อันที่จริงเมื่อก่อนตอนนางไม่อยู่ เขาก็อดทนมาทุกเดือนอย่างนี้ไม่ใช่หรือไง? ถึงจะทุกข์ทรมาน แต่มันก็ช่วยไม่ได้
"แล้วต้องใช้เลือดเจ้ามากเท่าใดกัน?" อิงสงสัย
เยว่บอก "จะทดลองอย่างไร? คืนสิบห้าพึ่งผ่านไปไม่กี่วัน คงรอเดือนหน้ามิไหวกระมัง"
โหลชียิ้มบางเย็น "ข้าไม่มีหนทางรักษาพิษกู่นี่ จะทำให้กำเริบก็ไม่ได้รึ?"
ทำให้พิษกู่กำเริบหนึ่งครั้ง ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
"ข้าไม่ต้องการเลือดของเจ้า" เฉินซ่าพูดอย่างเย็นชา "พวกเจ้าออกไปเถิด!"
"นายท่าน--"
"ออกไป!"
เฉินซ่าอารมณ์ไม่ดี ไม่ดีเอามากๆ โหลชีมองออก พอเยว่กับอิงออกไป เขาลากนางกลับห้องบรรทม ไล่เอ้อร์หลิงออกไป เขาโอบนางจากด้านหลัง วางคางไว้บนหัวนาง นิ่งอยู่นานไม่พูดอันใด
"เฉินซ่า"
เฉินซ่ารู้ว่าเวลาโหลชีเรียกชื่อเขาแปลว่ากำลังพูดกับเขาอย่างจริงจังมาก เขาถอนหายใจอย่างไร้เสียง ไม่รอนางเอ่ยปากก็พูด "ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง งูยักษ์เย็นสารทฤดูต่อไปค่อยไปหา"
"ข้าไป" โหลชีบอก "ข้าเองก็พูดจริง ข้าไป" นางหมุนตัวออกจากอ้อมกอดเขา วางสองมือทาบหน้าอกเขา ลดระยะห่างระหว่างทั้งสองคนเข้ามาใกล้อีกหน่อย
นางสบดวงตาดำขลับของเขาพลางว่า "งูยักษ์เย็นสารทฤดูบางทีอาจจะมีที่อื่นอีก หรือหุบเทพมารในปีหน้าอาจจะมีก็ได้ แต่" สองมือนางประคองใบหน้าหล่อเหลาของเขา พูดเสียงเบาว่า "แต่ใครจะรู้ว่าปีหน้าพวกเราจะมีเรื่องสำคัญอื่นหรือเปล่า? ใครจะรู้ว่าท่านจะอยู่ถึงเวลานี้ไหม?"
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดำทะมึน "เจ้าพูดจาไม่หลบเลี่ยงเลย" กล้าพูดออกมาตรงๆว่าไม่รู้ว่าเขาจะอยู่ถึงเวลานี้ในปีหน้าไหม!
"แต่เจ้ารู้ว่าที่ข้าพูดมันเป็นความจริงทั้งสิ้น เอาล่ะ ฤกษ์ดีไม่สู้ฤกษ์สะดวก ตอนนี้พวกเรามาทดลองกันเถิด" ที่จริงโหลชีก็คิดตกแล้ว ถึงจะไม่แน่ใจว่าตนเองรักเขาจริงหรือเปล่า แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่นางชอบ นางทนดูเขาตายไม่ได้ ดังนั้นจะต้องได้งูยักษ์เย็นสารทฤดูนั่นมา! อีกอย่าง นางจะอาศัยโอกาสนี้อยู่ห่างเขา ให้เวลาและระยะทางมาพิสูจน์ว่าความรักของทั้งสองฝ่ายเป็นยังไงกันแน่
เพราะตั้งแต่นางย้อนเวลามาก็อยู่ด้วยกันตลอด แยกจากกันก็แค่ไม่กี่วัน ไม่แน่เขาอาจยังไม่รู้ใจตัวเองดี
ในเมื่อตัดสินใจจะไปที่นั่นก็ไม่คิดจะเสียเวลาอีก
"ข้าไม่ให้เจ้าไป"
"ข้าจะต้องไป"
ทั้งสองคนมองสบตากัน แทบเกิดประกายไฟออกมา
"ถ้าเจ้าไม่แก้พิษแก้กู่ให้เร็วหน่อย เจ้าคิดอยากให้ข้าตายเร็วหน่อยแล้วจะได้ไปหาผู้ชายอื่นใช่ไหม?" สุดท้ายโหลชีตะคอกกลับ "ไม่รักษา ท่านอาจตายได้ทุกเมื่อ แล้วข้าจะทำอย่างไร?"
นางรู้ว่าเขารับคำพูดแบบนี้ไม่ได้ ดังนั้นเลยจงใจพูดชัดเลย สีหน้าเขาดำจนเหมือนเปาบุ้นจิ้น และกัดฟันกรอดว่า "ชาตินี้เจ้าอย่าคิดจะหาชายอื่น! ข้าไม่ยอม!"
โหลชีมองบน "ท่านคงไม่คิดจะพูดอีกว่าถ้าท่านตายจะให้ข้าลงหลุมด้วยหรอกนะ?"
"ใช่"
"ในเมื่อเป็นแบบนี้ ชีวิตท่านก็ไม่ได้เป็นแค่ของท่าน ยังเกี่ยวพันถึงชีวิตข้าด้วย ข้าไม่อยากตายเร็วเยี่ยงนี้ ดังนั้นข้าจะไป"
"...." เขาพูดอะไรไม่ออก
ในที่สุดเฉินซ่าก็เถียงสู้นางไม่ได้ หลังจากโหลชีตัดสินใจแล้วนางดื้อรั้นพอดู เมื่อก่อนนักพรตเลวยังไม่เคยเถียงชนะนางเลย แน่นอนเพราะเฉินซ่าเองก็ไม่อยากตาย เมื่อก่อนเขาคิดว่าการตายไม่น่ากลัว เขาไม่ครั่นคร้ามเลย แต่ตอนนี้พอคิดว่าถ้าเขาตายแล้วนางจะไปหาชายอื่น หัวใจของเขาทั้งเจ็บทั้งปวดยากจะทนรับได้
เขาต้องมีชีวิตอยู่ อยู่ให้ดี เพื่อจะให้นางอยู่กับตนไปตลอดชีวิต
และสตรีของเขาควรจะแข็งแกร่งเยี่ยงนี้ กลัวอะไรกับหุบเทพมาร
ตระเตรียมข้าวของให้เทียนยีไปเรียกหมอเทวดามา โหลชีตัดสินใจว่าคืนนี้จะทดลองว่าเลือดของนางจะสามารถสะกดความเจ็บปวดของพิษกู่กำเริบทุกเดือนของเฉินซ่าได้ไหม
วันนี้เลือดของเฉินซ่าสามารถยับยั้งความเจ็บปวดจากปฏิกิริยาด้วยว่านางใช้ดีจิ้งจอกมารเข้าไป
ถ้าจะบอกว่าเพราะร่างกายที่เปลี่ยนจากการแช่น้ำยามาหลายปีของนางสามารถบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ งั้นตามหลักแล้วเลือดของนางก็ต้องได้เหมือนกัน
นางสามารถใช้คำสาปทำให้พิษกู่กำเริบ นี่ก็ต้องการความช่วยเหลือจากหมอเทวดา
ทั้งคู่วุ่นวายกันน่าดู ในที่สุดก็ทำพิษกู่กำเริบสำเร็จ เฉินซ่าร่างกายแข็งเกร็ง ความเจ็บปวดนั้นผุดขึ้นมา สีหน้าเขาเปลี่ยนน้อยๆ
"ฝ่าบาทพูดอะไรได้หรือไม่?" หมอเทวดาถามอย่างตื่นเต้น
เฉินซ่าอ้าปาก แต่ไม่สามารถพูดได้ ในเวลาเดียวเริ่มมีหยดเลือดออกตามรูขุมขนเขาช้าๆ
"แม่นางโหล ฝ่าบาท--" หมอเทวดารู้ว่าความเจ็บปวดอย่างนี้มันยากจะทนรับได้ เริ่มใจอ่อน โหลชีกลับยืนห่างจากเฉินซ่า ไม่ยอมให้เขาจับ
เฉินซ่านอนบนตั่ง มองดูนางหยิบพิชิตวันขึ้นมา ยกมือขึ้น ดึงแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นแขนสีขาวนวลดุจหิมะ วางลงโถดินอันหนึ่งบนโต๊ะด้านหน้านาง สีหน้าเขาเปลี่ยนทันที แววตาดูสงสัย
ก่อนหน้านี้นางหลอกเขาว่าเอาแค่เลือดนิดเดียวก็พอแล้ว แต่ดูท่าทางนางตอนนี้แล้ว นี่เตรียมตัวให้เลือดจำนวนมากรึ?
โหลชีไม่ชอบทำร้ายตัวเอง แต่มันไม่มีหนทาง โชคดีที่ร่างกายนางแช่น้ำยามาหลายปีทำให้ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายดีมาก และไม่ใช่ร่างกายที่มีแต่แผลเป็น ด้วยไม่ว่าจะมีรอยแผลอะไรก็สามารถหายไร้ริ้วรอยได้เร็วมาก นางกัดฟันกรอด ลงมีดบนแขนตัวเองอย่างรวดเร็ว ปาดเป็นรอยแผลออกมา
เลือดไหลออกมาฉับพลัน หมอเทวดารีบคว้าชามมารองไว้
"ข้าไปครั้งนี้อย่างน้อยต้องสองเดือนครึ่ง ข้าไม่ต้องเก็บเลือดให้พอหรือไง? ในอุณหภูมิปกติเลือดไม่สามารถเก็บรักษาได้นานขนาดนั้น คืนพรุ่งนี้ข้าต้องสอนหมอเทวดาว่าจะเก็บรักษาได้ยังไง" โหลชีถอนหายใจยาว
เฉินซ่าโอบกอดนางไว้แน่นฉับพลัน วินาทีนี้เขาพลันรู้สึกว่า หากต้องนำแผ่นดินใต้หล้านี้มาแลก เขาก็ไม่มีวันยกสตรีในอ้อมกอดนี้ให้คนอื่น
ทั้งคู่เงียบงันไปครู่หนึ่ง โหลชีแนบหน้ากับแผงอกเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะของเขา นางถามทั้งๆหลับตาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า "น่าหลานฮั่วซินเคยดีกับท่านมากกระมัง?"
วันนี้นางฟังออก ตอนได้ยินฟ่านฉางจื่อพูดว่าน่าหลานฮั่วซินเคยไปหายาทุกสารทิศให้เขาด้วยตัวเองลำพังคนเดียว และยังเคยตกหน้าผา และตอนเล่าว่านางจะไปหุบเทพมารรอบในคนเดียวเพื่อหางูยักษ์เย็นสารทฤดูให้เขานั้น เขาดูหวั่นไหวไม่น้อย นางเชื่อว่าเฉินซ่าไม่ได้เป็นคนเลือดเย็นไปซะหมด ไม่งั้นเหล่าสี่องครักษ์กับหมอเทวดาคงไม่จงรักภักดีกับเขาขนาดนี้ อย่างองครักษ์เสวี่ย ที่จริงเขายอมอ่อนข้อให้นางมากพอแล้ว
ตอนนั้นเขาต้องมีความผูกพันกับเขาเวิ่นเทียนและน่าหลานฮั่วซินพอดู
เฉินซ่าไม่พูดอะไร
ในตอนที่โหลชีคิดว่าเขาคงไม่ตอบคำถามนี้แล้ว เขาก็เปิดปาก
"ช่วงเวลานั้นที่เขาเวิ่นเทียน นางดีกับข้ามาก ดูแลข้าอย่างดี และยังเคยโดนเสือกัดแขนเพื่อช่วยข้า เหลือรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ไว้"
ได้ยินว่าน่าหลานฮั่วซินเป็นสาวงามอันดับหนึ่ง งดงามราวภาพวาด การที่ร่างกายมีรอยแผลเป็นแม้เพียงนิดย่อมเป็นตำหนิ เหลือแผลเป็นขนาดใหญ่ไว้ที่แขน มันเป็นความผูกพันที่เขาติดค้างมากที่สุดแล้ว
โหลชียังคงหลับตาสนิท พลางถาม "น่าหลานฮั่วซินงดงามมาก?"
"อืม" เขารับคำเสียงต่ำ
"นางจะเป็นจักรพรรดินีของท่านในภายภาคหน้าไหม?"
เฉินซ่าพลันโอบกอดนางแน่นขึ้น มือหนึ่งกุมมือนางที่วางบนท้องเขา
โหลชีลืมตาขึ้น ได้ยินเขาพูดว่า "ข้าไม่มีทางพิเศษกับนาง นางต้องทำความดีความชอบสิบเรื่องเช่นกัน" เขาไม่ได้พูดต่อ
โหลชียิ้มหยันมุมปาก น่าเสียดายที่เฉินซ่าไม่ได้เห็น
"เจ้าไปครานี้ ไม่ว่าจะหาเถาทองม่วงเจอหรือไม่ ข้าจะบันทึกความดีความชอบให้เจ้าหนึ่งครั้ง"
โหลชีหลุดหัวเราะ "ถือเป็นผลตอบแทนที่ข้าให้เลือดรึ?"
เฉินซ่าบีบมือนางแน่น "นอนเถิด"
ยามค่ำคืนความหนาวเย็นยะเยือก บางครั้งหัวใจก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกเมื่อไม่ได้ทันระวัง
ฟ้ายังไม่สว่าง โหลชีก็ตื่น ตอนออกไป เทียนอิ่งมารออยู่ด้านนอกตำหนักแล้ว วันนี้นางไม่เจอใครทั้งนั้น อยู่แต่กับเทียนอิ่ง พอตกกลางคืนก็ไปตำหนักยา ทุกคนรู้แค่ว่า ยามนางไปจากตำหนักยาสีหน้าซีดเผือดราวกระดาษ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ