แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 699

“ใต้เท้าจ้ง...” ฉีเทียนเห้าเอ่ยปาก มิใช่กับหลัวหง แต่เป็นจ้งฉาง

จ้งฉางก้าวออกมาจากแถว ใบหน้าเคารพนอบน้อม “อ๋องเซ่อเจิ้งมีเรื่องอันใดจะสั่ง?”

ฉีเทียนเห้า “ข้าอยากถามเจ้า ชิงตัวพระชายาอ๋องเซ่อเจิ้ง มีโทษสถานใด?”

ได้ยินดังนั้นแล้วกระดูกสันหลังของหลัวหงก็แข็งทื่อ มือเท้าเริ่มชา

ชิงตัวพระชายาอ๋องเซ่อเจิ้ง?

นี่ นี่...

มือสั่นไปก็หันไปมองหลัวเจิ้งหยางบุตรชายของตนไป

แต่เวลานี้หลัวเจิ้งหยางมีชนักติดหลัง ไม่กล้าสบสายตากับบิดาบ้านตน

แต่บุตรชายของตัวเอง เขายังจะไม่รู้อีกหรือ?

การแสดงออกอย่างมีชนักติดหลังนี้ มิใช่ข้อยืนยันว่าที่อ๋องเซ่อเจิ้งกล่าวมาเป็นความจริงหรือ?

หากไม่ใช่เช่นนี้ บุตรชายเขาผู้นี้ต้องโต้แย้งอย่างไม่คำนึกถึงสิ่งใดแน่

ยามนี้หลัวหงปวดเศียรเวียนเกล้าใจสั่นถึงที่สุด

หากบอกว่าขณะที่เขาอยู่ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ เขายังอาจไม่หวั่นขนาดนั้น แต่หากอยู่ต่อหน้าอ๋องเซ่อเจิ้ง นั่นกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

ต่างกล่าวว่าผู้เท้าเปล่าย่อมไม่กลัวการสวมรองเท้า และอ๋องเซ่อเจิ้งก็คือผู้เท้าเปล่าผู้นั้น (*เปรียบเปรยคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องคำนึงถึงสิ่งใด)

ฮ่องเต้ไม่กล้าทำอะไรเขาตามอำเภอใจ แต่อ๋องเซ่อเจิ้งกลับไม่คิดมากขนาดนั้น

เขายังจำได้ดี ปีนั้นฉีเทียนเห้าเพิ่งขึ้นเป็นอ๋องเซ่อเจิ้งได้ไม่นาน ตนไม่ทันระวังล่วงเกินเขาไป จากนั้น...ก็เกิดความสูญเสียใหญ่หลวง

ในถิ่นซีหนานของเขา หากหลัวหงเห็นว่าความไม่ยี่หระของตัวเองเป็นที่สอง เช่นนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าเรียกตัวเองเป็นที่หนึ่ง

แต่ฉีเทียนเห้าทำลายความคิดนี้ของเขา

ฉีเทียนเห้าไม่ยี่หระยิ่งกว่าเขาอีก

ไม่ว่าจะข่มขู่ บีบบังคับ ผลประโยชน์ หลอกล่อล้วนไม่เป็นผล เขาเสียคฤหาสน์ไปกว่าครึ่งค่อน

ถึงตอนนี้จะเสริมสร้างขึ้นมาจนไม่เห็นร่องรอยแล้ว แต่ความแค้นในใจของยังมีอยู่ตลอด

เขาไม่ต้องการล่วงเกินอ๋องเซ่อเจิ้งเด็ดขาด

แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าบุตรชายเขาไปชิงภรรยาของอ๋องเซ่อเจิ้ง...

หากไม่ใช่ว่าอยู่ในวังหลวง อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้และขุนนาง บางทีหลัวหงอาจจะหักขาหลัวเจิ้งหยางเสียเลย

ความกระทบกระเทือนในจิตใจที่ได้รับในวันนี้ ต่อให้เป็นความโมโหหลายปีรวมกันก็ยังไม่มากเท่าวันนี้เลย

ส่วนจ้งฉางผู้เคร่งครัด หลังจากได้ยินถ้อยคำของอ๋องเซ่อเจิ้งแล้ว ก็ขมวดคิ้วอยู่นานจึงจะหันไปทำคารวะเต็มพิธีกับฉีเทียนเห้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม จากนั้นจึงเอ่ยปากอย่างสัตย์จริงยิ่ง “เรียนอ๋องเซ่อเจิ้ง เรื่องนี้ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน โปรดให้กระหม่อมได้คิดอย่างละเอียดสักหน่อยเถิด”

ก็แค่ยังไม่เคยเกิดมิใช่หรือ?

แย่งภรรยาชาวบ้าน ความผิดนี้ว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ ว่าจะเล็กก็ไม่เล็ก แต่ก็พอให้เหลือกำลัง

แต่การชิงตัวพระชายาของอ๋องเซ่อเจิ้ง แล้วพระชายาของอ๋องเซ่อเจิ้งผู้นี้ยังมีฐานะเป็นองค์หญิงใหญ่อีก...ใครจะกล้า?

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์มิใช่หรือ?

เมื่อจ้งฉางกล่าวจบ ฉีเทียนเห้าก็หันไปมองทางเฉิงเซี่ยงคนใหม่เป้ยเจิ้งชิง ซ่างซูกรมราชทัณฑ์ หลางเจี้ยนจง ความหมายเด่นชัด ต้องการให้พวกเขาร่วมขบคิดด้วย...

หลางเจี้ยนจงอยู่ในกรมราชทัณฑ์มานาน เห็นคดีความมากที่สุด คดีต่างๆ นานาหลายหลากล้วนเคยเห็นมาหมดแล้ว แม้จะเป็นคดีที่เกี่ยวกับราชวงศ์ก็ทราบอยู่ไม่น้อย

แต่การชิงพระชายาของอ๋องเซ่อเจิ้ง กับการชิงผู้หญิงของอ๋องเซ่อเจิ้ง นี่...ต่อให้เป็นผู้ทำความผิดที่มีระดับสติปัญญาเท่ากับเด็กสามขวบก็ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาไม่ได้กระมัง?

หลางเจี้ยนจงมองหลัวเจิ้งหยางทีหนึ่ง จากนั้นก็มองหลัวหงด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ

หลัวหงโอหังกว่าค่อนชีวิต สุดท้ายกลับสั่งสอนบุตรชายออกมาเป็นเช่นนี้ นี่มิสู้ไม่ให้กำเนิดไม่เลี้ยงดูเสียจะดีกว่า หากบุตรชายเขา...หลางเจี้ยนจงคิดถึงหลางซิงเหอ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นกะทันหัน

ยังดี บุตรชายเขาไม่ใช่คนที่ต้องให้คนกังวล ชาตินี้คุ้มทุนแล้ว

เป้ยเจิ้งชิงขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง “อ๋องเซ่อเจิ้ง แม้เรื่องนี้จะบอกว่าไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ แต่กลับสามารถพิจารณาจัดการได้”

ว่าแล้วเป้ยเจิ้งชิงก็มองจ้งฉาง “ใต้เท้าจ้งโปรดชี้แนะ การชิงตัวสตรีชาวบ้านกับการชิงตัวสตรีแห่งราชวงศ์นี้มีโทษทัณฑ์ต่างกันอย่างไร?”

“องค์หญิงใหญ่ไม่เพียงแต่เป็นสตรีแห่งราชวงศ์ ทั้งยังเป็นพระชายาในอ๋องเซ่อเจิ้ง นี่มีฐานะควบสอง ไม่ว่าจะด้วยฐานะไหน หลัวซื่อจื่อล้วนมีโทษตายทั้งนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก ประหารชีวิตเลยก็แล้วกัน”

น้ำเสียงของเป้ยเจิ้งชิงเบาหวิวเป็นพิเศษ ผ่อนคลายคล้ายกับเชือดลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง ไม่เหมาะกับภาพลักษณ์ผู้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งผู้แก่เรียนสักนิด

ซ่งหยุนดามองเป้ยเจิ้งชิงทีหนึ่งด้วยความชื่นชม เป้ยเจิ้งชิงผู้นี้คือจอหงวนในการสอบราชการรอบที่แล้ว ตามหลักยังไม่มีสิทธิ์เป็นเฉิงเซี่ยง

แต่ท่านพ่อตาว่าสามารถรับงานใหญ่ได้ เจ้าเด็กฉีเทียนเห้าก็รู้สึกว่าเป้ยเจิ้งชิงเข้าที ดังนั้นเขาจึงมอบหมายตำแหน่งเฉิงเซี่ยงให้เขา

บัดนี้ นับว่าเขาเข้าใจถ่องแท้แล้ว คนหนุ่มซึ่งอย่างกับผู้แก่เรียนที่เขาไม่ค่อยสนใจในยามปกติ

ก็คือบัวลอยไส้งาดำลูกหนึ่ง ข้างนอกขาว ข้างในดำมืด

จัดอยู่ในตำแหน่งเฉิงเซี่ยง ดียิ่ง

อย่างนั้นเขาเป็นฮ่องเต้มานานขนาดนี้ กับความเคลือบแคลงใจของขุนนางอื่น เขานั้นทำหน้านิ่งเงียบสงบ แย้งคนกลับไปอย่างไม่สุ้มไม่เสียง

ใช้ถ้อยคำสามัญธรรมดาทำให้คนเป็นใบ้ไร้คำพูดได้

ผู้มีความสามารถเช่นนี้ หายากเหลือเกิน

ครั้นหลัวเจิ้งหยางได้ฟังถ้อยคำของเป้ยเจิ้งชิงก็ตกใจขาอ่อนพร้อมกับเดือดดาล

“เจ้าเป็นใคร เจ้าบอกประหารชีวิตข้าก็คือประหารชีวิตข้าหรือ? ทำไมเจ้าไม่ไปตายก่อนเล่า?”

ในท้องพระโรง ที่หลัวเจิ้งหยางสามารถบันดาลโทสะกับเป้ยเจิ้งชิงอย่างเหิมเกริมอย่างนี้ได้ ยังเพราะท่าทางผู้แก่เรียนใจดีรังแกง่ายของเป้ยเจิ้งชิงอย่างนั้นหรือ?

คนเขาต้าหลี่ซื่อชิงยังไม่พูดอะไร ซ่างซูกรมราชทัณฑ์ก็ยังไม่พูดอะไร แล้วต้องให้ผู้แก่เรียนไก่อ่อนอย่างนี้มาเอ่ยปากลงโทษประหารชีวิตเขาหรือ?

มีแบบนี้ที่ไหนกัน?

“บังอาจ!”

หลัวเจิ้งหยางเพิ่งเปิดปาก ซ่งหยุนดาก็ตบโต๊ะ ตวาดด้วยน้ำเสียงวาวโรจน์

หลัวเจิ้งหยาง “...”

ตายแล้ว ลืมไปเลยว่าฮ่องเต้ยังอยู่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง