ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 176

"ถึงเถาทองม่วงจะดี และได้ยินว่าที่นั่นมีเถาทองม่วงจริงๆ แต่ไม่มีผู้ใดเคยได้มันมาจริงๆมาก่อนนี่ เถาทองม่วงที่โตเต็มที่แล้วหายากนัก" อิงบอก

"หากมันง่ายดายเพียงนั้น จะสามารถแทนที่แส้ทองฟ้าร้องของตันเอ๋อร์รึ? หายากมิได้หมายความว่าหาไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้มิได้ให้โหลชีไปคนเดียว! ฮั่วซินก็ไปด้วย"

"อะไรนะ แม่นางฮั่วซินก็ต้องไป?"

"แน่นอนว่า โหลชีเพียงแค่หาเถาทองม่วงได้ที่รอบนอกเท่านั้น ฮั่วซินของเราต้องเข้าไปในหุบเทพมารรอบใน!"

คำพูดนี้ทำพวกเขาตกใจยิ่งนัก "แม่นางฮั่วซินเข้ารอบในไปทำอันใดกัน มันอันตรายมากนะ!" เยว่ขมวดคิ้วบอก น่าหลานฮั่วซินเป็นหนึ่งในผู้คัดเลือกจักรพรรดินี และยังเป็นผู้ที่พวกเขาคาดว่าจะได้มากที่สุด หากมิใช่เพราะฮูหยินผู้อาวุโสใหญ่ซึ่งเป็นแม่ของน่าหลานฮั่วซินเสียไปเมื่อสองปีก่อน ทำให้นางต้องไว้ทุกข์สามปี คราก่อนที่มีการจัดพิธีคัดเลือกพระสนมนางคงมาแล้ว

ฝ่าบาทของพวกเขาหากจะอภิเษกกับน่าหลานฮั่วซิน ภาวะคับขันของพั่วอวี้แทบจะสลายไปได้กว่าครึ่ง มีเขาเวิ่นเทียนเป็นทัพหนุน พวกเขารับหน้าที่ฆ่าฆ่าฆ่าก็พอแล้ว

อีกอย่างความงดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองของน่าหลานฮั่วซิน นับว่าคู่ควรกับฝ่าบาทของพวกเขาที่สุด มิว่าจะด้วยส่วนตัวหรือส่วนรวม พวกเขาต่างรู้สึกว่าอนาคตจักรพรรดินีของตำหนักจิ่วเซียวเก็บไว้ให้น่าหลานฮั่วซินเหมาะสมที่สุดแล้ว

และในพิธีคัดเลือกพระสนมครั้งก่อนฝ่าบาทตั้งเงื่อนไขในการคัดเลือกไว้เยี่ยงนั้น ต้องเป็นวรยุทธ์ สามารถติดตามเขาไปรบได้ทุกที่ ต้องมีความดีความชอบ หลายอย่างนี้ขอเพียงระยะไว้ทุกข์ของน่าหลานฮั่วซินถึงกำหนด นางมีครบทุกข้อ การทำความดีความชอบก็มิยาก แค่เพียงนางนำอำนาจเขาเวิ่นเทียนมาเป็นทัพหนุนย่อมถือเป็นความดีความชอบอย่างหนึ่งแล้ว

เยว่มองโหลชีหนึ่งที ถึงตอนนั้นโหลชีเป็นเพียงแค่พระสนม

ยังไงซะ พวกเขาไม่หวังให้น่าหลานฮั่วซินเกิดเรื่องหรอก ตอนนี้พอได้ยินว่าน่าหลานฮั่วซินต้องเข้าไปในรอบในของหุบเทพมาร พวกเขามีหรือจะมิตกใจ

ขนาดเฉินซ่ายังขมวดคิ้ว หันมองฟ่านฉางจื่อเป็นเชิงขอคำตอบ

สีหน้าฟ่านฉางจื่อมิสู้ดีนัก ประหนึ่งไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจเยี่ยงนี้ของน่าหลานฮั่วซิน เขาจ้องเฉินซ่าเขม็ง ตะคอกอย่างโกรธจัดว่า "มิใช่เพราะเจ้าดอกรึ? ปีนี้ฮั่วซินเอาแต่คอยช่วยเจ้าตามหาตัวยา เพื่อหาตัวยาเหล่านั้น นางมักจะเดินกลางดินกินกลางทราย ฝ่าลมฝนหนาวเหน็บอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง ครั้งนี้เคยตกหน้าผาเกือบตายมาแล้ว พอกลับถึงเขาเวิ่นเทียนทำพวกเราตกใจไปตามๆกัน เจ้ากลับดี มิถามไถ่นางใดๆเลย มาบัดนี้เอาแต่พะเน้าพะนอนัง..."

"เอาล่ะ หยุดเรื่องนี้ไว้ก่อน เดิมฮั่วซินไม่อยากให้ข้าพูดเช่นกัน บัดนี้นางเรียกโหลชีไปหุบเทพมาร เพียงเพราะนางเองต้องเข้ารอบใน ถึงเวลานั้นยังคุ้มครองโหลชีได้สักพัก เด็กคนนี้ดื้อรั้นจริงๆ นางบอกว่า ในเมื่อเป็นคนที่เจ้าปกป้อง นางก็ย่อมต้องปกป้องด้วย"

พวกเยว่ฟังแล้วซึ้งใจนัก พวกเขาไม่สงสัยคำพูดของฟ่านฉางจื่อ เพราะน่าหลานฮั่วซินต้องพูดอย่างนี้แน่ พวกเขายอมรับน่าหลานฮั่วซิน เพราะจิตใจดีงามและความใจกว้างของนา

โหลชีหลุบตาลงไม่พูดจา

พวกเยว่อิงและเสวี่ยสามคนหันไปมองเฉินซ่าโดยพร้อมเพรียง เฉินซ่ากลับมองโหลชี พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย

"ในเมื่อในหุบเทพมารมีของที่ข้าต้องการ ข้าไปหาเองก็ย่อมได้" โหลชีเงยหน้ามองเขา

"นายท่านมิได้" เยว่เป็นคนแรกที่คัดค้าน "ก่อนหน้านี้พวกเราออกจากพั่วอวี้มาแรมเดือนแล้ว บัดนี้อำนาจต่างๆในทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้พากันมีการเคลื่อนไหว เวลาหลายเดือนก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าพวกเขาจะตระเตรียมการอย่างใดไปแล้วบ้าง ในสถานการณ์เช่นนี้หากนายท่านยังจะออกเดินทางไกลอีก เกรงว่าเมืองพั่วอวี้จะมีอันตราย"

อิงพยักหน้าเสริม "ใช่ นายท่าน คนพวกนั้นไม่พบนายท่านเป็นเวลานานก็มีบางคนกดดันมากเกินไป หากเวลาเนิ่นนานไปกว่านี้ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะโดนศัตรูล่อลวงจนเกิดความคิดที่จะทรยศหักหลังได้"

เฉินซ่ารู้ว่าพวกเขาพูดมีเหตุผล ตอนกำลังจะเอ่ยปาก อิงเดินขึ้นหน้ากล่าวว่า "ข้าจะไปหุบเทพมาร และนำคนไปตามหาเถาทองม่วง"

"เจ้าบอกเจ้าจะไป เขาเวิ่นเทียนเห็นด้วยรึ?" โหลชีที่ปิดปากเงียบมาตลอดพลันยิ้มขึ้นมา นางหันมองฟ่านฉางจื่อ "ข้าพูดมิผิดกระมัง? ต้องให้ข้าไปเท่านั้นใช่หรือไม่?"

"เพราะเจ้าทำลายแส้ทองฟ้าร้องของตันเอ๋อร์ มิควรให้เจ้าไปรึ? อีกอย่าง การเดินทางไปรอบในหาตัวยา มิว่าผู้ใดก็สามารถไปได้หรือไร? ฮั่วซินเป็นอัจฉริยะวิทยายุทธ์อันดับหนึ่งไม่มีสองของเขาเวิ่นเทียนเรา วิทยายุทธ์ของนางอยู่เหนือข้า ถึงพอจะมั่นใจว่าจะเข้าไปในรอบในของหุบเทพมารได้"

ฟ่านฉางจื่อมองอิงพลางพูดเย้ยหยันว่า "เจ้าคิดว่าวิทยายุทธ์เจ้าเหนือชั้นกว่านางรึ?"

ใบหน้าอิงแดงก่ำขึ้นฉับพลัน สำหรับเขาแล้ว จะให้ยอมรับว่าเทียบชั้นสตรีนางหนึ่งไม่ได้นั้นออกจะขายหน้าอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าฐานะสตรีนางนั้นจะมิธรรมดา

องครักษ์เสวี่ยที่ยืนไม่สบอารมณ์อยู่ด้านข้างกลับต้องกล้ำกลืนความไม่ยอมแพ้กลับลงไปเพราะคำพูดนี้ ทั้งใต้หล้ามีน่าหลานฮั่วซินแค่คนเดียวเท่านั้น นางมิมีหนทางแย่งชิงกับน่าหลานฮั่วซินได้เลย นังแพศยาโหลชีนั่นถือดีอะไรมาแย่งชิงกับนาง?

ความไม่ยอมแพ้เล็กน้อยที่องครักษ์เสวี่ยมีต่อน่าหลานฮั่วซินแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นที่มีต่อโหลชี

"ในเมื่อเป็นเช่นนี้..." ถึงโหลชีจะไม่เคยเจอน่าหลานฮั่วซินมาก่อน แต่ตอนนี้นางนับถือผู้หญิงคนนี้จริงๆ นางหาจังหวะได้ดียิ่ง ปิดทางหนีทีไล่ทุกที่หมดแล้ว เรื่องที่หามานี่ก็ได้จังหวะดี ทำให้พวกเขาไม่มีหนทางปฏิเสธได้เลย ทำให้นางจำเป็นต้องไป และมีแค่นางเท่านั้นที่ไปได้

ราวกับรู้ว่านางจะพูดอะไร เฉินซ่าพลันพูดเสียงต่ำว่า "อย่าลืมว่าข้าขาดเจ้าไม่ได้"

พอพูดคำนี้ออกไป พวกเยว่พากันตะลึง จริงสิ ทุกวันที่สิบห้า นายท่านต้องการโหลชีนี่นา ครานี้จะทำเยี่ยงใดดี?

"นั่งรถม้าจากพั่วอวี้ไปหุบเทพมารต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน ไกลนัก ไปกลับใช้เวลาสองเดือนแล้ว ถ้าโหลชีโชคดี หาเถาทองม่วงเจอภายในครึ่งเดือน ก็ต้องใช้เวลาสองเดือนครึ่ง ตอนนี้พึ่งผ่านวันที่สิบห้าไป ระหว่างนี้ต้องมีวันที่สิบห้าสองครั้ง..."

ถึงจะรู้ว่าเขาภักดีต่อเฉินซ่า คิดแทนเฉินซ่า แต่พฤติกรรมที่ไม่ถามนางสักนิดว่าอยากไปไหมก็ช่วยคิดแทนนางเสร็จสรรพอย่างนี้ อดทำให้โหลชีรู้สึกเย็นเยือกในใจไม่ได้ วินาทีนี้นางถึงรับรู้ได้อย่างลึกซึ้งว่า ตำหนักจิ่วเซียวนี่ไม่ใช่ถิ่นของนาง คนพวกนี้ไม่เป็นพวกของนาง และเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกได้ว่า นางไม่มีสิทธิ์พูดหรือปฏิเสธอะไรที่นี่ นางเป็นคนนอก ที่นี่ไม่ใช่โลกเดิมของนาง ไม่ใช่โลกที่ราชินีโหลชีชี้เป็นชี้ตาย มือใหญ่ข้างหนึ่งคว้าจับมือนางไว้ กระดูกมือนั้นชัด นิ้วมือยาวมาก ฝ่ามือกว้างมาก เขาจับอย่างแรง ประหนึ่งจะขจัดความคิดพวกนั้นในสมองนางออกไป

โหลชีเงยหน้าขึ้น สบตาเฉินซ่า

"ไม่มีผู้ใดบังคับเจ้าไปได้" เขาบอก "ยานั่นพวกเราค่อยไปหาทีหลังก็ได้ ไม่แน่ว่าจะมีที่นั่นเท่านั้น บางทีปีหน้าเวลานี้อาจจะมีก็ได้ ถึงเวลานั้นเจ้าไปเป็นเพื่อนข้า"

"นายท่าน"

เฉินซ่าปรายตาเย็นชามองไป พวกเยว่กับอิงไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่กลับมองนางอย่างร้อนใจ จะไม่ไปได้อย่างไร? จะไม่ไปได้อย่างไร? เมื่อครู่พวกเขาให้ฟ่านฉางจื่อออกไปจากตำหนักสามก่อน ยังบอกไปว่า รอพวกเขาปรึกษากันก่อนว่าควรออกเดินทางเมื่อไหร่ดี มิได้บอกจะไม่ไป

ความหมายของฟ่านฉางจื่อชัดเจนมาก โหลชีไปหาเถาทองม่วงแทนพวกเขา น่าหลานฮั่วซินถึงจะวางใจไปตามหางูยักษ์เย็นสารทฤดู ถึงเวลานั้นถึงจะยกงูยักษ์เย็นสารทฤดูให้พวกเขา

ไม่มีใครรู้สึกว่าข้อเรียกร้องของงูยักษ์เย็นสารทฤดูเกินไปหน่อย ไม่มีใครรู้สึกว่านางไม่ดี เพราะมันถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวงพิเศษสำหรับโหลชีแล้ว หากเป็นคนอื่น กล้าทำลายแส้ทองฟ้าร้องของน่าหลานตันเอ๋อร์ ทำร้ายนาง ต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย

แต่น่าหลานฮั่วซินยังจะเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตไปหายาให้ฝ่าบาทของพวกเขา นางไปหุบเทพมารรอบใน โหลชียังไม่ยอมไปแม้แต่รอบนอกเชียวรึ? พอเปรียบเทียบกันแล้ว คนมากมายคงรู้สึกว่า ถ้าโหลชีไม่ไป เท่ากับไม่ใส่ใจฝ่าบาท และยังรักตัวกลัวตาย

น่าหลานฮั่วซิน

แววตาโหลชีส่อประกายเย็นวาบ

ชะงักไปครู่หนึ่ง นางเอ่ยขึ้น "บางทีลองเลือดของข้าดู"

เยว่กับอิงยังไม่เข้าใจในคำพูดนี้ของนาง แต่เฉินซ่ากลับเข้าใจในฉับพลัน สีหน้าเขาทะมึนลง พูดเสียงเข้มว่า "ข้าไม่เห็นด้วย"

"ท่านรู้ว่าพวกเราไม่มีทางเลือก" โหลชีมองเขา ในใจอ่อนยวบ "ถ้าเลือดของข้ามีผลในการสะกดพิษกู่ของท่าน ข้าจะไปก็สบายใจขึ้นหน่อย หากไม่มีผล ท่านก็แค่อดทน"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ