ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 180

ถ้าตอนนั้นเฉินซ่าไม่มีความกล้าหาญชนิดนี้ ตอนนี้ค่อยมาสร้างเมือง คนอื่นไหนเลยจะยอมให้เขาสร้าง? คงรวมตัวกันมาโจมตีนานแล้ว

และเพราะแบบนี้ ประชาชนเมืองพั่วอี้ที่เดิมทีรู้สึกว่าความปลอดภัยของตนและครอบครัวมั่นคง ถึงต้อนรับขับสู้เฉินซ่าขนาดนี้

แต่จะสร้างราชวงศ์ มีแค่เมืองเดียวมันไม่พอหรอก

เลยมีคนเสนอให้ขยายดินแดนรายล้อมเมืองพั่วอวี้ก่อนค่อยสร้างเมืองอื่น

มันต้องการกำลังคนและเงินมหาศาลเลย

เฉินซ่าดูมาถึงตรงนี้ก็นวดขมับตนเอง

ฎีกาถัดไป การเกณฑ์คนสร้างกองทัพ ประเทศจะขาดทหารไม่ได้ เรื่องนี้เฉินซ่าเข้าใจ แต่มันยิ่งลำบากไปใหญ่ ไม่เพียงต้องการสิ่งของเงินทอง ยังต้องการคน ไม่มีใคร เจ้าจะเอาทหารที่ไหนกัน?

โชคดี มีอีกฎีกาเสนอเรื่องรายได้

เก็บภาษี

เจ้าเมืองพั่วอวี้เดิมเป็นคนละโมบโลภมาก แทบอยากเก็บภาษีชาวบ้านจนถึงจำนวนเงินสุดท้าย หลังจากเขาตีเมืองพั่วอวี้ได้แล้วเพราะไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ การเก็บภาษีจึงขาดตอนไป ไม่มีใครจ่ายอีก

ตอนนี้มีผู้ควบคุมเสนอขึ้นมา การเก็บภาษีนี่ต้องปรับโครงสร้างให้เร็ว รวบรวมโดยเร็วที่สุด เพื่อเติมเต็มท้องพระคลัง

แต่ประชาชนหลายหมื่นคนในเมืองพั่วอวี้เมืองเดียว ก็เก็บภาษีไม่ได้มากนี่นา มีหรือจะพอเติมท้องพระคลัง

เฉินซ่าอ่านฎีกาทั้งหมดหนึ่งรอบ ถึงจะเริ่มปวดหัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังคงรู้สึกดี มีหลายฎีกาเหล่านี้แสดงว่ายังมีคนตั้งใจทำงานอยู่

เขาหยิบพู่กันขึ้นมา ตรวจฎีกาไปพูดไป "ตั้งสี่กองหกกรมขึ้นมาก่อน เอาฎีกาที่ได้รับมาแบ่งตามแต่ละกรม แบ่งคนทำงานแต่ละงาน แล้วเรียกพวกผู้ควบคุมที่ดูแลฎีกามา ข้าจะดูว่าพวกเขามีความสามารถหรือไม่ หากมีก็ให้พวกเขามาดูแลสี่กองหกกรมนี่เลย"

"ขอรับ"

"เจ้ากับอิงก็ต้องแบ่งงานกัน สี่กองหกกรมแบ่งเป็นสองส่วน พวกเจ้าดูแลกันคนละส่วน"

"นายท่าน เรื่องพวกนี้ข้าน้อยมิถนัดเลย" อิงหน้าง่ำ

"ไม่ถนัดก็เรียน" เฉินซ่าไม่เงยหน้าขึ้นเลย "ตอนนี้ข้ามิมีคนให้ใช้ ใช้ได้แค่พวกเจ้า" อิงหน่ายใจ จากนั้นพูดอย่างฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า "ข้าน้อยคิดว่าให้โหลชีเป็นนางกำนัลช่างสิ้นเปลืองเสียจริง พวกเราจัดตั้งขุนนางหญิงได้หรือไม่? ข้าน้อยคิดว่านางสามารถเป็นขุนนางหญิงได้อยู่"

โหลชีที่โดนกำหนดให้เป็นขุนนางหญิงตอนนี้กำลังเลิกคิ้วมองน่าหลานจื่อหลินที่เดินเข้ามา ในมือเขาถือถุงน้ำ โบกให้นางดูพลางว่า "ข้าอยากมาหาดูว่ามีน้ำหรือไม่--"

นี่คือกำลังอธิบายนางว่าทำไมวิ่งมาทางนางคนเดียว แต่พูดให้ใครฟังกันล่ะ? พึ่งออกจากพั่วอวี้ได้หนึ่งชั่วยามกว่า ดื่มน้ำหมดแล้ว? เป็นวัวน้ำหรือไง

นางไม่คิดจะเอ่ยทัก แต่กลับยิ้มบอก "ทางนี้ไม่มี"

"อ้อ อ้อ งั้นข้าไปหาที่อื่น"

เขาพูดพลางหมุนตัวจะเดินไป เห็นโหลชีไม่เรียกเขาหยุด ได้แต่หมุนตัวกลับมาเอง มองนางถามว่า "อันที่จริงข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า"

โหลชีไม่เข้าใจคนสองคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนมีอะไรน่าถามกัน แต่ก็พยักหน้าบอก "ถาม" ถ้าคำถามดูยุ่งยากเกินไป นางคงไม่ตอบหรอก

ไม่คิดว่าที่น่าหลานจื่อหลินถามกลับเป็น "ถ้าข้าขอฝ่าบาทพั่วอวี้ขอประทานเจ้าให้ข้า เจ้ายินดีตามข้ากลับเขาเวิ่นเทียนหรือไม่?"

"พรืด!"

โหลชีแทบสำลักน้ำลาย

นี่มันอะไรเนี่ย!

"คุณชาย...ท่านนี้..."

"จื่อหลิน ข้าชื่อว่าน่าหลานจื่อหลิน"

"เอ่อ คุณชายน่าหลานจื่อหลินท่านนี้ ท่านดูสิข้าพึ่งรู้ชื่อท่านเอง คำที่ท่านพูดสมควรจะตรึกตรองดูก่อนดีหรือไม่?" โหลชีรู้สึกว่าตัวเองพูดอ้อมมากแล้ว อ้อมจนสุภาพมากแล้ว ที่จริงนางอยากพูดว่า สมองนายโดนม้าเหงื่อโลหิตถีบทะลุแล้วหรือไง? นายประสาทแค่ไหนถึงพูดแบบนี้ออกมาหะ? ดูหน้าตาก็ดี ไม่คิดว่าในสมองจะมีแต่แป้งมันอย่างนี้นะ!

"ถึงพวกเราจะพึ่งรู้จักกัน แต่ข้ารู้ว่าคราแรกที่แม่นางพบข้ามีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ปกติ ถึงท่านกับฝ่าบาทพั่วอวี้--" พูดมาถึงตรงนี้สมองพวกเขาต่างผุดภาพเฉินซ่าจูบนางต่อหน้าทุกคนออกมา น่าหลานจื่อหลินรู้สึกอึดอัดหัวใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังพูดต่อไปว่า "ข้าไม่ถือสา"

โหลชีจะเป็นลม นางพูดอย่างเหลือเชื่อว่า "ทำไมท่านถึงพูดว่าคราแรกที่ข้าเจอท่านมีความรู้สึกที่...ไม่ปกติออกมา?"

น่าหลานจื่อหลินมองนาง สีหน้าประมาณว่าเจ้ามิต้องเก้อเขินข้าเข้าใจดีออกมา "ตอนนั้นที่ด้านนอกตำหนักสอง ข้านั่งบนรถม้า แม่นางเดินมาจากสวน สีหน้าเย็นชาประหนึ่งดอกมู่หลานสีขาวดอกหนึ่ง แต่กลับยิ้มงดงามเมื่อเห็นข้า ตอนนั้นข้าจึงรู้ว่า แม่นางมีกิริยากับข้าไม่เหมือนคนอื่น"

โหลชีเบิกตากว้าง ประหนึ่งโดนฟ้าผ่า

สวรรค์ พระเจ้าช่วย

ถ้ารู้ว่าชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี่หัวสมองกลับ นางคงเอาสายล่อฟ้ามาด้วย! นั่นเป็นเพราะตอนนั้นนางทำเพื่อให้เขาไม่ระแวงยอมให้นางเข้าใกล้รถม้าเท่านั้น ไหนบอกคนมักจะใจดีกับคนที่ยิ้มให้ไง?

ทิศทางที่พวกเขาไปไม่ใช่เส้นทางที่เข้าออกเมืองพั่วอวี้เมื่อก่อน ดังนั้นโหลชีไม่รู้จักทางนี้ และเส้นทางนี้ใหญ่กว่าเมื่อก่อนมากนัก เพราะเดินทางมาสองวันแล้วยังไม่ออกจากทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้เลย

"เฉิงสิบ พวกเจ้าเคยมาที่นี่หรือไม่?" ตกเย็นวันนี้เพราะยังไม่ออกจากทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้ พวกเขาเลยยังค้างอ้างแรมอยู่

อากาศเย็นจัด ทั้งห้าคนจุดกองไฟสองกอง พวกโหลชีสามคนหนึ่งกอง เฉิงสิบกับโหลวซิ่นหาฟืนมาจุดไฟ ไม่ต้องให้โหลชีลงมือ

แต่พวกเขาขีเกียจช่วยศิษย์อาจารย์สองคนนั้น เดิมพวกเขาเคารพให้เกียรติคนจากเขาเวิ่นเทียน แต่ไม่ว่าใครก็ต่างได้ยินว่าสองวันนี้โหลชีทำผู้อาวุโสฟ่านโกรธจนแทบกระอักเลือด หลังจากอีกฝ่ายไม่กล้าลงมือฆ่า ก็ไม่มีทางไม่เปลี่ยนความคิด

อีกอย่าง ศิษย์ของผู้อาวุโสฟ่านคนนี้ก็แปลกๆ พยายามหาโอกาสมาคุยกับแม่นางโหลตามลำพังอยู่หลายครั้ง แม่นางโหลแค่ยกขา เขาก็ถอยกลับไป

โหลวซิ่นไปล่ากระต่าย เฉิงสิบเตรียมไฟขึ้นเตาย่าง ของกินที่พวกเขาเอามาจากตำหนักจิ่วเซียวถึงจะยังกินไม่หมด แต่ก็เป็นขนมเปี๊ยะ ซาลาเปาเย็นๆหรือเนื้อแห้ง กินมาสองวันแล้ว ยังไงซะกินเนื้อหรือน้ำแกงร้อนๆก็สบายมากกว่า

เดิมเฉินซ่าจะให้รถม้ากับนาง แต่นางปฏิเสธ เอามาแค่ท่าเสวี่ย ขี่ม้าไปใต้หล้า ดูเงียบเชียบไม่เอิกเกริกเหมือนนั่งรถม้าหรูหราหรอก

พอได้ยินคำถามของโหลชี เฉิงสิบส่ายหัวบอก "ไม่เคยมาขอรับ แต่ได้ยินว่าแถบนี้มีเขาพยัคฆ์ลูกหนึ่ง หัวหน้าค่ายโจรชื่อไอ้ตาเดียว เป็นคนโหดร้ายอำมหิตยิ่ง"

โหลชีสนใจขึ้นมาทันที "งั้นรึ? เขาพยัคฆ์อยู่ที่ใดกัน?"

เฉิงสิบทำหน้าจะยิ้มก็มิใช่จะร้องไห้ก็มิเชิง แม่นางขอรับ คนอื่นได้ยินชื่อไอ้ตาเดียวมีแต่จะอ้อมไปไกล นางคงมิคิดจะไปหาเขาหรอกนะ? "ตำแหน่งของเขาพยัคฆ์ข้าเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แต่แม่นาง ท่านอย่าดูเบาไอ้ตาเดียวนั่นเชียวนะ ถึงเขาจะมีตาเดียว แต่วิชาธนูประหลาดนัก ยิงในระยะหนึ่งร้อยก้าวนี่แม่นมาก ซ้ำยังได้ยินมาว่าเขาสามารถยิงคนสามคนได้ในธนูดอกเดียว ท่านลองคิดดูสิว่าแรงแขนมีมากเพียงใด"

โหลชีอืมอย่างชื่นชม จากนั้นถามอีก "เขามีเงินหรือไม่?"

"หา?"

"ร่ำรวยหรือไม่?"

เฉิงสิบถึงพึ่งเข้าใจความหมายของนาง "สามารถอยู่ในทุ่งป่าเถื่อนของพั่วอวี้ได้ ย่อมมิมีคนจนดอก ไอ้ตาเดียวผู้นี้ได้ยินว่าเมื่อก่อนเป็นขุนโจร เพราะปล้นทรัพย์สมบัติมากมายอีกทั้งยังฆ่าคนในตระกูลใหญ่มากมาย โดนคนรวมตัวกันตามล่า จนไม่มีที่ไปด้านนอกแล้ว ถึงหลบเข้ามาในเมืองพั่วอวี้ ข้าน้อยรู้สึกว่า สมบัติที่เขาปล้นมาก็น่าจะนำมาอยู่ที่นี่ด้วย"

โหลชีตาเป็นประกาย เฉิงสิบมองอย่างหน่ายใจ "แม่นาง พวกเรามีเงินนะขอรับ"

ก่อนจากมา องครักษ์เยว่กับอิงต่างให้เงินเขาหลายพันตำลึง บอกว่าเป็นค่าเดินทางของพวกเขาสามคน เขาเองก็เคยเห็นสายรัดเอวโหลชีมีห้องถุงเงินไว้นี่นา ฝ่าบาทมิทางไม่ให้เงินนาง

"อ๊า!"

พวกเขากำลังพูดกันอยู่ ในป่าด้านนอกไม่ไกลเกิดมีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ