แต่ว่าโหลชีกลับไม่ยอมให้โอกาสเขา
ท่านจินลูบจมูกแก้เก้อ และตามขึ้นภูเขาหิมะ
ภูเขาเยี่ยงนี้ถึงจะดูสูงชัน แต่ในสายตาคนอย่างพวกเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไม่นานพวกเขาก็สามารถมาถึงกลางเขา
แต่ยิ่งขึ้นไปก็ยิ่งลำบาก เพราะไม่เพียงแค่อุณหภูมิยิ่งต่ำลงเรื่อยๆ อากาศก็เริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ
ภูเขาหิมะนี่ปีนขึ้นมาจริงๆ สูงกว่าตอนที่พวกเขามองจากตีนเขามากนัก
ตุบดังขึ้น โหลวซิ่นทรุดลงไปนั่งกับพื้น
"ปวดหัวมาก หายใจไม่ออก แปลก แปลกยิ่งนัก..." โหลวซิ่นพูดหอบหายใจ
องครักษ์อีกคนอดถามไม่ได้ว่า "โหลวซิ่น เจ้ามิน่าจะอ่อนแอเยี่ยงนี้นะ นี่มันเรื่องอะไรกัน?"
สามวันมานี้พวกเขาเอาแต่รีบเร่งเดินทาง หยูห้วงเองก็ไม่มีโอกาสอะไรมากมายมาเชื่อมสัมพันธ์กับพวกเขา เขารู้ว่าตนเองมาแทรกกลางครัน คนพวกนี้น่าจะติดตามเฉินซ่ามาแต่แรก ดังนั้นคิดว่าการได้มาร่วมทางกับคนพวกนี้เป็นโอกาสที่ดี สร้างความคุ้นเคยกับพวกเขาให้ดี ถึงเวลาไปที่พั่วอวี้จะได้ไม่แตกแยกอยู่คนเดียว ดังนั้นจึงรีบเสริมว่า "ที่นี่มีใครวางค่ายกลหรือเปล่า? พวกเราต้องระวังหน่อย"
"ค่ายกล? ค่ายกลอะไรกันมากมาย" ท่านจินรับคำพลางส่ายหัว "ข้าดูไม่ออกเลยว่าที่นี่วางค่ายกลไว้"
ข่งซิวเองก็ส่ายหัวว่า "ไม่มีจริงๆ"
"แล้วเหตุใดองครักษ์โหลวถึงได้รู้สึกไม่สบายเยี่ยงนี้เล่า?"
"ข้าเองก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก" เวลานี้เององครักษ์อีกคนก็พูดอย่างลังเลออกมา
ฝีเท้าของเฉินซ่าค่อยช้าลง ขมวดคิ้วหันกลับมา โหลชีตบหน้าอกเขาแผ่วเบาพลางว่า "ให้พวกเขารอที่ตีนเขาเถิด พวกเขาเป็นภาวะความกดอากาศต่ำเนื่องจากที่สูง"
ภาวะความกดอากาศต่ำเนื่องจากที่สูงนี่แทบจะไม่เกี่ยวกับเรื่องวิทยายุทธ์ด้อยหรือแกร่งเลย ต่อให้เจ้ามีวิทยายุทธ์ก็ไม่มีทางไม่เจ็บป่วยเลย ภาวะความกดอากาศต่ำเนื่องจากที่สูงนี่ไม่ใช่โรค แต่ก็ไม่มีหนทางเลย
"ภาวะความกดอากาศต่ำเนื่องจากที่สูง?" เฉินซ่าไม่เข้าใจความหมายของคำนี้
"ก็คืออากาศบนภูเขาสูงเบาบาง อากาศที่พวกเราจะใช้หายใจมีไม่พอ จะเกิดอาการไม่สลาย อย่างปวดหัว เป็นลม อาเจียน หัวใจเต้นเร็วหรือหายใจไม่ค่อยออก" โหลชีพูดยาวขนาดนี้จนรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย นางชะงักไปครู่คิดจะพูดต่อ เฉินซ่าก็ออกคำสั่งให้พวกเขาไปรอที่ตีนเขาเลย ไม่จำเป็นต้องตามขึ้นไป
"ท่านอาข่งก็รอข้างล่างเถิด" โหลชีบอก "ขาท่านยังต้องพักฟื้นสักระยะ การปีนเขาไม่มีผลดีกับท่านเลย" ข่งซิวมองเฉินซ่าที่กวาดสายตาเย็นชามาหลังได้ยินคำพูดนาง อดยิ้มเศร้าไม่ได้ "ได้ งั้นพวกเจ้าระวังด้วย" เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ทั้งๆที่ตบะเขาไม่ด้อยไปกว่าเฉินซ่าเลย แต่ไม่รู้ทำไมรังสีของชายหนุ่มผู้นี้กลับทำให้เขารู้สึกถึงความกดดัน ข่งซิวเองก็ยิ้มเศร้า หรือว่าเขาโดนขังนานเกินไป จนอ่อนแอแล้ว?
แต่ในตัวเฉินซ่ากลับมีราศีของผู้มีอำนาจมาแต่กำเนิด มันทำให้เขาไม่ค่อยเข้าใจ
พั่วอวี้ สิบกว่าปีก่อนหน้านี้ที่เขาจะโดนจับขังในเขาหมอกน้ำนั่น ก็ยังเป็นเพียงทุ่งป่าเถื่อนเท่านั้น ทุ่งป่าเถื่อนที่ไร้ชื่อ เคยได้ยินว่ามีคนไปสร้างเมืองใช้ชีวิตที่นั่น แต่ยังไม่ได้โดนจับตามองมากนัก สิบกว่าปีก่อน ต่อให้พัฒนาจนทำให้คนตะลึงพรึงเพริด และไม่เพียงพอเทียบเคียงกับบรรดาประเทศใหญ่อย่างเช่นตงชิงเป่ยชาง ฝ่าบาทที่นั่น ตามหลักแล้วไม่สามารถมีความเชื่อมั่นและราศีแก่กล้าเยี่ยงนี้ได้ แต่เฉินซ่ากลับมี ดูเหมือนเขาจะมีประกายซะยิ่งกว่าบรรดาฮ่องเต้ของประเทศอย่างตงชิงและเป่ยชาง
จุดนี้ข่งซิวคิดไม่เข้าใจมาตลอด โดยเฉพาะสามวันนี้อาจารย์อาของเขาที่ไม่ค่อยชอบทำอะไรตามหลักการณ์ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้นคนนั้น กลับโดนเขาเร่งเร้าให้รีบเร่งเดินทางแล้วยังไม่มีการโอดครวญสักคำ มันพอจะทำให้รู้สึกแปลกใจได้แล้ว ถึงจะบอกว่าสาเหตุหนึ่งในนั้นเป็นเพราะอาจารย์อาของเขาก็ร้อนใจจะเอาบัวเลือดมารักษาอาการบาดเจ็บให้โหลชี แต่ตามหลักการปกติ ระหว่างเร่งรีบเดินทาง เขาควรจะไม่ลืมกลั่นแกล้งเฉินซ่าถึงจะถูก แต่เขากลับไม่ทำ
ยังมีอีกเรื่อง เฉินซ่าหน้าตาคล้ายคลึงกับเจ้าลัทธิสิ้นโลกีย์
แต่เขากลับแสดงออกชัดว่าไม่รู้จักเจ้าลัทธิสิ้นโลกีย์ ไม่เช่นนั้นดูจากการทำดีต่อโหลชีของเขา มีหรือจะยอมให้คนบ้านตนไล่ฆ่านาง? ลัทธิสิ้นโลกีย์เองก็ไม่อาจยอมให้สายเลือดตระกูลตนไปตกระกำลำบากอยู่ด้านนอก
"ฝ่าบาท ข้ามิได้มีอาการภาวะความกดอากาศต่ำเนื่องจากที่สูงอะไรอย่างที่แม่นางโหลบอก ให้ข้าติดตามไปด้วยเถิดขอรับ" เฉิงสิบรีบพูดขึ้น
หยูห้วงก็รีบก้าวขึ้นหน้ามายืนกับเขา
"อืม"
เฉินซ่ารับคำ
เยว่แน่นอนว่าต้องตามอยู่แล้ว
ท่านจินนำทางอยู่ข้างหน้า วิทยายุทธ์ของเขาสูงส่งมาก พอลงเท้า ก็เปิดจุดลงฝ่าเท้ามาให้พวกเขาได้ ยิ่งขึ้นสูง ภูเขานี้ยิ่งชิน ด้านล่างยังไม่ปกคลุมหิมะครบ แต่พอมาถึงบนนี้กลับปกคลุมไปด้วยหิมะ ชั้นหนาพอที่จะคลุมแข้งพวกเขา พอเหยียบลงไปต้องดึงออกมา เดินลำบากนัก บวกกับความสูงจากระดับน้ำทะเลเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ เฉินซ่าอุ้มโหลชีไม่ค่อยสะดวก จึงนำนางขึ้นหลังแทน
เดิมโหลชีสามารถรอข้างล่างได้ ไม่รู้ว่าเพราะผ่านประสบการณ์ค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้มครั้งก่อนหรือเปล่า ไม่ว่ายังไงเฉินซ่าก็ไม่ยอมปล่อยนางไว้แล้วตัวเองขึ้นเขามาคนเดียว
"ต่อให้ตาย เจ้าก็ต้องตายในอ้อมแขนขา" น้ำเสียงเขาตอนพูดเย็นเยียบ ไม่เกรงใจเลยสักนิด
"ข้ามีหรือจะตายง่ายๆเยี่ยงนั้น?" โหลชีบอก
ก็เห็นดวงตาดำมืดดุจทะเลยามค่ำคืนของเจ้าจับจ้องตรงมาที่นาง ทำนางกระดากใจจนต้องก้มหน้าลงไป เขาถึงพูดเสียงเย็นว่า "คราก่อนผู้ใดกันที่ยอมแพ้ง่ายๆ?"
โหลชีแอบเซ็ง
ครั้งค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้มนั้นที่นางเกือบตาย ดูท่าคงโดนเขาจำได้ทั้งชาติแน่
ยอดเขาสูงลิ่ว จะใช้วิชาตัวเบายังยาก กำลังภายในจะหายไปอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ย่ำเท้าลงหิมะทีละก้าวปีนขึ้นไป เพราะโหลชีไม่มีเรี่ยวแรงโอบเฉินซ่าไว้ เขาจึงรั้งแขนนางด้วยมือหนึ่ง อีกมือจับพื้นเขาที่ลาดชัน ลาดชันเยี่ยงนี้จนคนแทบจะเป็นแนวดิ่งเดียวกับภูเขา ต้องใช้ทั้งมือและเท้าช่วยกัน
ท่านจินอยู่ด้านบนหันกลับมาบอกว่า "ผ่านไปอีกสักพักพื้นดินจะราบขึ้น พยายามกันไว้นะ"
"ไปต่อ" สิ่งที่ตอบเขากลับเป็นเสียงเรียบของเฉินซ่า
โหลชี "..."
"งั้นถ้ามีคนชอบท่าน จะแย่งท่านไปล่ะ?" โหลชีอดไม่ได้ถามอีก
เฉินซ่าตอบโดยไม่คิดเลยว่า "เจ้าฆ่าเลย"
ถ้าไม่ติดว่านางไม่มีแรง นางอยากกุมขมับจริงๆ สมองตานี่ใส่อะไรไว้นะ? บ้าอำนาจไบโพลาร์ถึงขั้นนี้ ทำไมนางถึงมาเจอคนแบบนี้ได้นะ?
อ้อ ตัวเองหล่นมาในอ้อมกอดเขา
โหลชีรู้สึกว่าตัวเองคงหนีไม่รอดแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมนางกลับรู้สึกหวานล้ำขึ้นมาในใจนิดหน่อย
ส่วนเยว่ที่ตามมาข้างหลัง คิ้วงามได้รูปนั่นขมวดอยู่ตลอด ความกังวลในใจเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
โหลชีหันมาเหล่เขาหนึ่งที ไม่พูดอะไร
เดิมคิดว่าขึ้นมาก็จะเด็ดบัวเลือดนั่นเลย พอพวกเขาเห็นว่า กว่าที่จะปีนขึ้นมายอดเขามันไม่ง่าย แต่กลับไม่พบอะไรที่ยอดเขาเลย มีเพียงรอยเท้าแปลกประหลาดรอยหนึ่ง ก็พากันสีหน้าเปลี่ยนทันที
"ดอกไม้ไม่ได้อยู่ที่นี่ ต้องไถลเข้าไปในถ้ำนี้ ที่นี่เปิดทางเข้ายาวเหยียดไว้ ดอกไม้บานอยู่ด้านใน" ท่านจินบอก ทรุดตัวลงไปแหวกหิมะออก พลันสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เหาะอออกไปอย่างรวดเร็ว ในตอนเดียวกับที่เขาถอยห่างออกไป มีเงาร่างหนึ่งทะลวงออกมาจากจุดที่เขาขุดหิมะ ซึ่งไม่ได้ไล่ตามท่านจินไป แต่กลับพุ่งมาทางเฉินซ่าโหลชี ปากเขาพลันหวีดขึ้นเสียงใสออกมา
ฉับพลันมีเสียงปีกกระทบกันลงจากฟากฟ้า มีเงาดำใหญ่ปกคลุมลงมา
"พวกเจ้าสองคนคุ้มครองฝ่าบาท!"
เยว่พูดเสียงขรึม ตนเองชักกระบี่ยาวออกมา กระโดดเหยียบตามแนวบันไดก้อนเมฆพุ่งขึ้นไป แทงใส่อินทรีสีเทาที่ดำดิ่งลงมานั่น
เฉิงสิบกับหยูห้วงพร้อมใจกันชักกระบี่รอรับชายผู้พุ่งเข้ามา
ท่านจินกลับยืนนิ่งอยู่อีกข้าง ทำเพียงขมวดคิ้วมอง เขาอายุปูนี้แล้ว ต่อให้ไม่ได้ยึดติดในกฎเกณฑ์อะไรมากนกั แต่จะให้รวมตัวกับคนหนุ่มมากมายล้อมกรอบคนคนหนึ่ง?
เฉินซ่าหันบอกเขา "เจ้าไปเด็ดดอกไม้!"
"ดอกไม้? ดอกไม้ดอกนี้รึ?" คนผู้นั้นชะงัก ดอกบัวหิมะสีเลือดในมือหนึ่งดอกถูกยื่นออกมาข้างหน้า
เฉิงสิบกับหยูห้วงตกใจนัก และเก็บกระบี่พร้อมกันอย่างเร่งรีบ กลัวจะทำบัวเลือดดอกนั้นเสียหาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ