ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 133

"นักพรตเลวพูดให้ชัดเจน! ยังมีอีก ท่านจะข้ามมาไหม?"

"ชีชี หนทางของเธออีกยาวไกล"

ประโยคนี้นางได้ยินอย่างชัดเจน

"ท่านอย่าพูดอะไรที่ไม่ใช่เรื่อง!" โหลชีโกรธ และรีบพุ่งเข้าไปหาเขา แต่นักพรตเลวก็กลายเป็นควัน ควันนั้นลอยหายไปไกล และค่อยๆกลายเป็นร่างอื่น ซึ่งมองเห็นอย่างเลือนรางว่าเป็นร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง และสิ่งที่ทำให้โหลชีประหลาดใจก็คือ รูปร่างของผู้หญิงคนนั้นคล้ายกับนางมาก แต่นางรู้แน่ชัดว่านั่นไม่ใช่นาง เพราะเส้นผมของนางยาวมาก และของตัวเองยาวถึงไหล่

ผู้หญิงคนนั้นหันกลับมาช้าๆ และถอนหายใจ โหลชีรู้สึกได้ถึงความเศร้าของนาง

และเมื่อผู้หญิงคนนั้นจะหันกลับมา เพื่อให้นางเห็นใบหน้านั้น ก็มีน้ำเย็นหยดหนึ่งหยดลงใบหน้าของนาง นางกระตุก ก็ตื่นขึ้นมาทันที

เพราะนางผล็อยหลับในอ้อมกอดของเฉินซ่า พอลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของเฉินซ่า และสิ่งที่ทำให้นางตกใจก็คือ น้ำเย็นที่หยดลงมานั้นเป็นน้ำตาของเฉินซ่า

"เฉินซ่า" นางเรียกเขาเบาๆ

เฉินซ่ายืนอยู่ในหมอกหนาทึบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฝันถึงโหลชี ปกคลุมไปด้วยหมอก ข้างหน้าพวกเขาเป็นเหวลึก และอีกฝั่งหนึ่งมีร่างของชายคนหนึ่งที่รูปร่างลือนราง เขาเรียกโหลชีอยู่อีกฝั่ง

"ชีชี รีบมาเร็ว"

"ชีชี เขาเป็นใคร? ทำไมเรียกนางได้สนิทเช่นนี้

เฉินซ่ามองไปที่โหลชี และพูดอย่างเย็นชา "ถ้าเจ้ากล้าข้ามไป ข้าจะฆ่าเจ้า"

โหลชียิ้มให้เขาอย่างจนปัญญา "เฉินซ่า ข้าต้องไป จากนั้นนางก็ยืนเขย่งปลายเท้า และจูบบนริมฝีปากของเขาเบาๆ "เฉินซ่า ลืมข้าซะ พวกเราไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้"

เขาลืมตา และเห็นโหลชีมองมาที่เขาอย่างกังวล

ชั่วขณะเฉินซ่ากอดนางไว้แน่น พูดด้วยความโกรธ "เจ้าเป็นคนของข้า ถ้ากล้าไปกับคนอื่น ข้าจะฆ่าพวกเจ้า"

"ท่าน......" เดิมทีโหลชียังเป็นห่วงเขา แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็กลอกตา

เรื่องของลัทธิสิ้นโลกีย์ถูกลืมไปชั่วคราว อย่างไรก็ตามโหลชีได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด หมู่บ้านนั้นเป็นภาพลวงตา เขาและองครักษ์เยว่เข้าไปพร้อมกัน เมื่อองครักษ์เยว่จากไป เขาต้องอยู่ที่นั่น เพื่อไม่ให้ภาพลวงตานั้นหายไป องครักษ์เยว่ก็สามารถใช้เส้นทางเดิมกลับไปหาเขา ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะถูกแยกจากกันไปอยู่ในสถานที่แตกต่างกัน นี่คือเหตุผลที่เขารู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับองครักษ์เยว่แต่เขาไม่ได้ไปตามหา

เพียงเพราะมันเป็นภาพลวงตา โหลชีจึงไม่สามารถสัมผัสได้ว่าพวกเขาอยู่ข้างใน

แต่เฟยเหินและท่าเสวี่ยได้ออกไปนานแล้ว เพราะสัมผัสได้ว่ามันแปลกๆ ปฏิกิริยาของพวกมันรุนแรงมาก คาดว่าคงจะหนีไปไกลมาก

แน่นอนในตอนบ่ายของวันนั้นพวกเขาก็เจอเฟยเหินกับท่าเสวี่ย

ระหว่างทางที่โหลชีกำลังเตรียมตัวจะพาพวกเขากลับไปที่อุทยานเขาเฟิงหยุน พวกเขาก็พบว่ามีคนมากมายกำลังรีบเร่งไปที่อุทยานเขาเฟิงหยุน ทั้งที่รู้ว่าคนเหล่านี้เมื่อรวมตัวกันอาจมีการต่อสู้ได้ทุกเมื่อ และอาจกระทบกระเทือนถึงตัวเอง แต่เพื่อหาเงิน ก็มีคนพายเรือหลายคนพายเรือไปที่แม่น้ำซิงหลัวเพื่อหาลูกค้า

ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถซื้อเรือลำใหญ่ได้ ดังนั้นเรือส่วนตัวลำเล็กเหล่านี้ก็เป็นที่นิยมอย่างมาก

แน่นอน ยังมีบางคนที่มีเงื่อนไขและภูมิหลังที่ดีก็ได้นั่งเรือใหญ่ไป และบางคนถึงกับพานักร้องและนักเต้นขึ้นเรือ และสนุกสนานไปตลอดทาง เดิมทีแม่น้ำซิงหลัวนั้นเงียบสงบแต่สองสามวันมานี้มีชีวิตชีวามากขึ้น

"ได้ยินเจ้าบ้านหยุนพูดว่า บัวเลือดเขาน้ำแข็งไม่ได้อยู่ที่เขา คนในโลกนี้ถ้าใครไม่เชื่อ ก็สามารถไปที่อุทยานเขาเฟิงหยุน ไม่เพียงแต่จะเอาปลาซิงหลัวที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในแม่น้ำซิงหลัวมาต้อนรับแขก และยังสามารถเปิดอุทยานเขาเฟิงหยุน ให้ทุกคนได้ค้นหา"

"ในกรณีนั้นเจ้าบ้านหยุนอาจไม่ได้บัวหิมะเขาน้ำแข็ง พวกเจ้าคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่มีคนจงใจใส่ร้ายเขา เพื่อเปลี่ยนเป้าหมาย?"

"เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ชัดเจน พูดสั้นๆ ถ้าไม่ไปดูก็ไม่มีใครกล้าเชื่อสนิทใจใช่ไหม"

"ไป ทำไมจะไม่ไป ไปเพื่อปลาซิงหลัวก็ได้ ได้ยินมาว่าถึงแม้แม่น้ำซิงหลัวจะใหญ่ แต่ก็มีเพียงน้ำในอุทยานเขาเฟิงหยุนเท่านั้นที่อุดมไปด้วยปลาซิงหลัวชนิดนี้ และปลาซิงหลัวนั้นตัวใหญ่ผิดปกติ ได้ทานแล้วจะทำให้ลืมไม่ลง และเป็นของดีที่หากินข้างนอกไม่ได้!"

"อย่าพูดถึงปลาซิงหลัวนั่นเลย ได้ยินมาว่าลูกศิษย์หญิงในอุทยานเขาเฟิงหยุนนั้นงดงามมาก ไปดูกันหน่อยก็ดี"

"คงไม่ใช่ว่าเจ้าอยากไปที่อุทยานเขาเฟิงหยุนเพื่อถามเรื่องขอแต่งงาน?"

"ฮ่าๆๆ ทำไมพี่ต้องพูดแบบนี้ด้วย"

ริมฝั่งแม่น้ำซิงหลัว การสนทนาและเรื่องหยอกล้อเช่นนี้มีอยู่ทั่ว

เฉินซ่าโหลชีและเยว่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน และมองหาเรือที่ยังว่าง โหลชีคิดไม่ถึงว่าแค่เวลาเพียงสองสามวัน แม่น้ำซิงหลัวจะมีชีวิตชีวาและครื้นเครงขนาดนี้ และก่อนหน้านี้ที่นางกับหยุนเฟิงอยู่ที่ท่าเรืออุทยานเขาเฟิงหยุนได้ขโมยเรือมาลำหนึ่งตอนนี้ก็หายไปแล้ว หยุนเฟิงก็หายไปเช่นกัน

โหลชีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เพราะถ้าหยุนเฟิงยังคงอยู่ ไม่ต้องพูดถึงบัวหิมะเขาน้ำแข็ง ไม่แน่พวกเขาอาจจะได้ทานอาหารที่เขาทำเอง สำหรับอาหารที่หยุนเฟิงทำนั้นโหลชียากจะลืมเลือน แต่นางไม่กล้าพูดต่อหน้าเฉินซ่า

"เฮ้ย ท่านผู้เฒ่า เรือของท่านทำไมเล็กจัง เจ้าต้องการแผ่นทองสิบแผ่นจากพวกเรา ทำไมท่านไม่ไปปล้นล่ะ!"

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ริมฝั่งแม่น้ำซิงหลัว ได้ยินคนพูดคำเหล่านี้บ่อยมาก คนพายเรือเหล่านี้เห็นว่าธุรกิจกำลังเฟื่องฟู ก็ไม่แปลกที่จะขึ้นราคา แต่ว่า นี่เป็นเรือที่สามารถรองรับได้แค่ห้าคน ต้องเก็บแผ่นทอง คนละสิบแผ่น มันมากเกินไป แผ่นทองสิบแผ่นมันแพงกว่าเรือลำใหญ่แล้ว

ชายชรานั่งสูบบุหรี่อยู่บนหัวเรือได้ยินแต่ไม่เงยหน้าแล้วพูด "ถ้าคิดว่ามันแพงก็ไม่ต้องนั่ง ไปหาเรือใหญ่"

"หาก็หา! ถ้าเจ้ามีความสามารถภายในสามวันยังอยู่ที่นี่ คอยดูนะว่าข้าจะมามาทำลายเรือของเจ้าหรือไม่!" คนนั้นพูดดุด่าแล้วเดินจากไป ชายชรายังคงสูบบุหรี่ต่อไป

เฉินซ่าหายใจติดขัดเล็กน้อย

พลังกังฟูของชายชราสามารถกดดันเฉินซ่า ชั่วพริบตาสามารถหยุดเรือได้ นี่ต้องใช้พลังกังฟูมากเท่าไหร่! ชายชราคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา!

"เฮ้ย ท่านลุง พวกเราจะเพิ่มแผ่นทองอีกสิบแผ่น!"

ชายชรายิ้มเยาะ "แม่นางนี่เข้าสังคมเก่ง"

เฉินซ่ารู้สึกว่าแรงกดดันนั้นหายไปทันที และเรือก็ขยับอีกครั้ง ชายชราหยิบเสาเรือขึ้นมา แล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกไปตรงหน้าโหลชี "เอามา"

"เอามา" โหลชีเลียนแบบ และยื่นมือออกไปตรงหน้าเยว่

องครักษ์เยว่เลยมอบถุงเงินทั้งหมดให้นาง โหลชีหันกลับมาและมอบถุงนั้นให้กับชายชรา "ที่เหลือพอจะซื้อปลาซิงหลัวได้ไหม?"

ชายชราหัวเราะทันที "ได้ๆๆ พอ พอแล้ว! ข้าจับปลา เจ้ามาย่าง เป็นไง?"

"อ้าว ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขาดทุนสิ ให้เงินแล้วยังต้องลงมือย่างเอง?" โหลชีตะโกน

"ข้าไม่มีฝีมือด้านนี้ ถ้าเจ้าไม่รังเกียจข้าก็ทำได้"

เฉินซ่ากับเยว่มองไปที่โหลชี และมองชายชราอีกครั้ง รู้สึกว่าสมองมึนตึ๊บ นี่มันเรื่องอะไรกันเหรอ?

แต่โหลชีและชายชราไม่สนใจพวกเขาทั้งสองคน และระหว่างทางยังแอบถามโหลชีซึ่งทุกคนก็ได้ยิน "แม่สาวน้อยน่ารักและน่าสนใจขนาดนี้ ทำไมถึงไปหาหินส้วมเช่นนี้?"

หินส้วม ฮ่าๆๆ หินที่อยู่ในส้วม ทั้งเหม็นและแข็ง(หมายถึงนิสัยของฝ่าบาทนะ ทั้งดื้อทั้งแปลก)

โหลชีมองไปที่เฉินซ่าและหัวเราะจนปวดท้อง

เฉินซ่าเหลือบมองเธออย่างเย็นชา

เยว่นั้นชื่นชมโหลชีมาก ผู้หญิงคนนี้เห็นความผิดปกติของชายชราตั้งแต่แรกดังนั้นจึงยืนกรานที่จะนั่งเรือลำนี้ใช่ไหม?

ในขณะนั้น แต่เดิมแม่น้ำที่นิ่งสงบก็เกิดเชี่ยวกรากขึ้นมาทันที และทันใดนั้นก็กลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ทันทีที่เห็นกระแสน้ำวนนี้ โหลชีอดไม่ได้ที่จะนึกถึงกระแสน้ำวนที่นางเคยเห็นบนผิวน้ำสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งมันค่อนข้างเป็นภาพสะเทือนใจ

กระแสน้ำวนนี้กำลังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมันก็เกือบกินพื้นที่ผิวแม่น้ำทั้งหมดนี้ เดิมทีก็มีเรือหลายลำอยู่ในแม่น้ำ และบังเอิญพายมาถึงตรงนั้นพอดี รวมทั้งเรือลำเล็กของโหลชี มีประมาณสิบลำ มีเรือใหญ่สี่ลำ ที่เหลือเป็นเรือเล็ก และเรือของโหลชีลำนี้เป็นลำที่เล็กที่สุด

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ