คืนนี้โหลชีขังตัวเองไว้ในตำหนักข้าง ไม่ว่าเฉินซ่าจะเรียกยังไง นางตอบสกัดเขาไว้แค่คำเดียวว่าจะพักผ่อน
หมอเทวดาจะเอ่ยปากพูดหลายครั้งตอนเจอเฉินซ่า แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบ
ยามฟ้าใกล้สว่างนางพา มู่หลานไปเขตคุก และยังทำบางสิ่งกับใบหน้านาง ฮั่วหยูฉุนอยากให้นางสอนเรื่องค่ายกลให้ โหลชีกลับเหมือนขี้เกียจพูดมาก ให้เขาเลือกห้องขังคุมขังมู่หลาน และยังวางค่ายกลไว้รอบห้องขังด้วยตัวเอง
ผ่านไปอีกคืนหนึ่งแล้ว ฟ่านฉางจื่อไม่ยอมรออีก เขาเร่งให้ออกเดินทาง
เฉินซ่าสีหน้าทะมึน รังสีเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาทำให้คนหวาดกลัว ขนาดเยว่กับอิงยังไม่กล้าเข้าใกล้เขามากนัก ท่าทางของเขาราวกับพร้อมฆ่าคนทุกเมื่อ
ส่วนโหลชีกลับยิ้มน้อยๆ ถึงจะมองออกว่าสีหน้านางยังคงซีดเผือด หากนัยน์ตาฉ่ำน้ำแวววับคู่นั้นทำให้คนไม่สังเกตสีหน้านาง
ที่ทำให้คนแปลกใจคือนางกลับแต่งกายเป็นชาย อีกทั้งยังเป็นชุดทะมัดทะแมง ผมยาวมัดไว้สูง พันด้วยผ้าผูกผมสีหยก กางเกงสีหยก รองเท้ายาวสีขาว สายรัดเอวใหม่ที่ยาวกว่าคนปกติ มีพิชิตวันเสียบไว้ที่สายรัดเอวนั่น ด้านหลังแบกกระเป๋าสีแดงเข้มที่ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกประหลาดนักไว้
ได้ยินว่าเอ้อร์หลิงรีบเร่งทำตามที่นางขอออกมาภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน ใครก็ไม่รู้ว่าด้านในใส่อะไรไว้
นางยืนข้างท่าเสวี่ย ใบหน้างามดุจหยก ดูเยือกเย็น ถึงจะแต่งกายประหลาด แต่กลับมิได้ลดรังสีประกายรอบร่างนางลงไปได้เลย ขนาดองครักษ์เสวี่ยยังอดกัดฟันกรอดริษยาในประกายรังสีที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างนางไม่ได้
"โหลชี รักษาตัวด้วย" เยว่มองโหลชี นางเพียงยิ้มน้อยๆ
ในใจเยว่รู้สึกแปลกพิกล เขามักรู้สึกว่าโหลชีในตอนนี้เทียบกับเมื่อสองวันก่อน ดูเย็นชามากขึ้น ห่างเหินมากขึ้น
เขามิใช่ไม่รู้สึกผิด แต่เพื่อฝ่าบาท เขาไม่เสียใจ
อิงไม่ได้เป็นคนละเอียดอ่อนเท่าเขา เลยไม่สังเกต ในสายตาเยว่ ต่อให้เป็นฝ่าบาทก็ไม่แน่จะสังเกตความเปลี่ยนแปลงนี้ของโหลชี
เขาถอยไปอีกด้าน หลุบตาลงไม่พูดอะไรอีก
"โหลชี เจ้าโชคดีมาแต่ไหนแต่ไร บางทีพอถึงที่นั่นเจ้าอาจจะเจอเถาทองม่วงเลยก็ได้! พอได้แล้วก็รีบกลับมานะ!" อิงบอกพลางกวาดตามองนางอีกครา กระแนะกระแหนว่า "เพียงแต่เจ้าแต่งตัวประหลาดแท้ ไม่เหมาะสม!"
"ไม่รู้สึกว่าหล่อเหลาหรือไง?" โหลชีบอก หันมองเอ้อร์หลิง "เอ้อร์หลิง ดูแลตัวเองดีๆนะ"
"เอาล่ะเอาล่ะ ข้าจะดูนางเอง ไม่ให้ใครรังแกนางได้!" อิงพูด "รอเจ้ากลับมา รับรองนางจะได้รับการดูแลจนตัวอ้วนท้วมสมบูรณ์ขาวผ่อง!"
ใบหน้าเอ้อร์หลิงแดงเรื่อฉับพลัน
โหลชีหัวเราะร่วนออกมา
เฉินซ่าบอก "เทียนยีตี้เอ้อร์ติดตามเจ้าไป"
"จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?" โหลชีเห็นเยว่ทำท่าจะคัดค้าน นางรีบออกปากก่อน "ข้าไม่ต้องใช้คน"
เวลานี้เองฟ่านฉางจื่อกลับพูดออกมา "เจ้าพาคนไปได้!"
โหลชีมองเขาคลับคล้ายจะยิ้มก็มิใช่ไม่ยิ้มก็มิเชิง ชะงักเล็กน้อยก่อนบอก "ดีสิ ข้าพาไป แต่ข้าจะพาไปสองคน และสองคนนี้ต้องเป็นคนของข้าเอง"
"หมายความว่าอย่างไร?"
โหลชีมือหนึ่งชี้ไปที่ท่าเสวี่ยพลางว่า "หมายความว่า ถ้าจะติดตามข้า นับจากนี้ต้องฟังคำสั่งข้าเท่านั้น เป็นองครักษ์ของข้าคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักจิ่วเซียวอีก ไม่เกี่ยวข้องกับพั่วอวี้อีก ใครยอมตามนี้ก็ติดตามข้าได้"
องครักษ์เสวี่ยหลุดหัวเราะพรืด "เจ้านี่ฝันกลางวันจริงๆ เจ้าก็แค่นางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น ใครจะยอมละทิ้งตำหนักจิ่วเซียวไปเป็นองครักษ์ของเจ้ากัน?"
"ฝ่าบาท!"
นางพึ่งพูดจบ กลับมีสองคนเดินก้าวยาวออกมา และมาคุกเข่าขาลงข้างหนึ่งหน้าเฉินซ่าพร้อมกัน กำหมัดคารวะ "ข้ายินดีติดตามแม่นางโหล ขอฝ่าบาทได้โปรดอนุญาตด้วย!"
"ข้ายินดีติดตามแม่นางโหล ขอฝ่าบาทได้โปรดอนุญาตด้วย!"
โหลชีอึ้ง มองสองคนนี้พลางเม้มปากแน่น ติดตามนางคืออะไรนางเชื่อว่าไม่มีใครไม่เข้าใจ เป็นทหารองครักษ์ของฝ่าบาทพั่วอวี้ ดูยิ่งใหญ่ มีอนาคต ต่อไปติดตามเขา สู้รบไปทั่วเหนือและใต้ ไม่แน่พวกเขาอาจมีโอกาสได้เป็นแม่ทัพ! ต่อให้ไม่ได้เป็นแม่ทัพ จากความดีความชอบของพวกเขา วันหนึ่งเฉินซ่าสร้างประเทศกลายเป็นฮ่องเต้ อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เป็นหัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์ อนาคตไกลแน่นอน
แต่ติดตามนางไม่มีอะไรเลย นางเองยังเป็นแค่นางกำนัลของฝ่าบาท ติดตามนางเรื่องอื่นพักไว้ก่อน ฐานะนี้พูดออกไปก็ไม่น่าฟังแล้ว และยังอนาคตไม่แน่นอน
การไปหุบเทพมารครั้งนี้ของนางนับว่าอันตรายรอบด้าน เลินเล่อเล็กน้อยก็อาจจะตายได้เลย
แบบนี้พวกเขายังอยากจะติดตามนาง?
สองคนนี้คือเฉิงสิบกับโหลวซิ่น
"ข้าอนุญาต"
"ขอบพระทัยฝ่าบาท!" เฉิงสิบกับโหลวซิ่นดีใจนัก
โหลชีหรี่ตางมอง "พวกเจ้าคิดให้ดีนะ ตอนนี้ตัดสินใจ ต่อไปจะมาเปลี่ยนใจไม่ได้ ไม่งั้นข้าจะคิดว่าพวกเจ้าทรยศ คนที่ทรยศข้า---" นางชะงัก พูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า "ฆ่าไม่เว้น"
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นรับคำพร้อมกัน "ข้าน้อยขอติดตามแม่นางโหล มิมีทางเปลี่ยนใจ!"
โหลชีหัวเราะออกมา "ดี! นับแต่นี้พวกเจ้าติดตามข้าละกัน!"
"ขอรับ!"
องครักษ์เสวี่ยทนไม่ไหวเบ้ปากออกมา "บ้าไปแล้วจริงๆ ต่อไปพวกเจ้าต้องน้ำตาตกแน่!"
ไม่มีใครสนใจนาง
"ม้าก่อนหน้านี้ของเฉิงสิบกับโหลวซิ่นยกให้พวกเขา อีกอย่างให้ทองพวกเขาคนละพันตำลึง" ตอนเฉินซ่าพูดเอาแต่มองโหลชี
"ข้าจะต้องได้เถาทองม่วงมา"
โหลชีบอกเขาระหว่างที่มองดูเขา
"ได้มาหรือไม่มิเป็นไร อีกสองเดือนครึ่งข้าจะรอรับเจ้าที่นี่" เฉินซ่าพูดเสียงต่ำ
ฟ่านฉางจื่อที่ขึ้นรถม้าแล้วสีหน้าดำมืด ตอนเขามา ยังไงเฉินซ่าก็ไม่ยอมออกมาต้อนรับเขา ตอนนี้กลับบอกว่าถึงเวลานั้นจะออกมารับสตรีนางนี้? เหยียดหยามกันมากไปแล้ว! เขาแค่นเสียงหยันพลางสะบัดม่านรถม้า
"เฉิงสิบ โหลวซิ่น ขึ้นม้า ไป!" โหลชีตะคอกเสียงเบา เฉิงสิบกับโหลวซิ่นก็กระโดดขึ้นม้า ตามหลังนาง
"จื่อหลิน ยังไม่ไปอีก?"
น่าหลานจื่อหลินได้สติกลับมา สะบัดแส้ใส่ม้าที่เทียมรถม้าลงไป "ย่าส์!" ทั้งหมดพากันควบม้าห่างไกลจากตำหนักสอง พุ่งออกจากตำหนักหนึ่ง และวิ่งลงเขาไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
เฉินซ่ารู้สึกโหวงเหวงในใจพิกล เขาหมุนตัวกลับเข้าตำหนักสาม และหันไปบอกเยว่ที่ตามมาว่า "เจ้ารู้สึกไหมว่า ชีชีไปครั้งนี้ราวกับจะไม่กลับมาแล้ว?"
เยว่ตกใจ
เดิมไม่รู้สึก พอเขาพูดเช่นนี้ รู้สึกขึ้นมาอยู่บ้าง! โหลชีราวกับจะบอกลาพวกเขา โดยเฉพาะคำพูดที่พูดกับเฉิงสิบและโหลวซิ่น!
ไม่ได้ยินคำตอบจากเขา เฉินซ่าสีหน้าทะมึนลงทันที
"นางกล้าไม่กลับมา ข้าจะไปตามจับนางจนถึงสุดหล้าฟ้าเขียวเลย!"
หมอเทวดาอ้าปากราวกับจะพูดอะไร หากไม่ได้พูดออกมา ได้แต่ลอบถอนหายใจ
อิงดูใจลอยพิกล เวลานี้กลับถามออกมาอย่างทนไม่ได้ "นายท่าน ท่านจะแต่งตั้งโหลชีเป็นสนมหรือไม่ขอรับ?"
เฉินซ่าไม่ได้ตอบเขา แต่หันไปบอกเยว่ว่า "บันทึกความดีความชอบให้นางอีกหนึ่งเรื่อง"
เยว่พยักหน้ารับคำ ไม่ว่าอย่างใด โหลชีให้เลือด สามารถยับยั้งความเจ็บปวดที่พิษกู่กำเริบในทุกวันที่สิบห้าของนายท่าน ต้องบันทึกความดีความชอบให้นางหนึ่งเรื่อง
บัดนี้ โหลชีมีความดีความชอบสองเรื่องแล้ว
คราก่อนหากมิใช่ไขหินพันปีส่วนใหญ่เข้าไปในท้องนาง หากมิใช่ไปอุทยานเขาเฟิงหยุนที่ไปเพราะนางจะช่วยคน แค่ตามหาไขหินพันปีและช่วยฝ่าบาทออกจากค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้ม นางก็มีความดีความชอบเพิ่มอีกสองเรื่องแล้ว เยว่อดกลับมาทบทวนตัวเองไม่ได้ เป็นเพราะความเข้มงวดของเขา ไม่อยากให้นางได้ความดีความชอบเต็มสิบ ดังนั้นเลยหาเหตุผลมาชะล้างความดีความชอบสองเรื่องนั้นของนางไป?
ไม่ว่ายังไง ฝ่าบาทได้ไขหินพันปีแล้ว หากมิใช่เพราะนาง ฝ่าบาทก็ไม่มีทางออกจากค่ายกลสรรพสิ่งฝันยิ้มได้ เรื่องนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นกับดักที่มีคนจงใจวางให้ฝ่าบาท หากไม่มีโหลชีพูดเรื่องจะไปช่วยคน ก็ต้องวางกับดักรอพวกเขาที่อื่นอยู่ดี
มาตัดความดีความชอบนางไปสองเรื่องเช่นนี้ เพราะเขากังวลว่าฝ่าบาทจะรักใคร่นางเพียงคนเดียวรึ?
เมืองพั่วอวี้ค่อยๆห่างออกไปด้านหลัง หันกลับไปมองก็แค่เงาเล็กๆ ลมหนาวทุ่งป่าเถื่อนพัดมา ผ่านหน้าโหลชี นางเม้มปาก ตบท่าเสวี่ยเบาๆ พูดเสียงก้องว่า "ท่าเสวี่ย ไปกันเถิด!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ