ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 183

สายตาโหลชีฉายแสงแวววับ

จะสร้างเมืองหรือ?

แบบนี้บางทีนางอาจจะส่งของขวัญชิ้นใหญ่ให้เฉินซ่าได้

นางหันไปมองฟ่านฉางจื่อที่กำลังแง้มผ้าม่านรถม้าตกใจมองอ้าปากค้างว่า "ผู้อาวุโสฟ่าน ท่านบอกอาศัยกำลังคนคนเดียวสร้างเมือง คนผู้นี้ต้องมีสมบัติมากมายเพียงไรนะ?"

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น

ก่อนหน้านี้ที่ฟ่านฉางจื่อสงสัยในคำพูดของพวกเขา พอมาเห็นกับตาตนเองแบบนี้ก็เชื่อใจไม่สงสัยแล้ว เขายังรู้สึกเลยว่าพวกโหลชีเฉิงสิบพูดถ่อมตัวไปหน่อย ที่ไอ้ตาเดียวมีนี่มันมากกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มากมายนัก!

คราวนี้หัวใจฟ่านฉางจื่อเต้นแรงเร็วขึ้นอีก

"ลงม้า" โหลชีแอบยิ้มเมื่อเห็นแววละโมบในดวงตาเขา เลยให้เฉิงสิบกับโหลวซิ่นลงจากหลังม้า พวกเขาตบม้าของตนเองแผ่วเบา ท่าเสวี่ยพาม้าอีกสองตัววิ่งออกไปอย่างรู้หน้าที่

"เจ้าปล่อยม้าไป?" ฟ่านฉางจื่อตกใจมาก

"พวกมันไม่ไปไกลหรอก" โหลชีบอก

ฟ่านฉางจื่อรู้สึกละโมบอยากได้ท่าเสวี่ยตัวนั้นของนาง แต่ตอนนี้เขากำลังจะได้เพชรนิลจินดามากมาย งั้นวางเรื่องม้าไว้ก่อนแล้วกัน

เขาเองก็ลงจากรถม้า น่าหลานจื่อหลินกลับพารถม้าไปที่ป่าไม่ไกล และผูกม้าไว้กับต้นไม้ ที่นี่นอกจากคนของเขาพยัคฆ์และพวกเขาแล้ว ไม่น่ามีคนอื่นมาแล้ว รถม้าไม่น่าจะโดนขโมย

งั้นเขื่อนสายใหญ่ที่ถูกขุดที่เขาพยัคฆ์นั่น เหลือเพียงทางเดียวขึ้นเขาได้ คาดว่าไอ้ตาเดียวคงสร้างเมืองเสร็จแล้วจะถมน้ำลงที่นี่ เขาพยัคฆ์ไม่มีการป้องกันที่ดีล่ะก็ มีหรือจะเก็บสมบัติได้วางใจ

"แยกกันไป" ฟ่านฉางจื่อบอก

"ดีเลย" โหลชีหัวเราะพลางพยักหน้า "ผู้อาวุโสฟ่านไปก่อนเถิด พวกเราจะคุยกันสักหน่อยว่าอีกครู่จะเอาอะไร กลัวเข้าไปแล้วไม่มีเวลาปรึกษา"

ฟ่านฉางจื่อไม่ได้สงสัย อันที่จริงสู้พูดว่าเขาทนรอไม่ไหวแล้ว เขากวักเรียกน่าหลานจื่อหลินมา ทั้งคู่มุ่งไปยังเขาพยัคฆ์อย่างเงียบเชียบราวกับอินทรีใหญ่สองตัว

โหลชีถึงกวักนิ้วเรียกเฉิงสิบกับโหลวซิ่นเข้าใกล้อีกนิด นางพูดเสียงต่ำว่า "ฟังนะ พวกเจ้าสองคนไม่ต้องขึ้นเขา ไปสืบบ้านไม้ร้อยหลังนั่น ดูว่าเป็นใครบ้าง ไม่ต้องทำให้พวกเขารู้ตัว อีกครู่ไม่ว่าบนเขามีอะไรเกิดขึ้น พวกเจ้าแค่หาโอกาสออกไป ไปหาม้ามาก่อน และรอข้าที่ป่านั่น"

"แม่นาง ท่านคนเดียว?"

"ข้าไม่เป็นไรหรอก อีกอย่าง พวกเจ้าลองดูว่าจะจับนกพิราบสื่อสารหรือนกตัวเล็กได้ไหม หลังข้ากลับมาจะได้ใช้ส่งจดหมาย เอาล่ะ ไปเถิด"

พอสั่งการเสร็จ โหลชีก็ทะยานร่างพุ่งขึ้นเขาไป ความเร็วของนางไม่ด้อยไปกว่าฟ่านฉางจื่อเลย

การที่เขาพยัคฆ์ถูกเรียกว่าเขาพยัคฆ์ เป็นเพราะบนยอดเขามีชะง่อนขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปข้างนอก ด้านล่างว่างเปล่า พอมองลงไป รูปร่างเหมือนเสือร้ายที่กำลังทะยานออกจากภูเขาตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้บนชะง่อนหินสร้างคฤหาสน์ไว้ ถึงจะไม่ได้ใหญ่มาก แต่งดงามมากพอ ที่สำคัญที่สุดคือสร้างอยู่ในที่แบบนี้ มีแต่ต้องเข้าทางประตูทางเดียว เพราะทางอื่นว่างเปล่าเป็นหน้าผา สามด้านหน้าผา ไม่มีทางให้คนขึ้นมาให้เลย

และประตูใหญ่ของคฤหาสน์นี้สร้างไว้สูงมาก มองออกว่าเป็นเหล็กหนักมาก จะเปิดประตูใหญ่ดูท่าต้องผู้ชายสองคนช่วยกัน ด้านนอกประตูเว้นไปหน่อยยังมีประตูหนักอีกบาน ตอนนี้ถึงจะมืดแล้ว และที่นี่ว่างเปล่าคนน้อย แต่มียามสิบสองคนถือกระบี่ยาวเดินยามวนไปมาตลอดนอกประตูใหญ่ ไม่ได้ละเลยแม้แต่น้อย

ยิ่งเป็นแบบนี้ พวกเขาเลยยิ่งมั่นใจว่าไอ้ตาเดียวมีสมบัติมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นต้องรักษาการณ์แน่นหนาขนาดนี้

โหลชีซ่อนตัวอยู่ไม่ห่างนัก และไม่รีบร้อนเข้าไป นางเห็นฟ่านฉางจื่อเคลื่อนตัว กลับเคลื่อนตัวขึ้นสูงมาก น่าหลานจื่อหลินตัดกิ่งไม้ด้านล่างโยนขึ้นไป ฟ่านฉางจื่ออาศัยเหยียบเท้าบนกิ่งไม้พวกนั้น และกระโดดขึ้นไป เพราะเขาอยู่กลางอากาศสูงมาก แถมยังเป็นกลางดึก บวกกับเร็วมาก หากมิใช่เงยหน้าสังเกตมองไม่เห็นเขาแน่ ต่อให้เจอ ก็เห็นแค่เงารางๆเท่านั้น

ถึงฟ่านฉางจื่อจะละโมบ สมองไม่มีไรมาก แต่เรื่องจริงที่วิทยายุทธของเขาสูงมาก โหลชีเห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ ถ้าเป็นนางนางคงไม่สามารถกระโดดขึ้นไปได้สูงขนาดนั้น

น่าหลานจื่อหลินกลับเบนไปอีกข้าง ร่างกายกลับกระโดดลงไปใต้ชะง่อนหินว่างเปล่านั่นราวกับลิงตัวน้อย และแนบตัวติดกับผนัง ไม่รู้ว่าเขาขยับตัวได้ยังไง นางเห็นแค่เขาค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นไปชะง่อนหินนั่น ร่างกายส่วนมากคือว่างเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะนางเพ่งมองเขา และดูจากมุมนี้ก็เห็นพอดี น่ากลัวคงไม่สามารถเห็นว่าเขาสามารถขึ้นไปได้จากตำแหน่งนั้น

หลังจากเขาพลิกตัวขึ้นไปแล้วก็ตกลงมาอีก เพราะกำแพงรั้วของด้านบนคฤหาสน์แทบจะติดกับขอบหน้าผา เหลือที่แค่ครึ่งฝ่ามือ คนต้องแนบตัวติดกับกำแพงรั้ว แต่วิทยายุทธที่คล้ายกับตุ๊กแกของน่าหลานจื่อหลินมีประโยชน์มาก เขาผลุนวิ่งบนกำแพง พลิกตัวลงไป

โหลชีไม่คิดว่าศิษย์อาจารย์คู่นี้วิทยายุทธดีมากจริงๆ ยังอดเลื่อมใสไม่ได้

แต่ว่าวิทยายุทธพวกเขายิ่งสูงยิ่งดี อีกครู่แผนการนางจะได้สำเร็จได้ง่ายขึ้น

ขนาดโสมพันปี เห็ดหลินจือร้อยปี บัวเลือดเขาน้ำแข็งที่ตากแห้งแล้วยังวางไว้กองๆกัน

อีกพวกหนึ่งก็ส่องแสงระยิบระยับเช่นกันคือพวก ผ้าไหมล้ำค่าที่มีแต่คนในราชวงศ์จะใส่ได้อย่างเช่นแพรหมอกควันเส้นทอง ผ้าตาดเมฆ ผ้าทอเฉดสีวางกองไว้ด้วยกันเป็นตับผ้า

ก่อนหน้านี้ในความมืดนั่นที่นางกับเฉินซ่าแอบสัมผัสที่เหอชิ่งอ๋อง นางรู้สึกตกใจกับเพชรนิลจินดาพวกนั้นแล้ว แต่ตอนนี้พอมาเทียบกับโกดังนี้ของไอ้ตาเดียวแล้ว เหอชิ่งอ๋องนั่นถือว่าเล็กเกินไปเลย!

โหลชีมองลอดช่องว่างของประตูนั่นไปเห็นภาพด้านใน แสงนั่นยังเกือบทำตานางบอดเลย ตอนแรรกที่เห็นนางลืมตัวผ่อนลมหายใจออก ลืมกลั้นหายใจไป แต่ฟ่านฉางจื่อกำลังตะลึงเลยไม่สังเกตเห็น

น่าหลานจื่อหลินอึ้งบื้อไปเลย ยืนตัวแข็งค้างในห้องราวกับเป็นเจียงซือ

โหลชีตั้งสติกลับมา รู้ว่าถึงเวลาแล้ว เลยออกจากโกดัง นางเก็บก้อนหินมาหลายก้อน และยิงไปในห้องหลายห้องที่อยู่ไม่ไกลนัก

กำลังภายในของนางตอนนี้ล้ำลึกหนาแน่นมาก ถึงก้อนหินจะเล็ก แต่ก็ทะลุหน้าต่างเข้าไปเลย ภายในค่ำคืนเงียบสงัดนี้เกิดเสียงดังไม่น้อย

เสียงดังพวกนี้ทำคนตื่นขึ้นกลางดึก คนที่พุ่งตัวออกมาก่อนเป็นชายร่างสูงใหญ่ ใส่แค่กางเกงนอน เปลือยท่อนบน สองมือจับค้อนหลิวซิงคู่หนึ่ง ตาขวาใส่ที่ปิดตาซึ่ง-ขัดเงามาจากหยก

ชายผู้นี้ต้องเป็นไอ้ตาเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากเขาแล้ว ใครจะร่ำรวยขนาดใช้หยกมาทำที่ปิดตากันล่ะ? อวดรวยเกินไปหน่อยแล้วไหม

"มีคนลอบเข้ามาแล้ว!" ไอ้ตาเดียวพุ่งออกมาก็ร้องขึ้นเสียงดัง " คุ้มกันให้ดีทุกทิศทาง! อย่าปล่อยให้แมลงหวี่แมลงวันรอดไปได้สักตัว!"

คนมากมายพุ่งออกมา พริบตาเดียวทั่วทั้งคฤหาสน์ก็จุดคบไฟสว่างไสว ผู้คนพรั่งพรู ไอ้ตาเดียวพายามรักษาการณ์กลุ่มหนึ่งพุ่งมายังโกดัง

โหลชีวิ่งกลับโกดังก่อนหน้าพวกเขาแล้ว นางรีบเปิดประตู เสียงที่ส่งออกมาในที่สุดทำให้ศิษย์อาจารย์สองคนที่ยังงุนงงท่ามกลางเพชรนิลจินดามากมายสะดุ้งได้สติกลับมา

"ผู้อาวุโสฟ่าน ทำไมท่านยังไม่ไปอีก? แย่แล้วแย่แล้ว ไอ้ตาเดียวรู้ตัวแล้ว!" โหลชีพูดพลางปิดประตูดังปึ้ง

ฟ่านฉางจื่อยังไม่ทันได้สติกลับมา ด้านนอกก็มีเสียงไอ้ตาเดียวดังขึ้น "ล้อมที่นี่เอาไว้!"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ