ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 179

ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว การควบขี่ม้าทะยานไม่ใช่เรื่องสบายอะไร ยิ่งไปกว่านั้นผิวพรรณสตรีนุ่มนิ่มอรชรเยี่ยงนี้ น่าหลานจื่อหลินกลับเห็นผมยาวนางสยายผ่านหน้ารถม้าไป เขาเห็นรอยยิ้มสบายที่มุมปากนาง ถึงจะเป็นแค่ช่วงประกายหินติดไฟผ่าน แต่เหมือนโดนทำให้ช้าไปหลายร้อยหลายพันเท่า และสลักเข้าไปในใจเขาแบบนี้

ยังไม่ทันได้สติกลับมา องครักษ์สองคนที่นางพึ่งรับไว้ก็ควบม้าตามนางไป เกิดเป็นกระแสลมรวดเร็วสองสาย

น่าหลานจื่อหลินทนไม่ไหวร้องเสียงดังออกมา "แม่นางโหล ท่านรู้ทางไปหุบเทพมารรึ?" แส้ในมือสะบัดลงบนม้าเทียม หวังจะสามารถตามนางทัน

โหลชีหันกลับมาบอกทั้งๆอยู่บนม้าทะยาน "ไม่รู้! ก็มีเจ้าไม่ใช่รึ?" มีเขา มีเขา เขาต้องพานางไปหุบเทพมารแน่

"จื่อหลิน! เจ้าบ้าไปแล้ว! ควบเร็วเยี่ยงนี้ทำอันใดกัน บอกนางให้ช้าหน่อย!" ฟ่านฉางจื่อตะคอกด้วยความโกรธเพราะรถม้าโคลงเคลงอย่างแรง ในใจไม่สบอารมณ์ ศิษย์คนนี้ที่ผ่านมามั่นคงหนักแน่น เหตุใดจึงทำเรื่องโง่เง่าอย่างจะเอารถม้าไปแข่งวิ่งกับม้าเหงื่อโลหิต? พอคิดถึงตรงนี้สีหน้าเขาดำทะมึนลงมา สมบัติล้ำค่าของเขาเวิ่นเทียนย่อมมีมากอยู่ ม้าสองตัวที่เทียมรถม้าอยู่ก็เป็นม้าเหงื่อโลหิต แต่ในด้านสายเลือดกลับไม่อาจเทียบเคียงกับม้าตัวนั้นที่เฉินซ่ามีได้ เขาเองก็พึ่งเห็นตอนจะออกเดินทางเช้านี้ ม้าตัวนั้นที่เฉินซ่าให้โหลชี กลับไม่ด้อยไปกว่าเฟยเหินที่เป็นม้าทรงของเขาตัวนั้นเลย

หากมิใช่น่าหลานฮั่วซินคอยกำชับห้ามให้โหลชีตายด้วยน้ำมือพวกเขา เขามีหรือจะยอมพาโหลชีเดินทางไกลนับพันลี้ ทำนางตายระหว่างทาง ค่อยแย่งชิงม้าดีของนางมาดีกว่ามากนัก

แต่ฟ่านฉางจื่อไม่กล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งน่าหลานฮั่วซิน ไม่เพียงเพราะวิทยายุทธของน่าหลานฮั่วซินเหนือชั้นกว่าเขา แต่ยังเป็นเพราะนางเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายแต่เด็ก หากทำนางมิพอใจ จะตายเมื่อไหร่ยังมิรู้เลย

ผู้คนใต้หล้าต่างมองว่าน่าหลานฮั่วซินงดงามและจิตใจดีงามยิ่ง ประหนึ่งเทพธิดา มีเพียงเขาที่รู้ว่ามันเป็นแค่ภาพลวง แต่โหลชีต้องตายอยู่ดี ถึงเวลานั้นม้าตัวนั้นค่อยให้น่าหลานฮั่วซินเอามาให้เขาก็ได้

การควบม้าทะยานกว่าหนึ่งชั่วยาม ความไม่สบอารมณ์ในใจของโหลชีค่อยกระจายซ่านไป

พวกเขาหยุดพักผ่อนประมาณครึ่งก้านธูป ม้าของฟ่านฉางจื่อพึ่งตามมาทัน พอเห็นพวกเขา น่าหลานจื่อหลินถอนหายใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด

ม่านรถม้าถูกเปิดออกโดยแรง ฟ่านฉางจื่อโผล่หน้าออกมาอย่างโกรธจัด ซัดฝ่ามือใส่โหลชีโดยแรง

ฝ่ามือซัดมารุนแรง น่าหลานจื่อหลินตกใจอุทาน โหลชียืนนิ่งไม่หลบไม่หลีก มองมาทางเขา สายตามีแววเยาะหยันอย่างแรง

ฝ่ามือฟ่านฉางจื่อหยุดลงเมื่อใกล้ใบหน้านางไม่ถึงสิบมิล กำลังภายในหายไป เขาโกรธจนอยากจะบ้า

"เจ้ามั่นใจเพียงนี้ว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้า?"

โหลชียักไหล่บอก "ใช่ นอกจากเจ้าจะไม่กลัวน่าหลานฮั่วซิน"

พอได้ยินคำนี้ ฟ่านฉางจื่อยิ่งโกรธจัด "ฮั่วซินเป็นศิษย์หลานสาวของข้า ข้าเป็นผู้อาวุโสจะกลัวนางได้อย่างไร?"

โหลชียิ้มออกมา "ไม่อย่างนั้นก็บอกเจ้าเชื่อฟังดีแล้วกัน ศิษย์หลานสาวของเจ้าเรียกใช้ผู้อาวุโสได้อย่างสบายเป็นธรรมชาติเยี่ยงนี้เลย?"

สายตาฟ่านฉางจื่อมีประกายเย็นเยียบแสดงออกมา สตรีน่าตายผู้นี้!

"เอาล่ะ เจ้าก็ไม่ต้องทำโกรธกลบเกลื่อนความเก้อเขินดอก ข้าแค่อยากจะบอกเจ้าว่า จะให้ข้าไปที่หุบเทพมารและทำตามแผนการของเทพธิดาแห่งเขาเวิ่นเทียนของเจ้าคนนั้น ระหว่างทางเจ้าก็อย่าทำท่าเป็นผู้อาวุโสอะไรพวกนั้นเลย นำทางไปดีๆก็พอแล้ว!"

ฟ่านฉางจื่อยังไม่เคยเจอผู้ใดที่ไม่เคารพผู้อาวุโส ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ อีกทั้งยังไม่เคารพเขาเวิ่นเทียนเยี่ยงนี้มาก่อน เขาโกรธจนหายใจแรงหน้าอกกระเพื่อม และจำต้องเก็บกักความโมโหลงไป พริบตาเดียวโดนก้อนเลือดที่ทนกล้ำกลืนไว้จนเป็นลมหน้ามืด

"อาจารย์ มาพักผ่อนด้านนี้ก่อนเถิด" น่าหลานจื่อหลินเข้ามาพยุงเขาไว้ และพยุงเขามานั่งพักที่หินก้อนใหญ่ด้านข้าง นี่เท่ากับไว้หน้าเขาแล้ว แต่ฟ่านฉางจื่อยังคงโกรธจนอยากฆ่าคน เขาไม่เคยเก็บกดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ทั้งๆที่เป็นผู้อาวุโสสามแห่งเขาเวิ่นเทียน---

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นหยิบขนมปังออกมายื่นให้โหลชี ขนมปังนี่เมื่อก่อนโหลชีสอนพ่อครัวทำออกมา อร่อยกว่าที่ปกติพวกเขากินมากนัก

โหลชีรับมา กัดกินอย่างรวดเร็วแต่ไม่ตะกละตะกลามไม่กี่คำก็หมดแล้ว และหยิบถุงน้ำเอามาดื่มสองคำ นางบอกกับเฉิงสิบโหลวซิ่นว่า "ข้าไปเดินดูด้านนั้นหน่อย พวกเจ้าพักผ่อนเถิด"

ทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้ได้ยินว่ามีอำนาจมากมายนัก แต่นางไปๆมาๆในทุ่งป่าเถื่อนนี่ก็หลายครั้งแล้ว ไม่ได้เจอคนพวกนั้นเลย แบบนี้ยิ่งดูไม่ชอบมาพากล บางทีอาจจะเป็นการอธิบายว่าพวกเขาได้ทำการตระเตรียมการอยู่ลับๆ เตรียมโจมตีเฉินซ่าเมื่อถึงเวลา พอคิดถึงเฉินซ่า โหลชีอดส่ายหัวยิ้มเศร้าไม่ได้

ที่จริงครั้งนี้นางผิดหวังและไม่ชอบใจ ตั้งแต่วินาทีที่กลับถึงตำหนักจิ่วเซียวเห็นองครักษ์เสวี่ย จนฟ่านฉางจื่อมาหาถึงที่ บอกความต้องการของน่าหลานฮั่วซิน ตอนเห็นปฏิกิริยาของพวกองครักษ์เยว่ ยังมีตอนที่นางถามเฉินซ่าว่าจะแต่งตั้งน่าหลานฮั่วซินเป็นจักรพรรดินีไหม คำตอบนั้นของเขา ถึงนางไม่เคยเจอน่าหลานฮั่วซิน แต่ก็สามารถรู้ได้ว่า ผู้หญิงที่สามารถคิดกลอุบายแบบนี้ออกมาทั้งที่อยู่ห่างไกลออกไปนับพันลี้ได้ ต้องไม่ธรรมดาแน่

เยว่สะอึกบอก "นายท่าน โหลชีนางพึ่งจากไปได้หนึ่งชั่วยามกว่าขอรับ"

เฉินซ่าเงียบ งั้นหรอ? พึ่งไปได้หนึ่งชั่วยาม? งั้นเหตุใดเขารู้สึกราวกับไม่ได้เจอนางนานมากแล้ว

เขาครุ่นคิดเงียบๆ เบี่ยงเบนความสนใจไปทางงานราชการ "บอกมาเถิด ก่อนหน้านี้พวกเขามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?"

พวกเขา หมายถึงเหล่าผู้ดูแลต่างๆในเมืองพั่วอวี้ ตอนนี้พั่วอวี้ได้มาแค่เมืองเดียว ยังไม่ถือว่าสร้างประเทศ ถึงทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้จะกว้างไกลไพศาล แต่ก็มีอำนาจย่อยมากมายอยู่กับเป็นก๊กเป็นเหล่า ไม่ได้รวมตัวกัน

"สองวันมานี้ตามฎีกาต่างๆที่อิงรับมาก่อนหน้านี้ ข้าน้อยจัดการตรวจสอบดูแล้ว และเลือกข้อที่ข้าคิดว่าสำคัญที่และต้องรีบทำให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุดออกมาสองสามเรื่อง ขอนายท่านโปรดพิจารณาด้วย" เยว่ส่งฎีกาสองสามเล่มยื่นมาวางบนโต๊ะหน้าเฉินซ่า

เฉินซ่าเปิดอ่านขึ้นมา

หลังจากสร้างระบบราชการให้แล้วเสร็จสมบูรณ์ ทั้งรูปแบบกฎเกณฑ์และกฎหมายของทั่วทั้งเมืองพั่วอวี้และตำหนักจิ่วเซียว ยังมีรายละเอียดจำเพาะประเภทของใช้ทุกอย่างของฝ่าบาท อย่างเช่นพั่วอวี้จะมีงานพิธีบวงสรวงขนาดใหญ่ตามประวัติศาสตร์ตน เรื่องนี้สามารถรวมใจประชาชนได้ อย่างเช่นฎีกาแบบนี้ ก็ต้องจัดการวางแผนใหม่ให้เป็นเล่มแบบถูกต้อง เรื่องเล็กเรื่องใหญ่จดออกมาให้หมด

เรื่องที่ต้องทำให้แล้วเสร็จอีกทั้งได้มาตรฐาน นี่ก็เป็นโครงการที่ใหญ่มาก โชคดีที่มีตงชิงเป่ยชางเป็นตัวอย่าง คัดเลือกคนหลายคนแต่งตั้งให้พวกเขามาลองทำก็ได้แล้ว ที่ต้องการน่ะคือเงิน ยังมีคนเสนอให้สร้างตราลัญจกรประจำพระองค์ ตราแผ่นดิน และต้องส่งคนไปตามหาหินหยกที่ดีที่สุดอีก แน่นอนว่า พอพูดถึงตราลัญจกรประจำพระองค์ ก็ต้องมีคนพูดถึงการสร้างราชวงศ์อีก

เรื่องพวกนี้พอพูดถึงก็จะดึงเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ออกมาได้อีกเป็นพันเป็นหมื่นเรื่อง ขนาดเฉินซ่ายังรู้สึกสมองบวมเลย

อีกฎีกาหนึ่งพูดถึงขยายดินแดน

ตอนแรกหลังจากเฉินซ่าตีเมืองพั่วอวี้มาได้ เรื่องแรกที่ทำคือเพิ่มความแข็งแกร่งให้กำแพงเมืองพั่วอวี้ ปรับเปลี่ยนเติมแต่งตำหนักจิ่วเซียว เรื่องอื่นพักไว้ก่อน ดังนั้นตอนโหลชีมาเมืองพั่วอวี้ครั้งแรกและตะลึงกับความงดงามหรูหรา แต่ไม่คิดว่าเฉินซ่าจะใช้เงินหมดตัว

ที่จริงก็พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้ทำผิด เพราะปีแรกในการเริ่มต้นเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด ตอนนี้อำนาจอื่นยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาว่าน่ากลัว คิดแค่ว่าเป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างเขากับเจ้าเมืองคนเก่า ดังนั้นทั้งๆที่รู้ว่าเขาปรับเปลี่ยนแต่งเติมเมืองยกใหญ่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร รอจนพวกเขารู้สึกไม่ชอบมาพากล เมืองพั่วอวี้ก็มั่นคงเป็นปึกแผ่นแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ