจนจบแล้วหายไปไหนหมด เคยลงในreaderaz...