"ไม่เป็นไรใช่ไหม?" หลังจากที่โหลชีสังเกตเห็นร่างกายของเขาผ่อนคลายลงจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา
"อืม" เฉินซ่าไม่ได้บอกนางว่าเมื่อสักครู่ได้ผ่านความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขากอดโหลชีและลุกจากเตียง "วันนี้ไม่ว่าข้าจะไปไหนก็จะกอดเจ้าไว้ รู้สึกเป็นเกียรติไหม?"
โหลหัวเราะออกมา "เป็นเกียรติอย่างยิ่ง"
คิดไม่ถึงว่าในเวลานี้เขายังพูดเรื่องตลกได้ และคาดไม่ถึงว่าเฉินซ่าก็พูดเรื่องตลกได้
"ดังนั้น ชีชีห้ามมีความคิดที่จะหนีจากข้าอีก"
"แล้วถ้าข้าจะไปจริงๆล่ะ?" โหลชีอดไม่ได้ที่จะถาม
"ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะหักขาของเจ้าด้วยตัวเอง เพราะต่อจากนี้ไป ข้าจะอุ้มเจ้าเดิน" คราวนี้เฉินซ่าพูดอย่างผ่อนคลายและเรียบง่าย ง่ายเหมือนกับการดื่มน้ำและทานอาหาร
โหลชีอดไม่ได้ที่จะทำตาดุใส่เขา และบีบเอวเขา บ้าอำนาจ เผด็จการ!
ในความเห็นของนาง ความสัมพันธ์ของนางกับเฉินซ่าในตอนนี้น่าจะเป็นคู่รักแล้ว แต่ในบางแง่มุม เฉินซ่ายังคงมีความคิดของคนในโลกนี้ที่แบ่งระดับชนชั้น เขาชอบนาง แต่บางครั้งก็ยังจำไว้ตลอดว่านางเป็นสาวใช้ของตัวเอง ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ยังบ้าอำนาจอยู่ อยู่เบื้องสูง และส่วนใหญ่เขาจะใช้ด้านนี้แสดงออกในเวลาที่เขาไม่ยอมปล่อยนางไป ทำให้โหลชีโกรธไม่ลง
เมื่อเทียบกับผู้ชายในโลกนี้ เฉินซ่าเป็นคนดีมาก
"นายท่าน โหลชีอยู่ข้างกายท่านหรือเปล่า?" นอกหน้าต่าง เสียงของเยว่แว่วเข้ามาเบาๆ แฝงด้วยความกังวลเล็กน้อย วันนี้เป็นวันที่สิบห้าแล้ว เป็นวันที่พิษกู่กำเริบ เขากังวลว่าโหลชีจะหลับสนิทและอยู่ไกลจากเฉินซ่าเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถสัมผัสได้
โหลชีตอบอย่างเบื่อหน่าย "อยู่น่ะ" ความรู้สึกนี้มันแย่มาก เวลานอนยังต้องมีคนคอยจ้องมองว่าพวกเขากอดกันหรือไม่
เยว่รู้สึกโล่งอก ในความเห็นของเขา โหลชีเป็นผู้หญิงของเฉินซ่าแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าพวกเขายังไปถึงขั้นตอนสุดท้าย เวลาเฉินซ่าจูบนางกอดนางก็มักจะมีความรู้สึกตอบสนอง แต่สุดท้ายก็อดกลั้นไว้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ชาย และนี่ก็คือเหตุผลที่โหลชีนับถือเขา
"ลุกขึ้น พวกเราไปดูกันว่า เหอชิ่งอ๋องถูกผูยู่เหอรั้งไว้จริงหรือไม่ แล้วชายารองซ่งจะทำอะไร" โหลชีจำสิ่งที่ชายารองซ่งพูดเมื่อคืน มีความรู้สึกว่ามีเรื่องราวบางอย่างผิดปกติ ครั้งนี้นางคิดว่าถ้าติดตามชายารองซ่งไม่แน่อาจค้นพบเรื่องราวบางอย่าง
แต่ก่อนที่พวกเขาจะออกไป ออร่าอันทรงพลังของทั้งสี่คนก็เข้ามาในบ้านอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน เสียงของรถม้าก็ค่อยๆเข้ามาใกล้ และในไม่ช้าก็หยุดที่ด้านนอกประตู
"ดูเหมือนว่า พวกเราจะถูกค้นพบแล้ว" โหลชีขมวดคิ้ว "ในเมืองจินโจวมียอดฝีมือที่เก่งกาจมากขนาดนี้ มันไม่ง่ายเลยจริงๆ"
ยอดฝีมือทั้งสี่ได้ล้อมบ้านนี้แล้ว บางทีพวกเขาทั้งสองคนอาจจะออกไปได้ แต่ว่าตอนนี้เฉิงสิบกับโหลวซิ่นและคนอื่นๆ ที่ติดตามพวกเขา ไม่ว่าต้องเสียสละคนไหนเฉินซ่าก็ไม่เต็ม นอกจากนี้ จุดประสงค์ของฝ่ายตรงข้ามยังไม่ชัดเจน และเขาก็ไม่จำเป็นต้องรีบหนี
"ไปกันเถิด ไปกับข้าเพื่อไปพบแขกผู้มาเยือน" เฉินซ่าซึ่งกำลังกอดนางและเมื่อออกเดินทางจึงปล่อยนาง เพียงแค่จับมือนางเท่านั้น หลังจากที่พลังของโหลชีเพิ่มสูงขึ้น เพียงแค่จับมือนางแบบนี้ก็เพียงพอที่จะระงับพิษของเขาได้
บางครั้งโหลชีสงสัยว่า เป็นไปได้ไหมเมื่อตอนที่นางยังเด็กได้แช่ยาเหล่านั้นและยากำลังออกฤทธิ์ แต่ว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ในโลกนี้มี ในยุคสมัยใหม่ไม่มี ในทำนองเดียวกัน มีหลายสิ่งหลายอย่างในยุคสมัยใหม่มี ตรงนี้ไม่มี และของเหล่านั้นเป็นสมบัติล้ำค่าของนักพรตเลว กล่าวว่ามีหนึ่งเดียวในโลก หาไม่พบอีกแล้ว ดังนั้นนางจึงต้องตัดความคิดนี้ออกไป
บ้านหลังนี้อยู่สามคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ชายชรากับลูกชายและลูกสะใภ้ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าตื่นเช้ามาในบ้านจะมีคนเพิ่มขึ้นมาหลายคน ตกใจจนตัวสั่น
"ก๊อกๆๆ" มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไม่เร่งรีบ ดูเหมือนมีมารยาทมาก
เยว่พยักหน้า เฉิงสิบก็เดินไปเปิดประตู
มีรถม้าที่หรูหราจอดอยู่ข้างนอก มีสาวใช้แสนสวยกำลังพยุงชายารองซ่งจากจวนอ๋องเหอชิ่งลงจากรถม้า เมื่อเห็นประตูเปิดออก ชายารองซ่งอมยิ้มและพูดว่า "พระชายารองซ่งแห่งจวนอ๋องเหอชิ่ง ขอเข้าพบเจ้านายของเจ้า"
"เชิญ"
เฉิงสิบเชิญคนเข้าไป
สามคนที่เป็นคนครอบครัวนั้นได้ยินว่าเป็นพระชายารองซ่งจากจวนอ๋องเหอชิ่ง ทันใดนั้นก็ทรุดตัวลงกับพื้น ใครสามารถมาบอกพวกเขา นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม อยู่ดีๆในบ้านของตัวเองก็มีคนเหล่านี้เพิ่มขึ้นมา อยู่ดีๆชายารองซ่งจากจวนอ๋องเหอชิ่งจากเมืองหลวงก็มาถึงบ้าน คนเหล่านั้นก็เหมือนกับเป็นเจ้าบ้านที่นี่ ถึงกับเชิญผู้คนเข้ามาในห้องโถงเอง
นายท่านคนนั้นเป็นหนุ่มหล่อมาก หญิงสาวที่จูงมืออยู่นั้นสวยราวกับนางฟ้า ชายารองซ่งก็สง่างามมาก แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
เยว่โบกมือ โหลวซิ่นก็พาองครักษ์อีกสองคนลากพวกเขาออกไป เอาไปขังไว้ในห้องใต้ดินก่อน
"รอพวกเราจากไปแล้วพวกเจ้าค่อยออกมา" เช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการปกป้องพวกเขา หากให้พวกเขาปรากฏตัวต่อหน้าชายารองซ่ง บางทีนางอาจจะคิดว่าเจ้าบ้านครอบครัวนี้เป็นคนริเริ่มที่จะให้พวกเขาเข้ามา ขังพวกเขาไว้ และหลังจากที่พวกเราจากไปแล้ว ผู้คนในจวนอ๋องเหอชิ่งคงไม่หาเรื่องชาวบ้านธรรมดาสองสามคนที่เห็นได้ชัดว่าถูกบังคับ
"เสวยแล้ว......" ชายารองซ่งคาดไม่ถึงว่านางจะเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน และนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
"พวกเราก็ยังไม่ได้ทาน ให้องครักษ์ของท่านไปซื้อซาลาเปามาให้หน่อยได้ไหม?"
ชั่วขณะชายารองซ่งไม่รู้จะตอบอย่างไรดี นางไม่เคยเห็นคนที่ไม่ยึดหลักเหตุผลมาพูดอย่างโหลชี แต่คำขอของนางเหมือนเป็นการตอกหน้า แปลว่าพวกนางยังไม่ได้ทานอาหารเช้านางก็เข้ามาทักทาย จึงทำให้พวกนางหิวหรือ?
"โหลชี ทำไมไปรบกวนคนอื่น ข้าให้คนไปซื้อก็ได้" เยว่พูดเสร็จ ก็โบกมือให้โหลวซิ่นและเฉิงสิบไปซื้อของ
ในขณะนี้ชายาซ่งก็ไม่สะดวกที่จะขัดขวาง
เฉินซ่ากับโหลวซิ่นรู้สึกว่ายอดฝีมือทั้งสี่คนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกกำลังเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่ได้ตามโหลวซิ่นและเฉิงสิบออกไป
"พระชายารองซ่งยังไม่ได้บอกว่านางมาที่นี่เพื่ออะไร" โหลชีก็ถามอีกครั้ง
"ท่านอ๋องตามหาฝ่าบาทมาตลอด เชื่อว่าฝ่าบาทก็คงรู้เช่นกัน" เฉินซ่าก็ยังไม่พูด มีแต่โหลชีเท่านั้นที่สนทนากับนาง ซึ่งทำให้ชายารองซ่งที่เดิมทีก็เกลียดโหลชีอยู่แล้วรู้สึกอึดอัดใจจนไม่รู้จะระบายยังไง คนรับใช้ต่ำต้อยคนหนึ่งที่ใช้เสน่ห์ความสวย มีสิทธิ์อะไรมาสนทนากับนาง? ยิ่งไปกว่านั้นยังคงนั่งบนตักของเฉินซ่าอย่างไร้ยางอาย! ไม่ร้จักละอาย ชั้นต่ำไร้ยางอาย
นางไม่สามารถระงับอารมณ์ได้ คำพูดไม่กี่คำของโหลชี และวิธีการเปลี่ยนหัวข้อที่แปลกๆ ชั่วขณะทำให้ข้อมูลที่นางเตรียมมาทั้งหมดหยุดชะงัก ถึงตอนนี้นางก็ยังไม่สามารถพูดกับเฉินซ่าได้โดยตรง และหลังจากที่นางพูดประโยคนี้จบ อย่าว่าแต่เฉินซ่าเลย แม้แต่โหลชีก็ไม่พูดต่อ เหมือนมีความหมายที่ว่านางจะพูดต่อก็พูดไป ถ้าไม่พูดก็หยุด ซึ่งมันทำให้ชายารองซ่งผู้ซึ่งคิดว่าตัวเองได้เปรียบอย่างมากเริ่มสงสัย จุดประสงค์ของพวกเขาแค่ส่งผูยู่เหอมาหรือ
ใช่แล้ว ชายารองซ่งคาดเดา หากว่าในเมืองจินโจวไม่มีสิ่งที่เฉินซ่าต้องการ เขาไม่มีวันส่งผูยู่เหอมาหาญาติแน่นอน เฉินซ่ามาที่นี่ต้องมีจุดประสงค์ของเขาอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้เขาไม่พูด และดูเหมือนเขาจะไม่สนใจคำพูดของนาง ซึ่งทำให้นางตื่นตระหนกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และก็พูดเร็วขึ้น
"ด้วยความสามารถของฝ่าบาท มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะจากไป แต่ฝ่าบาทไม่ไป ซึ่งหมายความว่าฝ่าบาทมีบางอย่างที่ต้องทำที่นี่ใช่ไหม? หม่อมฉันยินดีที่จะช่วยเหลือฝ่าบาท"
ขณะนี้เฉินซ่าก็ยกเปลือกตาขึ้น เหลือบมองนางอย่างเฉยชา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "โอ้? เจ้าจะช่วยข้ายังไง"
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเฉินซ่าก็ยอมพูดกับนาง ชายารองซ่งดีใจมาก รีบถามทันที "ฝ่าบาทต้องการให้หม่อมฉันทำอะไร?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ