แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 707

"ดี!" ฉินโย่วชำเลืองมองจางเอ้อหลางเล็กน้อย และยกยิ้มมุมปาก

คล้ายกับว่ากำลังยั่วยุ

แต่ทว่า จางเอ้อหลางไม่ได้เห็น

ในเวลานี้สายตาของจางเอ้อหลางล้วนมองไปที่ฉินซานเอ๋อร์ เขาเฝ้ารอให้ฉินซานเอ๋อร์เปลี่ยนความคิด

แต่ทว่า ฉินซานเอ๋อร์ไม่เต็มใจแม้กระทั่งจะส่งสายตามองเขาอีกครั้ง

ใช่แล้ว ฉินซานเอ๋อร์ไม่หันมองจางเอ้อหลางอีก และหลังจากที่นางกับฉินโย่วกล่าวอำลาซ่งฉงปิงแล้ว ก็เดินเฉียดไหล่จางเอ้อหลางไปแบบนั้น

ในขณะที่ฉินซานเอ๋อร์เดินผ่านตัวเองไป จางเอ้อหลางก็อยากจะยื่นมือไปคว้าฉินซานเอ๋อร์เอาไว้

แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของฉินซานเอ๋อร์แล้ว จางเอ้อหลางก็อดกลั้นต่อแรงกระตุ้นนี้ คนก็คล้ายกับไร้วิญญาณยืนอยู่กับที่อยู่อย่างนั้น

ซานเอ๋อร์ นางไม่ชอบเขา

กระทั่งอาจจะรังเกียจเขาด้วยซ้ำ

ความคิดนี้ ทำให้จางเอ้อหลางไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

ในเวลานี้ ในสมองของจางเอ้อหลางว่างเปล่า

และเมื่อฉินซานเอ๋อร์เดินไปถึงหน้าประตู ก็หยุดลงกะทันหัน และหันหน้ากลับมามองจางเอ้อหลาง

เมื่อครู่นี้ ที่จงใจไม่มองจางเอ้อหลาง อันที่จริงเป็นอารมณ์ที่แง่งอนของนาง

ในช่วงเวลานี้ ภายในใจของนางไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกน้อยใจ

บางครั้งคนก็เป็นเช่นนี้ ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ตอบรับมาโดยตลอด เช่นนั้นความเสียใจภายในใจตนเองจึงพยายามคิดหาทางทาจะกลืนเข้าไป

แต่ถ้าหากอีกฝ่ายตอบรับ ถึงต้องการจะแสดงท่าทีสักเล็กน้อย ก็นับว่าเป็น'การเจ้า้แค้น'ของตนเอง

ฉินซานเอ๋อร์ในเวลานี้ก็มีความคิดเช่นนี้

มีเหตุผลอะไรที่ตนเองจะต้องเป็นทุกข์และรู้สึกน้อยใจมาโดยตลอด ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะได้ลิ้มรสชาติเช่นนี้เสียที

เพียงแต่ ฉินซานเอ๋อร์ก็เป็นกังวลใจอีกว่า ด้วยนิสัยของจางเอ้อหลาง ถ้าหากไม่เข้าใจความคิดของตนเองแล้วจะทำอย่างไร?

ฉินซานเอ๋อร์ยืนอยู่ที่หน้าประตู ชั่วพริบตาก็ค่อนข้างรู้สึกยุ่งเหยิงวุ่นวาย

ไม่มีใครรู้จักลูกสาวของตนเองดีเท่าพ่อ ฉินโย่วยังรู้สึกเข้าใจลูกสาวของตนเองอีกด้วย

ฉินโย่วทอดถอนใจภายในใจ รู้สึกเพียงว่าหากบุตรสาวโตแล้วไม่ได้แต่งงาน อยู่ไปอยู่มาจะเป็นศัตรูกันได้

ใจไม่แข็งพอที่จะให้บุตรสาวสับสนวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้ฉินโย่วจึงกล่าวกับซ่งฉงปิงว่า "องค์หญิงเตี้ยนเซี่ย บัดนี้ข้าน้อยพักอยู่ที่หมายเลข66ซอยอู๋ถงทางด้านตะวันตก ถ้าหากองค์หญิงเตี้ยนเซี่ยมีเรื่องอะไรที่ต้องการตามหาข้าน้อยหรือบุตรสาวของข้าน้อย ก็สามารถส่งคนไปตามที่ซอยอู๋ถงได้ขอรับ"

ถึงจะพูดกับองค์หญิงใหญ่เช่นนี้ แต่ฉินโย่วก็ทอดถอนใจภายในใจ

เพียงแต่ เพื่อบุตรสาว ก็ทำได้เพียงกัดฟันพูดคำพูดที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ออกมา

โชคดีที่ ในขณะที่ฉินโย่วรู้สึกกังวลใจ ซ่งฉงปิงจึงเอ่ยปากว่า "ได้ ข้าเข้าใจแล้ว"

ฉินโย่วจึงโล่งอก หลังจากที่กล่าวขอบคุณซ่งฉงปิงแล้ว จึงพาฉินซานเอ๋อร์ออกไป

ในระหว่างนี้ จางเอ้อหลางก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

ชั่วพริบตา ภายในร้านก็ค่อนข้างเงียบสงัด ใครต่างก็ไม่ได้พูดจา จางเอ้อหลางก็คล้ายกับไร้วิญญาณ

ซ่งฉงปิงเห็นท่าทีนี้ของจางเอ้อหลางแล้ว จึงกล่าวอย่างนิ่งๆ ว่า: "เจ้าต้องการจะละทิ้งหรือ?"

จางเอ้อหลางได้ยินเช่นนี้ จึงเงยหน้ามองไปยังซ่งฉงปิงอย่างงุนงง

ซ่งฉงปิงเห็นท่าทีที่ผิดหวังอย่างมากของจางเอ้อหลางแล้ว ในที่สุดก็ยังทอดถอนใจอย่างใจอ่อน แล้วกล่าวอีกครั้งว่า "เจ้าจะปล่อยให้ฉินซานเอ๋อร์ออกจากเมืองหลวงไปแบบนี้หรือ? จากนั้น ก็ไม่ได้พบกันอีกตลอดกาล และกลายเป็นคนแปลกหน้ากันนับจากนี้ไปใช่หรือไม่?"

จางเอ้อหลางคิดตามคำพูดของซ่งฉงปิง

หลังจากนั้น จางเอ้อหลางก็นึกถึงว่าตนเองกับฉินซานเอ๋อร์จะไม่ได้พบกันอีกตลอดกาล กระทั่งหลังจากที่ฉินซานเอ๋อร์ออกจากเมืองหลวงและอาจจะแต่งงานมีลูกกับคนอื่น ภายในใจก็รู้สึกเจ็บปวด

"ไม่ ข้าไม่ยินยอม" จางเอ้อหลางส่ายหน้า ความเจ็บปวดทรมานบนใบหน้า คล้ายกับว่าความคิดทั้งหมดกลายเป็นความจริง

ซ่งฉงปิงตัดสินใจที่จะช่วยคนจนถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง "เช่นนั้นเจ้ายังไม่พยายามอย่างเต็มที่อีกหรือ?"

จางเอ้อหลางคิดๆ แล้ว จากนั้นก็วิ่งไปยังด้านนอกประตู โดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น

วิ่งไปพลาง ภายในใจของจางเอ้อหลางก็รู้สึกเสียใจไปพลาง

ทำไมเขาถึงได้โง่เง่าขนาดนี้นะ

หากถูกปฏิเสธแล้วจะทำอย่างไรกัน?

ถูกปฏิเสธก็จะต้องละทิ้งเช่นนั้นหรือ?

ในเมื่อไม่อยากละทิ้ง เช่นนั้นทำไมไม่ทุ่มเทพยายาม จะปล่อยคนให้จากไปเช่นนี้หรือ?

จางเอ้อหลางวิ่งไปพลางคิดไปพลาง ภายใต้การจับจ้องของลูกค้าของหอปิงอวี้ จางเอ้อหลางวิ่งไปถึงหน้าประตู

แต่ทว่า ที่หน้าประตูมีภาพเงาของสองพ่อลูกเสียที่ไหนกัน?

ความผิดหวังและความหวาดกลัว ปรากฏขึ้นมาภายในใจ ไม่นานจางเอ้อหลางก็นึกถึงที่อยู่นั้นของฉินโย่วที่เอ่ยก่อนจะจากไป

หลังจากนั้น ก็วิ่งไปยังถนนทางด้านตะวันตก โดยไม่ต้องคิด

ในเวลานี้ จางซิ่งฮวาที่อยู่ด้านหลังร้านได้มองไปยังหน้าประตูด้วยสีหน้าเป็นกังวล

"องค์หญิง........"

"ตอนที่ไม่มีคนอื่น เรียกข้าว่าพี่เสี่ยวปิงเถิด" ซ่งฉงปิงตัดบท

จางซิ่งฮวาจึงได้สติกลับมา จากนั้นก็ไม่ได้สนใจปัญหาการเรียกชื่อเป็นพิเศษ

ถึงอย่างไร ต่อให้ตอนนี้พี่เสี่ยวปิงเป็นองค์หญิงใหญ่แล้ว สถานะแตกต่างกับตนเองราวฟ้ากับดิน แต่พี่เสี่ยวปิงเป็นคนดี ทำให้ไม่มีความกดดันมากเกินไปเวลาอยู่ต่อหน้านาง

เพียงแต่ สามารถเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเว่ยได้ คนทั้งสองก็ไม่ได้โง่เง่า

โดยเฉพาะฉินซื่อน้าสะใภ้ใหญ่ บัดนี้เป็นผู้ควบคุมการหุงหาอาหารภายในครอบครัว ก็ยิ่งมีความโปร่งใสมากขึ้น

หลังจากตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง ฉินซื่อก็ยิ้ม แล้วกล่าวว่า "นี่คือเจ้าพูดอะไร พวกเราและปิงเอ๋อร์เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุดเสมอมา"

พูดพลาง ฉินซื่อก็กล่าวกับช่ายซื่อที่อยู่ข้างๆ ว่า "เมื่อครู่ข้าก็บอกกับเจ้าแล้วว่า ปิงเอ๋อร์คือครอบครัวของพวกเรา ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ เจ้าก็ไม่เชื่อ ดูสิ บัดนี้ถูกพวกเราทำให้โมโหแล้ว เจ้าจะต้องรับผิดชอบ"

ช่ายซื่อก็ให้ความร่วมมือ ยิ้มแล้วกล่าวว่า "ปิงเอ๋อร์ยกโทษให้น้าสะใภ้เล็กด้วยเถิด การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้น ไม่สามารถตอบสนองได้ในชั่วครู่ชั่วยาม เจ้าไม่ให้พวกข้าทำความเคารพ พวกเราก็ไม่ทำความเคารพ วันหน้าคำพูดที่บอกว่าไม่ใช่ญาติก็คงจะพูดไม่ออก"

เมื่อน้าสะใภ้ทั้งสองพูดคำนี้ เรื่องราวก็ผ่านไปแล้ว

คนทั้งสามทำตัวเหมือนปกติ เดินไปข้างในอย่างสนิทสนม ไม่นานก็เดินมาถึงสวนดอกไม้ของตระกูลเว่ย

ไม่นาน ก็เห็นฮูหยินใหญ่อยู่ในสวนดอกไม้

เมื่อฉวี่ซื่อเห็นซ่งฉงปิง ก็ไม่ได้เห็นเป็นคนนอกจึงกวักมือและยิ้มกับซ่งฉงปิงโดยตรง "เจ้ามาแล้วหรือ เมื่อครู่นี้ข้ายังบ่นถึงเจ้าอยู่เลย"

ซ่งฉงปิงเดินเข้าไป แล้วนั่งลงบนที่นั่งข้างๆ ฉวี่ซื่อ "ท่านยายบ่นอะไรถึงข้าหรือ? เป็นคำพูดที่ดีใช่หรือไม่?"

ฉวี่ซื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า "ปิงเอ๋อร์ของข้าเป็นคนดีเช่นนี้ ทำไมจะไม่ใช่คำพูดที่ดีล่ะ?"

เพียงซ่งฉงปิงได้ฟัง ก็ค่อนข้างรู้สึกเขินเล็กน้อย

เพียงแต่ มุมปากของนางยกยิ้มเล็กน้อย มีท่าทีอารมณ์ดีอย่างมาก

อยู่ที่ตระกูลเว่ย นางรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก นี่คือความรู้สึกของครอบครัว

ด้วยเหตุนี้ ซ่งฉงปิงจึงกล่าวถามว่า "สองสามวันนี้พี่สามก็จะถึงเมืองหลวงแล้วใช่ไหม?"

ฉวี่ซื่อยิ้มแล้วพยักหน้า "ใช่แล้ว วันมะรืนนี้ก็จะถึงแล้ว พี่สามของเจ้าพูดถึงเจ้าด้วยนะ เอ่ยถึงว่า ถ้าหากไม่มีเจ้า เกรงว่าพี่สามของเจ้าก็คงจะตายไปนานแล้ว"

ก่อนหน้านี้ ฉวี่ซื่อไม่รู้ว่า

เพียงแต่ เว่ยเจ๋ออิงเคยเอ่ยถึงในจดหมาย ฉะนั้นตอนนี้จึงได้รู้

เพราะเรื่องราวได้ผ่านไปแล้ว ก็ไม่อยากทำให้ผู้อาวุโสต้องเจ็บปวดใจมากนัก และยังคิดว่าการที่หลานสาวได้ช่วยชีวิตหลานชายเอาไว้ นี่เป็นโชคชะตาจริงๆ

ซ่งฉงปิงยิ้มแล้วกล่วว่า "นั่นเป็นเพราะพี่สามดวงไม่ถึงฆาตต่างหาก"

ฉวี่ซื่อก็ยิ้มแล้วพยักหน้า

เพียงแต่ ไม่นานฉวี่ซื่อก็รู้สึกเศร้าใจ พี่สามของเจ้ากลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าก็เป็นกังวลใจ......"

พูดถึงจุดนี้แล้ว ฉวี่ซื่อจึงตระหนักว่าหัวข้อนี้ไม่น่าพอใจ จึงไม่ได้กล่าวต่อไป

แต่ซ่งฉงปิงถูกดึงดูดให้อยากรู้อยากเห็น "พี่สามเกิดเรื่องหรือ?"

เมื่อเห็นว่าซ่งฉงปิงไม่ปล่อยผ่านหัวข้อสนทนานี้ อีกทั้งยังให้ความสนใจอีกด้วย ฉวี่ซื่อคิดๆ แล้ว ก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบัง

ทอดถอนใจ และฉวี่ซื่อจึงกล่าวว่า "นี่ล้วนเป็นเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมานานมากแล้ว....."

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง