วิทยายุทธ์ของทหารองครักษ์ชุดดำเหนือชั้นกว่าหยูห้วงมากนัก และพวกเขายังเข้าขากันได้ดี เวลาลงมือมีรังสีอำมหิตที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด โชคดีที่วิทยายุทธ์ของหยูห้วงอยู่ในระดับดีมาก สู้ไม่ได้ก็หนี ม้าเหงื่อโลหิตหลายตัวนั้นกลับวิ่งไล่ตามทหารองครักษ์หลายคนนั้นมาอย่างบ้าคลั่ง ทำเขาแทบบ้า
"ตายซะเถอะ!"
เสียงตะคอกดังไล่มา หยูห้วงรู้สึกถึงรังสีอำมหิตแรงกล้าจากด้านหลังได้ เขาใจกระตุก รู้สึกว่าหลบหลีกไม่ได้แล้ว กำลังแอบถอนหายใจว่าชีวิตตนเองอาจจะต้องมาดับลงที่นี่ ก็มีลมลูกหนึ่งมากระแทกไปที่ด้านหลังเขา ได้ยินเสียงชัดเจน กระบี่ด้านหลังเบนออกไป
หยูห้วงดีใจนัก อาศัยจังหวะกระโดดออกไปไกล พริบตาเดียวไปยืนข้าง องครักษ์เยว่ที่ยื่นมือเข้าช่วย
"ใต้เท้าองครักษ์เยว่..." เขากำลังจะอธิบายเรื่องราว กลับเห็นทหารองครักษ์ชุดดำที่ไล่ฆ่าเขามีสีหน้ายินดีปรีดา คุกเข่าลงข้างเดียวทำการคารวะไปตามๆกัน
"ฝ่าบาท!"
เฉินซ่าแบกโหลชีไว้ สายตาจับจ้องไปที่ร่างพวกเขา เพียงพยักหน้าน้อยๆ "ลุกขึ้นได้"
"ฝ่าบาท คนผู้นั้นบังอาจคิดขโมยเฟยเหินและท่าเสวี่ย..."
หมู่คนที่ไล่ฆ่าหยูห้วงคือพวกเฉิงสิบและโหลวซิ่น พวกเขาหลบหนีการตามฆ่า และก็ตามหาเฉินซ่าและองครักษ์เยว่มาตลอดทาง แต่ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอเฟยเหิน และเห็นหยูห้วงกำลังจะขโมยม้าชั้นเลิศ ในใจเดือดจัด มีหรือจะยอมละเว้นเขา แต่ไม่คิดเลยว่า การไล่ฆ่าเขามาถึงตรงนี้ จะสามารถหาตัวเฉินซ่ากับองครักษ์เยว่เจอ พวกเขาดีใจยิ่งนัก
"ข้าให้เขาไปหาม้ามาเอง"
หยูห้วงรู้สึกตนโชคดียิ่งนัก อย่างน้อยไม่โดนองครักษ์พวกนี้ฆ่าแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงโชคร้ายยิ่ง แต่ในใจเขาแอบตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าวิทยายุทธ์องครักษ์ของเฉินซ่าจะแข็งแกร่งเพียงนี้ เดิมเขาคิดว่า อาศัยวิทยายุทธ์ตนจะเชิดหน้าเป็นลูกน้องเขาคงง่ายมาก แต่ตอนนี้ถึงรู้ว่าเขาไร้เดียงสาไปละ เขาเก็บความเย่อหยิ่งเล็กน้อยนั้นไว้เงียบๆ
ตอนนี้เอง โหลวซิ่นเห็นโหลชีที่เฉินซ่าแบกไว้บนหลัง ท่าทางดูสลบไสล ก็ตกใจมาก "ฝ่าบาท แม่นางโหลเป็นกระไรรึขอรับ?"
"ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย คนอื่นล่ะ?"
"เรียนฝ่าบาท พวกข้าแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคุ้มครองคนเจ็บออกจากทุ่งน้ำแข็งเตรียมเข้าเมืองไปรักษาอาการบาดเจ็บ รออาการดีขึ้นแล้วค่อยกลับพั่วอวี้ พวกข้าหกคนออกมาตามหาฝ่าบาท" เฉิงสิบตอบ
เฉินซ่ารับคำ สายตากลับร้อนใจยากจะปิดมิด เยว่เข้าใจความคิดเขา เลยสั่งการลงไป ให้พวกเฉิงสิบรีบไปหารถม้ามา เฉินซ่าอุ้มโหลชีขึ้นเฟยเหิน ยกท่าเสวี่ยให้ท่านจิน ให้เขามุ่งหน้าไปภูเขาหิมะก่อน องครักษ์เยว่ทำสัญลักษณ์ไว้ตามทาง เพื่อให้พวกเฉิงสิบหารถม้าและม้าได้แล้วไล่ตามมา
ภูเขาหิมะเป็นคนละที่กับทุ่งน้ำแข็งที่พวกเขาไปก่อนหน้านี้ ภูเขาหิมะนี่อยู่อีกด้านหนึ่งของตงชิง อยู่ไกลจากทุ่งน้ำแข็งมาก เพราะกลัวว่าม้าวิ่งเร็วจะทำให้โหลชีกระทบกระเทือน ดังนั้นที่จริงเฉินซ่าไม่กล้าเร่งฝีเท้าม้าเร็วเกินไป ผ่านไปหนึ่งวัน พวกเฉิงสิบควบรถม้าไล่ตามมาทันแล้ว
ในที่สุดโหลชีก็ตื่นขึ้นกลางดึกในวันนี้ เพียงแต่ไม่รู้เพราะทุลักทุเล หรือเพราะการทลายค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้ม ตอนนี้สีหน้านางยังแย่กว่าเมื่อก่อนซะอีก ซีดเผือดไร้ซึ่งสีเลือด ทำให้เฉินซ่าสีหน้าเคร่งเครียด โชคดีตอนนี้มีรถม้า เขาเลยอุ้มนางนั่งในรถม้า เฉิงสิบและโหลวซิ่นดูแลโหลชีอย่างดี พวกเขารู้ว่านางได้รับบาดเจ็บ จึงตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษ ในรถม้ามีการจัดวางใหม่ วางผ้าห่มหนาๆเอาไว้ ขนาดผนังรถด้านในยังหุ้มผ้าอ่อนนุ่ม เพื่อให้นางรู้สึกสบายยามเอนพิง
และในลิ้นชักของรถม้าด้านในจัดวางของกินเล่นอาหารไว้หลากหลายชนิด
ไม่ว่ายังไง มันทำให้โหลชีที่ไม่ได้สบายๆแบบนี้นานแล้วดีใจยิ่งนัก เพียงแต่นางบาดเจ็บภายในหนักหนาเกินไป และยังมีการบาดเจ็บสาหัสของพลังงานจิตใจ ระหว่างทางฟื้นขึ้นมาหนึ่งครั้ง กินขนมไปหนึ่งคำ ยังไม่ทันกลืนลงไป ก็สลบไปอีกครั้ง
นับตั้งแต่นางมาที่นี่ ปกติเห็นแต่ท่าทีแกล้งโง่แสร้งว่าอ่อนแอของนางอยู่เสมอ หากจริงๆแล้วนางมีนิสัยประหลาด ฝีมือดียิ่ง บางครายังทำหน้าทะเล้น การวิเคราะห์แข็งแกร่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนางอ่อนแอถึงขั้นกินขนมหนึ่งคำยังไม่ได้ เฉินซ่ารู้สึกปวดใจจนแทบสลาย
"อีกนานเท่าใดจะถึงภูเขาหิมะ?" เขาเปิดผ้าม่านขึ้นฉับพลัน ถามท่านจินที่ขี่ม้านำทางอยู่ข้างใน
ท่านจินตรวจดูอาการบาดเจ็บภายในของโหลชีแล้ว แต่สำหรับเรื่องพลังจิตกลับตรวจมิเห็นอันใดเลย ในโลกของพวกเขานี้ รู้จักกำลังภายใน กำลังกาย แต่เรื่องของที่ค่อนข้างเป็นวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์อย่างพลังจิต เขาไม่รู้หรอก นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขารู้สึกว่าฝีมือที่โหลชีแสดงออกมาดูจะร้ายกาจไปไกลกว่ากำลังภายในที่พวกเขารู้จักมากนัก เพราะนางไม่เพียงฝึกกำลังภายใน ยังฝึกฝนพลังจิต มันเป็นไม้ตายของนางสำหรับใช้แก้คำสาปและทะลวงค่ายกล เพียงแต่ครั้งนี้มันบาดเจ็บร้ายแรงมากจริงๆ นางต้องการบัวเลือดเขาน้ำแข็งมาบำรุง
ครั้งนี้ก็นับว่าเป็นครั้งหนึ่งที่โหลชีบาดเจ็บหนักที่สุดตลอดยี่สิบกว่าปีที่อยู่มา นางสลบไปสามวันเต็มๆ และมีฟื้นมาครั้งเดียวเท่านั้น
สามวันให้หลัง พวกเขามายืนอยู่ตีนภูเขาหิมะ มองภูเขาหิมะนั้นที่สูงเทียมเมฆ โหลชีถึงได้สติฟื้นขึ้นมา
นางพึ่งย้อนเวลามาได้ไม่นาน แต่กลับผ่านความเป็นความตายกับเฉินซ่าหลายครั้ง การทะลวงค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้มครั้งนี้ เกือบจะผ่านไม่ได้ ก่อนหน้านี้ที่เฉินซ่าบอกว่านางเป็นผู้หญิงของเขา ความหมายที่เขาแสดงออกมานางเข้าใจ และยังเคยตอบรับ เคยบอกเขาว่า นางเป็นของเขา ถ้าอย่างนั้นเขาก็เป็นของนางด้วย แต่เรื่องจริงคือ นางรู้สึกลางๆว่าตนอาจจะจากไปในวันหนึ่ง ต่อให้กลับยุคปัจจุบันไม่ได้ ก็สามารถไปใช้ชีวิตอิสระได้อย่างที่ต้องการ ไม่ใช่ต้องตามเขาไปโน่นมานี่อย่างนี้ แทบจะสามวันมีเรื่อง ห้าวันผ่านความเป็นตาย วุ่นวายมากจริงๆ!
การติดตามเฉินซ่า เรียกได้ว่าเป็นหนทางที่หลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตาขวากหนามมหันต์แน่ นางไม่อยากได้เลยน่ะ ถ้าต้องใช้ชีวิตแบบนี้ ก่อนหน้านี้นางจะวางมือทำไม? ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคปัจจุบัน อย่างมากก็ฝ่าดงกระสุนปืน คนพวกนั้นก็เป็นคนธรรมดา เป็นร่างมีเลือดมีเนื้อทั้งนั้น อย่างมากก็ยอดมนุษย์สองสามคน ความสามารถพิเศษอะไรพวกนั้นสำหรับนางแล้วจิ๊บจ๊อยมาก แป๊บเดียวนางก็ชนะได้แล้ว แต่โลกนี้มันไม่เหมือนกันนะ
จำได้ว่าตอนแรกที่นักพรตเลวพูดถึงโลกนี้กับนาง นางยังสะท้อนใจว่า โชคดีที่ตนไม่ได้อยู่โลกนั้น ไม่งั้นแค่หนอนหนานเจียงตัวเดียวก็ทำนางจะอ๊วกแล้ว
ใครจะรู้ว่านางมาที่นี่จริงๆ!
ต้องมาสู้รบกับคนของหนานเจียง ยังมีซีเจียงอีก!
ตอนนี้ยังมีลัทธิสิ้นโลกีย์อะไรอีก ทำไมนางรู้สึกว่า ลัทธิสิ้นโลกีย์นั่นแทบจะเป็นร่างฟิวชั่นของหนานเจียงกับซีเจียงรวมถึงจงหยวนล่ะ? มีทั้งวิทยายุทธ์แก่กล้า มีทั้งเล่นหนอนเล่นพิษ จัดค่ายกลก็มี! ครั้งนี้คนที่อยู่เบื้องหลังการให้ร้ายเฉินซ่า นางยังรู้สึกว่าน่ากลัวกว่าคนของลัทธิสิ้นโลกีย์ซะอีก เพราะพวกเขาสามารถจัดฉากใหญ่ขนาดนี้ได้! และยังสามารถวางค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้ม! แบบนี้รู้ได้เลยว่า ถ้าติดตามเฉินซ่า ชีวิตในอนาคตคงมีอุปสรรคมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางสบายหรอก
แต่ในเวลานี้เอง นางกลับยิ่งรับรู้ความรู้สึกของเฉินซ่าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ซวยแล้ว
นั่นไงความอ่อนโยนของเขาเป็นแค่พริบตา พอได้ยินคำพูดของท่านจินแล้ว เห็นได้ชัดว่าเฉินซ่าเริ่มโกรธแล้ว ตอนนี้โหลชีไม่มีแรง ได้แต่ใช้สองนิ้วสะกิดเสื้อที่หน้าอกเขาพลางว่า "นายท่าน พวกเรารีบขึ้นเขาเถิด"
เฉินซ่าที่เดิมคิดจะลงมือกับท่านจิน แค่นเสียงหึ อุ้มนางเหาะขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็ว
ท่านจินกับข่งซิวสบตากัน และเห็นแววตะลึงในดวงตาอีกฝ่าย อันที่จริงคนแก่อย่างท่านจินนี่อยากทดสอบดูว่าวิทยายุทธ์ของเฉินซ่าลึกล้ำแค่ไหน เพราะสามวันนี้เขาเพียงอุ้มโหลชีอยู่ในรถ และยังเร่งเขาให้ไวแล้วไวอีก แต่เมื่อคืนเขากลับรู้สึกว่าตบะของเฉินซ่าบรรลุไปอีกขั้นแล้ว
พอเข้าสู่ทำเนียบยอดฝีมือ พวกเขาก็ยากจะบรรลุไปอีกขั้นแล้ว แต่การบรรลุขั้นทุกครั้งย่อมมีการไหลเวียนของลมปราณ ในฐานะยอดฝีมือเหมือนกันย่อมรู้สึกได้ ท่านจินกับข่งซิวเมื่อคืนต่างรับรู้ได้ถึงกระแสกำลังภายในสำหรับการบรรลุของเฉินซ่า มันแข็งแกร่งจนทำให้พวกเขาตกใจ ดังนั้นพอมาถึงวันนี้เขาเลยอดไม่อยู่อยากประลองกับเขาสักตั้ง จะดูสิว่าชายหนุ่มคนนี้สามารถเติบโตไปได้ถึงขั้นไหน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ