ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 186

ฟ่านฉางจื่อแค่นเสียงหึ เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่รถม้า

โหลชีส่งทองสองลังนั่นให้เฉิงสิบ และไปนั่งพักที่ก้อนหินก้อนหนึ่ง เหน็ดเหนื่อยตรากตรำมาทั้งคืนแล้ว ก็เหนื่อยล่ะ พอมองซากศพอนาถไปทั่วนั่น ในใจรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง โหลวซิ่นยื่นถุงน้ำให้นาง นางดื่มไปหนึ่งอึก พลางร้องเอ๊ะออกมา "เหล้า?"

โหลวซิ่นพูดเสียงต่ำว่า "แม่นางคิดไม่ถึงกระมัง ที่นี่มียอดฝีมือหมักเหล้าอยู่คนหนึ่ง เขาหมักเหล้าไว้มากมาย มีไหเหล้าอยู่เต็มสองเรือนไม้เลย! เหล้านี้รสชาติดีกระมัง?"

จริงด้วย เหล้านี้กลิ่นหอมมาก พอเข้าปาก มีกลิ่นไอพิเศษของข้าวสาลีอยู่ คุกรุ่นไปมาไม่หยุดหย่อน

โหลชีดื่มไปอีกหนึ่งอึก พลางถาม "คนล่ะ?"

โหลวซิ่นบอกอย่างโกรธๆว่า "เรือนไม้นับร้อยเรือนนั่นมีคนอยู่เกือบสี่ร้อยคน ชายหญิงอย่างละครึ่ง มีเด็กด้วย ชายหนุ่มหญิงสาววัยทำงานล้วนแต่อายุน้อยแข็งแรงกันทั้งนั้น หญิงสาวนั้นส่วนมากกำลังท้อง ฝ่ายชายมือเท้ามีโซ่เหล็กคล้องอยู่ เหมือนกับนักโทษ ข้าน้อยสำรวจดูแล้ว มือเท้าพวกเขาล้วนมีรอยบาดและรอยปูดโปน น่าจะเอามาสร้างเมือง"

"ไอ้ตาเดียวคงจะเตรียมการมานานแล้ว สร้างเมืองไม่พอ ยังต้องมีชาวเมืองอีก ดังนั้นเขาเลยจับคนพวกนี้มาช่วยสร้างเมืองให้เขา และจับผู้หญิงมาเป็นแม่พันธุ์ทำลูกเพิ่มจำนวนชาวเมือง ก็ดูมีหลักการอยู่บ้าง" เฉิงสิบพูดขึ้น

"น่าเสียดายนะ น่าเสียดาย" โหลชีอดถอนหายใจแผ่วเบาออกมาไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะการมาของพวกเขา ไอ้ตาเดียวคงสร้างเมืองได้สำเร็จ ด้วยวิทยายุทธและความสามารถในการหาเงินของเขา ต่อไปไม่แน่ว่าเมืองนี้จะกลายเป็นเมืองร่ำรวยอันดับหนึ่งของพั่วอวี้ และล้ำหน้าเมืองพั่วอวี้ไปได้

แต่มาเจอนางเข้า

นางเป็นคนชักจูงให้ฟ่านฉางจื่อเกิดความละโมบอยากครอบครองสมบัติของไอ้ตาเดียวเอง ตอนแรกนางก็จัดทางตันให้ไอ้ตาเดียวกับลูกน้องไว้แล้ว ต้องการให้ฟ่านฉางจื่อฆ่าพวกเขาให้หมดอยู่แล้ว นางต้องการมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เฉินซ่า ย่อมจะไม่ทำให้เขาต้องสูญเสียทหารยามเข้าใกล้เมืองนี้อยู่แล้ว

ครึ่งชั่วยามผ่านไป น่าหลานจื่อหลินถึงได้กลับมาพร้อมร่างกายอ่อนแรง

สี่ร้อยกว่าคน ต้องวางยาสลายกำลังทั้งหมด ถึงจะพูดว่ายานี้พอเจอลมและสูดเข้าไปก็จะโดนแล้ว แต่เรือนไม้เกือบร้อยเรือนให้เดินจนทั่วก็เหนื่อยมากพอดูแล้ว

ชุดขาวเดิมของเขากลายเป็นสีเลือด ตอนนี้บวกกับเหงื่อไคล กลิ่นนั่นทำคนต้องถอยห่างหลายก้าวเลยทีเดียว

เขามองโหลชีหนึ่งที ก่อนรีบเดินไปทางรถม้า ฟ่านฉางจื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว พลางโยนเสื้อผ้ามาให้เขาหนึ่งชุด เขาเดินไปเปลี่ยนชุดในป่า ท่ามกลางการเร่งเร้าของฟ่านฉางจื่อ ทั้งหมดเริ่มออกเดินทางอย่างบ้าคลั่ง

ฟ่านฉางจื่อในใจร้อนรนนัก ต่อมามุ่งหน้าไปยังหุบเทพมารอย่างเร่งรีบเต็มที่จนม้าไม่ได้พักฝีเท้าข้ามวันข้ามคืน

โหลชีก็ให้ความร่วมมือ เพราะนางเองก็อยากรีบจะไปหาเถาทองม่วงเร็วๆ อีกอย่างจะได้ไปเจอน่าหลานฮั่วซินคนนั้นที่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อนแท้ๆแต่กลับคิดร้ายนางไม่หยุดหย่อนนั่นด้วย!

ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาเอื่อยๆ

แต่ละคนในตำหนักจิ่วเซียวต่างรู้ดีว่าฝ่าบาทของพวกเขาระยะนี้จิตใจมิใคร่ดีนัก พอจิตใจไม่ดี อารมณ์ก็พลอยมิดีตามไปด้วย

ที่ห้องประชุม เสียงร้องครวญครางดังขึ้น คนผู้นี้ถูกถีบออกมาอย่างแรง ร่างตกกระทบพื้นเสียงดังปึ้ง ม้วนตัวอยู่หลายตลบ นำพาใบไม่ร่วงไปด้วยหลายใบ

นางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านนอกพากันตกใจจนตัวสั่นงันงก มีคนลอบมองดู และเห็นคนผู้นั้นกระอักเลือดคำโตออกมา พลันขาอ่อนยวบ

องครักษ์ลับตี้เอ้อร์ที่ซ่อนตัวอยู่มุมหนึ่งถามเสียงเบาว่า "นี่เป็นคนดวงซวยที่เท่าไหร่ในรอบสิบวันนี้?"

เทียนยียกห้านิ้วขึ้นอย่างสงบนิ่ง

"ห้าคนแล้ว เอ๋ เทียนยี เจ้าว่าฝ่าบาทฆ่าต่อไปแบบนี้ จะมีคนให้ใช้อีกรึ?"

"สามวันก่อนฝ่าบาทพาคนไปพิชิตหุบเขาสองที่แล้ว พวกนั้นมิใช่คน?" เทียนยีบอก

ตี้เอ้อร์หน้าทะมึน เขาพูดถึงพ่อบ้านแม่บ้าน เทียนยีกลับพูดถึงเหล่าพลทหารและองครักษ์ ไม่เหมือนกันเลยสักนิด

"ฝ่าบาทย่อมมีหนทางขององค์เอง" เทียนยีเหล่เขาหนึ่งที ในฐานะองครักษ์ลับ อย่ายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง

คนพวกนี้เดิมก็สมควรตายอยู่แล้ว

ในห้องประชุม รู้สึกถึงแรงกดดันตั้งแต่เช้า

เดิมการเคลื่อนไหวสองครั้งเมื่อสามวันก่อนล้วนเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ควรจะดีใจถึงจะถูก แต่หลายวันนี้เหล่าผู้นำล้วนแต่อกสั่นขวัญหาย

สืบเนื่องมาจากราชโองการสามอันที่ประทานลงมาเมื่อสิบวันก่อน หลังจากราชโองการออกมาแล้ว พวกที่เลื่อนขั้นกลับเป็นพ่อบ้านรองสามคน พ่อบ้านรองสามคนนั้นเป็นคนที่ยื่นฎีกาสามเล่มนั้น เพราะระบบการปกครองของกษัตริย์และข้าราชบริพารในตำหนักจิ่วเซียวยังไม่แล้วเสร็จ ตอนแรกเลยบอกให้พ่อบ้านและพ่อบ้านรองสามารถยื่นฎีกาได้หมด แต่ปีครึ่งมานี้ เหล่าพ่อบ้านรองมีไม่กี่คนที่กล้ารับฎีกาจริงๆ

"ดูต่อไปก็รู้เอง"

สาวน้อยผู้นั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา พลางยื่นมือไปช่วยเช็ดเลือดที่มุมปากของพ่อบ้าน ถามเสียงอ่อนว่า "ท่านมิเป็นไรกระมัง?"

"เจ้า เจ้าเป็นใคร?"

"ข้าคือผูยู่เหอ"

ชื่อผูยู่เหอนี้คนในตำหนักจิ่วเซียวต่างรู้จักกันดี อันที่จริงเป็นเพราะหากข้างกายฝ่าบาทของพวกเขามีสตรีปรากฏขึ้นก็จะได้รับความสนใจจากทุกคน ถึงแม้ว่าสาวน้อยนามว่าผูยู่เหอผู้นี้จะกลับมากับฝ่าบาทและโหลชีพร้อมกัน ไม่มีใครแนะนำว่านางเป็นผู้ใดกัน แต่ฝ่าบาทให้นางพักพิงในตำหนักสอง มิได้ให้นางเปลี่ยนชื่อเป็นเอ้อร์ยู่เอ้อร์เหออะไร เช่นนั้นก็มินับเป็นนางกำนัลรับใช้

หลังจากนั้นฝ่าบาทงานราชการมาก วันๆเอาแต่เปิดประชุมงานกับบรรดาพ่อบ้านในห้องประชุม พวกเขาเองก็ไม่กล้าไปถามเขาว่าจะให้จัดการเรื่องผูยู่เหอผู้นี้อย่างใด หลังจากไปถามองครักษ์เสวี่ยก็บอกให้นางอยู่เช่นนั้นก่อน นางเข้าออกตำหนักสองได้ แต่ห้ามเข้าตำหนักหนึ่งหรือตำหนักสาม

พวกระดับล่างก็ไม่รู้ความจริง เลยเอาแต่เรียก "แม่นางยู่เหอ"

ต้องพูดจริงๆว่า มันทำให้หัวใจผูยู่เหอล่องลอยเล็กน้อยและยังจุดประกายความหวังขึ้นในใจนาง เดิมนางคิดว่าจะมาเป็นนางกำนัล แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าฝ่าบาทจะชอบนาง แต่ต้องรอจัดการงานราชการเสร็จก่อนจึงจะเรียกนางเข้าบรรทม? แต่พอคิดถึงคำพูดของท่านน้าหญิง นางจำต้องทำตาม ดังนั้นตอนนี้นางจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ และพูดคุยกับชายน่ารังเกียจผู้นี้

หากมิใช่ต้องเชื่อฟังคำสั่งท่านน้าหญิงแล้วล่ะก็ ชายน่ารังเกียจเยี่ยงนี้นางมิมีทางเข้าใกล้ดอก มีจุดไหนเทียบเคียงกับความหล่อเหลาและยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาของฝ่าบาทนางได้บ้างเล่า? ยังทำให้ฝ่าบาทของนางขุ่นเคืองพระทัยอีก?

"ที่แท้เจ้าคือแม่นางยู่เหอ" ภายใต้ความช่วยเหลือของผูยู่เหอ ในที่สุดพ่อบ้านผู้นี้ก็นั่งขึ้นมาได้ เขามองผูยู่เหอพลางว่า "แม่นางยู่เหอหน้าตางดงามยิ่ง"

ผูยู่เหอที่เคยได้ลิ้มรสบุรุษมาแล้วทำให้ความขวยเขินของสาวน้อยลดทอนลงไปบ้าง กลับเพิ่มแววเย้ายวนที่หว่างคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้วของนางยิ่งเย้ายวนขึ้นมาอีก เพียงพอจะทำให้พ่อบ้านผู้นี้ลุ่มหลงในตัวนางจนเหม่อลอย และในสถานการณ์เช่นนี้ เดิมเขาคิดว่าต้องตายแน่แล้ว ตอนนี้กลับเหมือนคว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ได้ "แม่นางยู่เหอช่วยข้าด้วย"

"ข้าจะช่วยท่านได้อย่างไร? จริงสิ นี่เป็นยารักษาอาการบาดเจ็บภายใน ท่านรีบกินเถิด" ผูยู่เหอหยิบขวดเล็กจากในชายเสื้อออกมา และเทเม็ดยาในนั้นหนึ่งเม็ดยื่นให้เขา

กลิ่นยาหอมจนคนรู้สึกสบาย พ่อบ้านผู้นั้นรู้สึกว่านางมิมีเหตุผลใดต้องทำร้ายเขา รีบรับยามากลืนลงไป ไม่นานก็มีปราณแท้อุ่นๆเริ่มกระจายจากจุดตันเถียน ไม่นานเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บหน้าอกแล้ว ถึงจะไม่ถึงกับฟื้นฟูการบาดเจ็บภายในทั้งหมดในทันที แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดมากขนาดนั้นแล้ว ผลลัพธ์ไม่เลวเลย! ยาเยี่ยงนี้ราคาแพงยิ่ง เขาไม่คิดเลยว่าผูยู่เหอจะยอมสละยามาช่วยเขา! เขายินดียิ่ง "บุญคุณของแม่นางยู่เหอ ข้าจะจำไว้ใส่ใจ!"

ผูยู่เหอผ่อนลมหายใจน้อยๆ แบบนี้นางถือว่าก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าวแล้วหรือไม่? ในพั่วอวี้นี้นางได้สานสัมพันธ์ไว้ผู้หนึ่งแล้ว! มิถือว่าสิ้นเปลืองยาชนิดนี้ที่ท่านน้าหญิงให้ไว้ ตอนนั้นท่านน้าหญิงบอกว่ายาชนิดนี้แพงยิ่ง นางมิได้มีมาก เลยให้ตนมาหนึ่งขวดทั้งหมดห้าเม็ด ตอนนี้ใช้ไปเม็ดหนึ่งแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ