ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 192

ไม่ว่ายังไงก็ตาม อาศัยอยู่ที่นี่ก็ไม่สะดวกเท่าไหร่ และต่อไปถ้าเขากับนางชุนมีลูก จะให้เขาไม่ต้องเจอโลกกว้างหรือยังไง?

ยิ่งไปกว่านั้นใต้ตีนเขาที่ใกล้ที่นี่มากก็พบว่ามีเสือแล้ว วันนี้เขายังเกือบตายภายใต้คมเขี้ยวเสือ ใครจะรู้ต่อไปจะมีสัตว์ร้ายอะไรมาอีก?

ดังนั้น สถานที่นี้ไม่เหมาะจะอาศัยอยู่ต่อไปอีก

เหอชิ่งเหนียนรู้ดี

"ไอดำในตัวพ่อเจ้าถูกดูดออกมาหมดแล้ว ต่อไปกลับไปอยู่ในเมืองก็ไม่มีใครว่าอะไร" โหลชีบอก

เหอชิ่งเหนียนกลับส่ายหน้าบอก "ไม่ ความสัมพันธ์กับตระกูลกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว ต่อให้กลับไปก็คงได้แต่มองหน้ากันแล้วเกลียดกันมากขึ้น พวกเราจะหาที่อยู่ใหม่ ดูว่าจะสามารถปักหลักได้หรือไม่"

ตอนนี้โหลชีถึงยิ้มบางบอก "ข้าแนะนำสถานที่ให้เจ้าดีหรือไม่?"

"คุณชายน้อยเชิญกล่าว" เหอชิ่งเหนียนกลับยินดียิ่ง ตอนนี้เขาเชื่อใจโหลชีมาก สถานที่ที่นางแนะนำต้องไม่เลวแน่

"เมืองพั่วอวี้"

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นได้ยินนางแนะนำเหอชิ่งเหนียนให้ไปเมืองพั่วอวี้ จึงสบตากันหนึ่งที แม่นางยังพูดว่าจะไปจากฝ่าบาทไม่กลับไปแล้ว แต่ระหว่างทางที่ออกมานี่เรื่องไหนบ้างไม่คิดช่วยฝ่าบาทไม่คิดช่วยพั่วอวี้? ระหว่างทางทุกครั้งที่เจอผู้คนที่ลี้ภัย หนีออกจากบ้าน ไม่มีที่ไป นางต่างแนะนำผู้คนให้ไปเมืองพั่วอวี้

นี่มิใช่เพราะนางรู้ว่าพั่วอวี้ต้องการคน ต้องการมากมิใช่รึ?

โหลชีในเวลานี้ยังไม่รู้ว่าการที่นางแนะนำเหอชิ่งเหนียนไปเมืองพั่วอวี้นั่นจะเป็นการขุดหลุมฝังให้นางเอง เพราะเหอชิ่งเหนียนคนนี้จะช่วยนางทำความดีความชอบหนึ่งครั้งในเวลาไม่นานต่อมา และผลักดันนางเข้าใกล้ตำแหน่งพระสนมไปอีกก้าว บางทีถ้านางรู้ นางต้องบอกเขาแน่ว่า โลกกว้างใหญ่เพียงนี้ ครอบครัวเจ้าสามคนออกไปเผชิญโลกกว้างเถิด อย่าได้ไปพั่วอวี้เลยเชียว!

เช้าวันต่อมาพวกเขาออกจากบ้านเหอ

หลังจากได้ยินคนแก่อธิบายเรื่องหุบเทพมาร โหลชีเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้น รอบนอกของหุบเทพมารดูท่าจะอันตรายกว่าที่นางคิดมากนัก แต่นางไม่ได้กลัว เพราะลุงเหอก็เป็นแค่คนธรรมดา ความรู้และการรับมือต่างกับนาง

หลายวันต่อมาไม่เจอบ้านคนเลย เริ่มเข้าสู่เขตภูเขาลึก

สองวันก่อนรถม้าไม่มีทางไปต่อแล้ว ม้าก็เหลือไว้เมื่อวาน เพราะต่อมาทางไม่สะดวกให้ขี่ม้าไปละ

ด้านหน้าหน้าผาภูเขา ผาแหลมเสียบเข้าเมฆ มองไม่เห็นยอดเขา หน้าผานั่นเป็นอุปสรรคตามธรรมชาติขนาดใหญ่ที่บดบังเบื้องหน้าพวกเขาไว้

พอมองขึ้นไปท่ามกลางหน้าผาเหมือนกับมีทางคดเคี้ยวยาวๆและเส้นทางเล็ก บางทีอยู่ในภูเขามองไม่เห็น บางครั้งแตกออกมาจากหน้าผา เห็นแค่ที่วางเท้าเล็กๆ ดูแล้วน่าหวาดเสียวนัก

เฉิงสิบบ่นพึมพำ "คงมิใช่ให้ขึ้นไปจากที่นี่นะ?"

ฟ่านฉางจื่อแค่นเสียงหยัน "กลัวรึ?"

"เอ๋ ผู้อาวุโสฟ่านพูดราวกับว่าท่านไม่กลัว?" โหลชีเหล่เขาหนึ่งที ตาแก่นี่ต้องการชีวิตนางแน่ แต่กลับอดเปรี้ยวไว้กินหวานไหว ทนมาจนถึงตอนนี้ไม่ลงมือสักที

"ผ่านหน้าผาแถบนี้ไป ด้านในก็จะเป็นหุบเทพมาร เทพธิดาแห่งเขาเวิ่นเทียนเรามารออยู่ในหุบเทพมารนานแล้ว รีบไปเถิด"

เทพธิดาแห่งเขาเวิ่นเทียน น่าหลานฮั่วซินไม่ใช่หรือไง?

โหลชีสายตาส่องประกายวาบขึ้น

น่าหลานฮั่วซินไม่ฆ่านาง ไม่งั้นคงไม่ใช้ฟ่านฉางจื่อมาคุ้มครองปกป้องนางจนถึงที่นี่ งั้นทำไมนางต้องรอที่นี่ล่ะ? หรือว่าแค่เพื่อพบนางสักครั้ง?

สำหรับความคิดผู้หญิง จะยังไงโหลชีก็พอเข้าใจอยู่บ้าง หึงหวงริษยาเป็นเรื่องปกติ แต่แบบน่าหลานฮั่วซินนี่ ทั้งๆที่ริษยายังต้องแสร้งทำท่าว่าสูงส่งกว่าคนอื่นเป็นร้อยเท่า ผู้หญิงที่อยากฆ่าคนใจจะขาดแถมยังเจ้าเล่ห์เพทุบาย โหลชีรู้สึกดีด้วยไม่ได้เลย

เทพธิดาแห่งเขาเวิ่นเทียนผู้นี้ ช่างเหลือเชื่อที่กลายเป็นคนที่นางเกลียดทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง

"ระวังหน่อย" นางกระซิบเสียงต่ำบอกเฉิงสิบกับโหลวซิ่น

"ข้าน้อยเข้าใจ"

โหลชีไม่เป็นห่วงฟ่านฉางจื่อ มาถึงที่นี่แล้ว น่าหลานฮั่วซินบอกยังต้องการเจอหน้านางอีกครั้ง ฟ่านฉางจื่อไม่มีทางปล่อยให้นางตายหรอก ที่ต้องระวังคือเฉิงสิบกับโหลวซิ่น

ทั้งหมดหากันอยู่พักหนึ่งถึงเห็นถ้ำหนึ่งที่ตีนเขา หลังจากเข้าไปจึงพบว่ามีทางเดินเล็กคดเคี้ยวขึ้นเขา ดูแล้วเกิดจากธรรมชาติบวกน้ำมือมนุษย์อย่างละครึ่ง

"ทางสายเล็กนี่ใครขุดออกมารึ?" โหลชีถามฟ่านฉางจื่อ

ตอนนี้ฟ่านฉางจื่ออารมณ์ดีขึ้นมา เพราะใกล้จะเสร็จภารกิจ เขาสบายใจไปกว่าครึ่ง จึงใจดียอมตอบคำถามโหลชี

"ว่ากันว่า หลายพันปีก่อนหุบเทพมารเป็นที่เปิดศึกระหว่างเผ่าเทพและเผ่ามาร แต่เผ่ามนุษย์เป็นประชาชนภายใต้การคุ้มครองของเผ่าเทพ ต้องไปร่วมร้องเสริมทัพเผ่าเทพ น่าเสียดายที่เผ่ามนุษย์ไม่มีหนทางขึ้นสวรรค์เหมือนเผ่าเทพและเผ่ามาร และตกลงมายังหุบเขา ได้แต่ทำเส้นทางออกมา กำแพงภูเขาหนาเกินกว่าจะขุดเจาะได้ ต้องขุดเจาะในส่วนที่บางที่สุดด้านบนหน้าผาถึงจะสร้างทางออกมาได้ และทะลวงตรงไป หน้าผาทางภูเขาเส้นนี้ได้มาเยี่ยงนี้เอง"

ดูแล้วอันตรายจริง แต่กลับไม่มีอะไรเกิดข้น ในที่สุดเมื่อพวกเขาก้าวข้ามผ่านทางระหว่างหน้าผาเยี่ยงนั้นมาได้ โหลชีอดถอนหายใจโล่งอกไม่ได้ ระหว่างทางที่มา ถ้าฟ่านฉางจื่อจะลงมือจริงๆ นางไม่มั่นใจว่าจะชนะเลย แถมเฉิงสิบกับโหลวซิ่นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา ถ้าตกลงไปไม่มีทางรอดได้เลย นางเองไม่อยากตาย และไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับสององครักษ์ที่ตัดสินใจแน่วแน่จะติดตามนางด้วย ดังนั้นถึงนางจะแสดงท่าทีสบายๆออกมา แต่ในใจแอบปาดเหงื่อเหมือนกัน

ในเวลานี้นางต้องขอบคุณความคิดว่าตัวเองเก่งของน่าหลานฮั่วซิน น่าหลานฮั่วซินคงรู้สึกว่าจะฆ่านางมันง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการของนาง ดังนั้นเลยไม่คิดว่าจะฆ่านางไม่ได้ล่ะมั้ง?

ระหว่างลอดผ่านถ้ำ ขนาดโหลชีที่คิดว่าชาติก่อนไปมาหลากหลายที่แล้ว เจอวิวทิวทัศน์สวยงามมาก็มาก พอมองดูวิวทิวทัศน์เบื้องหน้านี้แล้ว ยังอดอุทานไม่ได้

"โอ้สวรรค์ สวยจัง"

เดิมคิดว่าออกจากถ้ำแล้วก็ต้องเดินลัดเลาะเส้นทางที่ทั้งเคบคดเคี้ยวลงไปในหุบเหวอีก แต่ไม่คิดเลยว่า พอออกจากถ้ำก็เป็นระเบียงใหญ่ และมองไม่ออกว่าทำจากฝีมือมนุษย์หรือธรรมชาติ แต่ระเบียงนี้ใหญ่นัก ใหญ่มากจริงๆ ใหญ่เกือบครึ่งสนามฟุตบอลเลย หญ้าสีเขียวขึ้นเต็มใต้ฝ่าเท้า ดอกไม้มากมายร้อยเรียง ผีเสื้อบินขวักไขว่ หินภูเขาแผ่นเรียบขาวราวหยกนี่ประหนึ่งที่นั่งที่ไว้รับรองแขก

สิ่งเหล่านี้ยังไม่สวยที่สุด แต่กลับเป็นฝั่งตรงข้ามที่คล้ายจะเป็นระเบียงชมวิว ไกลออกไปเป็นยอดเขาที่ใหญ่มาก บนเขามีน้ำตกขนาดใหญ่ราวกับเป็นน้ำตกจากสรวงสวรรค์ ช่างน่าตกใจยิ่ง ไอน้ำคละคลุ้งแน่นหนาราวเมฆ วนเวียนอยู่ระหว่างยอดเขา ทำให้ยอดเขานั้นดูพลิ้วไหวดุจแดนเซียน แสงตะวันส่องมาที่เมฆไอน้ำ หักเหแสงออกมาเป็นสายรุ้ง

ป่าลึกขนาดใหญ่ดุจพรมหนาสีเขียวแต่ก็เหมือนหลังคา ระหว่างนั้นมีดอกไม้นานาชนิดกำลังเบ่งบาน เหมือนลายทอดอกไม้บนพรมผืนใหญ่นี้ ความงดงามสาดใส่สายตาพวกเขา แต่มองไม่ออกว่าด้านล่างเป็นยังไง ไกลออกไปหน่อย หมอกหนาสีเขียวอ่อนคืบคลานไปทางน้ำตกนั้นตลอดเวลา ลมหนาวของหุบเขาพัดพากลิ่นดอกไม้นานาพรรณมา ช่างทำให้สบายใจและมีความสุข

แต่โหลชีรู้ดีว่า สถานที่นี้คือหุบเทพมาร ภายใต้ความงามเหนือล้ำนี้ ไม่รู้ว่าซ่อนอันตรายไว้มากมายเพียงใด แต่มันก็ยากจะทำให้นางเมินเฉยต่อความงามเบื้องหน้า ดูให้พอใจก่อนค่อยว่ากัน

"หมอกหนาสีเขียวนั่น คือรอบในของหุบเทพมาร หากอยากมีชีวิตรอดก็อย่าเข้าไป" ที่จริงฟ่านฉางจื่อก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก ในที่สุดก็พานังหนูนี่มาส่งถึงที่นี่แล้ว ตลอดทางเขารู้สึกว่าตบะความอดทนทางจิตใจของตนเพิ่มพูนแล้ว เป็นเพราะโดนโหลชียั่วโมโห ทนน่ะอดทน ทนมาอย่างยากลำบากแค่ไหนถึงไม่ได้สะบัดฝ่ามือตบนางตายซะกลางทาง!

โชคดีที่นางจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว

ในอากาศมีเสียงอินทรีร้องดังขึ้น ลมเย็นพลันเกิดเสียงวิ้วขึ้น ล่องลอยมาในอากาศประหนึ่งเสียงดนตรีจากสวรรค์

ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นดู เห็นเพียงบนอินทรียักษ์มีสตรีในชุดสีแดง ผมยาวสยาย คิ้วงามงอน ปิดหน้าด้วยผ้าปิดหน้าสีแดงปักดิ้นทอง มือหนึ่งบังคับอินทรี อีกมือถือจับขลุ่ยหยกม่วง ประหนึ่งเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นมองกันตาค้าง

โหลชีกะพริบตา พลันชี้ไปที่คนบนอินทรีด้วยความตกใจว่า "ดูสิ มีมนุษย์นกบินลงมาแล้ว!"

--

มีมนุษย์นกบินลงมาแล้ว

มนุษย์นก--

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ