ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 200

ถ้าเป็นเช่นนั้น--

โหลชีมองดูพวกเขาทั้งสี่คน อายุพอๆกัน ในวัยยี่สิบกว่าปี มีใบหน้าหล่อเหลา และสูงพอๆกัน แม้ว่าพวกเขาจะสวมแค่เสื้อคลุมและไม่ใส่รองเท้า แต่เมื่อพวกเขาทั้งสี่ยืนอยู่ด้วยกันดูสะดุดตามาก ดูมีคุณค่ามาก

"ทำไมพวกเจ้าถึงอยากติดตามข้าล่ะ? ในเมื่อไม่อยากกลับไปที่เขาเวิ่นเทียน โลกภายนอกท้องฟ้าสูงทะเลกว้างใหญ่มีอิสระเสรี แล้วทำไมต้องเป็นองครักษ์ติดตามข้าล่ะ?"โหลชีกะพริบตาด้วยความสับสน

เวิ่นเจี้ยนพูดว่า "ไม่ขอปิดบังแม่นาง หากออกจากเขาเวิ่นเทียนก็เป็นคนทรยศ เขาเวิ่นเทียนไม่ปล่อยพวกเราไปแน่ๆ ถ้าพวกเราติดตามแม่นาง คิดว่าแม่นางคงจะปกป้องพวกเราอย่างแน่นอน"

ชั่วขณะโหลชีก็หัวเราะทันที "เจ้านี่เป็นคนตรงไปตรงมา แต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมีความสามารถพอที่จะต่อต้านเขาเวิ่นเทียน? นอกจากนี้ เพื่อพวกเจ้าถึงกับต้องทำให้เขาเวิ่นเทียนขุ่นเคือง ข้าไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้น?"

"ไม่ยอมรับพวกเรา แต่แม่นางก็ทำให้เขาเวิ่นเทียนขุ่นเคืองแล้ว" เวิ่นเจี้ยนพูดต่อ "ครั้งก่อนที่น่าหลานตันเอ๋อร์กลับไปก็ได้พูดเรื่องแย่ๆของแม่นางมากมาย เทพธิดาทราบว่าแม่นางกับฝ่าบาทอยู่ด้วยกัน ไม่ว่ายังไงก็ไม่ปล่อยแม่นางไว้แน่นอน พาพวกเราทั้งสี่คนไปด้วย ก็แค่มีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาอีกสี่คนเท่านั้น และถ้าแม่นางรับพวกเราทั้งสี่คนไว้ จะรับใช้แม่นางอย่างซื่อสัตย์"

โหลชีเลิกคิ้วขึ้น ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "ดี พวกเจ้าติดตามข้า แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้าพวกเจ้าซื่อสัตย์ต่อข้าจริงๆ ข้าจะปกป้องพวกเจ้าด้วยชีวิต แต่ถ้าพวกเจ้าทรยศข้า ข้าจะให้พวกเจ้าตายอย่างน่าอนาถ"

"ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!"

หลังจากยอมรับทั้งสี่คนนี้แล้ว สิ่งแรกที่ทำให้โหลชีปวดหัวไม่ใช่เรื่องอื่น ก็คือเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งสี่คน

คงไม่สามารถพาผู้ชายเปลือยกายสี่คนไปทุกหนทุกแห่ง? แม้จะต้องเห็นจู๋ตลอดเวลานางก็ไม่สนใจ นางกลัวว่าถ้าเห็นมากไปต่อไปจะหมดความสนใจ

เฉิงสิบกับโหลวซิ่นมีเสื้อผ้าคนละสองชุด แต่ถ้าให้พวกเขาแล้ว พวกเขาจะไม่มีเปลี่ยน นอกจากนี้ แม้ว่าเสื้อผ้าจะเพียงพอ รองเท้าก็ไม่เพียงพอ

"ที่เจ้าสำนักเดือนหยินน่าจะมีเสื้อผ้ามั้ง"

ใบหน้าเวิ่นซูเริ่มแดง ไม่รู้ว่ารู้สึกอายหรือเกลียดชัง "ตอนที่เทพธิดาส่งพวกเรามาที่นี่ก็ให้แค่เสื้อคลุมเท่านั้น"

"นางคงไม่เอาเสื้อผ้าและรองเท้าของพวกเจ้าร่วมเดินทางไปด้วยมั้ง ไปดูที่พักที่พวกเจ้าเคยพักดีกว่า"

นางเดาว่าน่าหลานฮั่วซินน่าจะไปแล้ว และแน่นอนว่า เมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น กองไฟก็ดับแล้ว เวิ่นเจี้ยนและคนอื่นๆค้นหาสักพัก ในที่สุดก็พบเสื้อผ้าและรองเท้ายาวของพวกเขา และแม้แต่ดาบของพวกเขาก็ถูกทิ้งไว้ที่นี่

พวกเขาทั้งสี่คนแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ดูแล้วหล่อเหมือนกัน ถ้าเดินออกไปจะเป็นเหมือนมังกรและนกฟีนิกซ์ในฝูงชน อยู่ในเขาเวิ่นเทียนเป็นแค่องครักษ์เท่านั้น

"พวกเจ้ารู้ไหมว่างูยักษ์เย็นสารทฤดูเติบโตที่ไหน" โหลชีถาม

เวิ่นเจี้ยนพยักหน้า "พวกเราพอรู้ทิศทางคร่าวๆ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ"

"ถ้างั้นก็รีบไปกันเถิด"

เดิมทีในทีมมีเพียงสามคน แต่ตอนนี้ขยายเป็นเจ็ดคนแล้ว ในช่วงหลังเที่ยงคืนพวกเขาก็ไม่ได้พักผ่อน แต่เร่งรีบการเดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้

ในที่สุดเมื่อรุ่งสางก็พบร่องรอยทางผ่านของน่าหลานฮั่วซินและคนอื่นๆ โหลชีจึงบอกให้พักผ่อน

เวิ่นซูเวิ่นโม่ขอไปหาอาหารเพื่อให้อิ่มท้องก่อน เวิ่นเจี้ยนไปก่อไฟ เวิ่นฉินสับไม้ไผ่เพื่อไปตักน้ำ และตัดต้นฟาง ทุบปลายข้างหนึ่งให้อ่อนนุ่ม แล้วส่งไปให้โหลชี "เชิญแม่นางล้างหน้าแปรงฟัน" หลังจากพูดจบก็ไม่รู้ว่าเอาหวีมาจากตรงไหนเพื่อหวีผมให้โหลชี

"เฮ้ยอย่าๆๆ ข้าทำเอง" แม้ว่าเมื่อชาติก่อนไปที่ร้านทำผมช่างออกแบบทรงผมส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย แต่อยู่ตรงนี้ถ้าให้ผู้ชายหวีผมให้ตัวเอง โหลชีรู้สึกแปลกๆ

"ขอรับ" เวิ่นฉินถอยไปอยู่ข้างๆ

ตอนนี้เฉิงสิบและโหลวซิ่นไม่ต้องทำอะไรเลย ทั้งสองมองหน้ากัน

ในไม่ช้าเวิ่นซูและเวิ่นโม่ก็กลับมา ทั้งสองเก็บผลไม้หลายชนิด สีแดงสีเขียวและสีเหลือง ซึ่งดูแล้วน่ารับประทานมาก และใส่ในใบไม้ขนาดใหญ่ที่มีหยดน้ำติดอยู่

"แม่นาง พวกเราได้ล้างผลไม้แล้ว เชิญแม่นางล้างมือให้สะอาดแล้วชิม" มืออีกข้างหนึ่งของเวิ่นซูถือใบไม้อีกใบ ที่เต็มไปด้วยน้ำ และนำไปให้โหลชีเพื่อให้นางล้างมือ

อยู่ในตำหนักจิ่วเซียว แม้แต่เอ้อร์หลิงก็รู้นิสัยของนาง ก็ไม่ได้รับใช้นางอย่างละเอียดลออเช่นนี้ นี่เจี้ยนฉินซูโม่ทั้งสี่คนเป็นผู้ชาย แต่ว่า......

"พวกเจ้าอยู่ข้างกายน่าหลานฮั่วซินก็ปรนนิบัตินางเช่นนี้หรือ? ถามด้วยความงงงวยเล็กน้อย ถ้าเป็นเช่นนั้น น่าหลานฮั่วซินเป็นคนที่เอิกเกริกมากเกินไป

"ประมาณนี้แหละ แต่ข้างกายเทพธิดายังมีเฟิงฮัวเสวี่ยเยว่สาวใช้ทั้งสี่คน หวีผมและล้างมือพวกนางเป็นคนทำ" เวิ่นเจี้ยนพูด

โหลชีได้จินตนาการในขณะที่น่าหลานฮั่วซินกำลังทานผลไม้ชิ้นหนึ่ง รอบตัวต้องล้อมรอบด้วยกลุ่มคน บางคนปอกผลไม้ บางคนล้างมือให้นาง บางคนถือน้ำ บางคนถือผ้าขนหนูเตรียมเช็ดมือ......

คนแบบนั้นมีคุณสมบัติที่จะเป็นฮ่องเต้ เอิกเกริกมากไปหน่อย

นางล้างมือ หยิบผลไม้สีเหลืองอมส้มคล้ายสาลี่และกัดคำโตๆ ผลไม้ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยวน่ากิน และไม่ได้แตกต่างจากสาลี่

แค่สองสามคำโหลชีก็ทานผลไม้จนหมด จากนั้นยื่นมือไปหยิบข้างละหนึ่งลูกโยนให้เฉิงสิบและโหลวซิ่น "พวกเจ้าก็กินเถิด"

เมื่อพูดถึงพิษในตัวเฉินซ่านั้นต้องใช้ทั้งเวลานานใช้แรงงานใช้เงิน ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถรวบรวมได้ทั้งหมดไหม นับตั้งแต่ที่นางข้ามภพมาก็เริ่มมีดอกลึกลับ จากนั้นก็มุกน้ำตาตงไห่ และตอนนี้ก็งูยักษ์เย็นสารทฤดู ทุกอย่างเป็นของที่หายากและมีเพียงหนึ่งเดียวในโลกเท่านั้น มุกน้ำตาตงไห่ยังดีหน่อย มันบังเอิญอยู่ที่เหอชิ่งอ๋อง มิเช่นนั้นท้องฟ้ากว้างใหญ่ฝูงชนมากมายไม่รู้ว่าจะไปหาจากที่ไหน พวกเขาค้นหามาเนิ่นนานก็ได้ยาเพียงสามชนิดเท่านั้น งูยักษ์เย็นสารทฤดูนี้เป็นชิ้นที่สี่ และมันก็เป็นสิ่งที่หายากมาก

ถ้าน่าหลานฮั่วซินได้ จะถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของเฉินซ่า และมีพระคุณต่อตำหนักจิ่วเซียว นี่ถือว่าคือการต่อรองชนิดหนึ่ง เป็นการต่อรองที่ได้คะแนนเพิ่มขึ้น ถึงตอนนั้นถ้านางต้องการแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งพระสนม และเชื่อว่าเยว่และคนอื่นๆจะต้องสนับสนุน

แต่สิ่งที่โหลชีไม่เข้าใจคือ เฉินซ่ากับเขาเวิ่นเทียนแตกหักกันแล้วไม่ใช่หรือ? ถูกเขาเวิ่นเทียนไล่ออกจากสำนัก ด้วยความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของบุคคลนั้น เขาจะยอมให้ศิษย์พี่หญิงมาเป็นจักรพรรดินีหรือ?

นอกจากนี้ยังมีซู่หลิวอวิ๋น ได้ยินมานางฟ้าหลิวอวิ๋นสวยอันดับสองของโลก รองจากน่าหลานฮั่วซิน แต่เรื่องของความสวยงามต่างคนต่างมีความคิดที่แตกต่างกัน ต่างคนต่างมีความชอบของตัวเอง ถ้าจะเรียงลำดับหนึ่งสองสามสี่นั้นมันฝืนใจกันเกินไป

เมื่อคิดถึงซู่หลิวอวิ๋น โหลชีก็นึกถึงกลเครื่องจักรในป่าไผ่ เขาเฉินอวิ๋น เป็นไปได้ไหมที่นางเคยทำให้ขุ่นเคือง? หรือเป็นเพราะความหึงหวงของซู่หลิวอวิ๋น?

หากเป็นเช่นนี้ ถ้างั้นเฉินซ่าได้สร้างศัตรูให้กับนางกี่คน! และล้วนแต่เป็นศัตรูที่มีภูมิหลัง! ดังนั้น การไปจากเขาคงเป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางจะต้องไปดูงูยักษ์เย็นสารทฤดูสักครั้ง นางไม่ไว้วางใจน่าหลานฮั่วซิน และไม่ต้องการให้น่าหลานฮั่วซินได้สิ่งของนั้นแล้วนำมาและใช้เป็นเครื่องต่อรองในการบีบบังคับเฉินซ่า ถ้าสามารถแย่งชิงมาได้ นางหวังว่าตัวเองจะได้งูยักษ์เย็นสารทฤดู

ความภาคภูมิใจของผู้ชายคนนั้น นางไม่อยากให้ใครไปบีบบังคับ

ทั้งเจี้ยนฉินซูโม่ได้ทานยาแล้ว และโหลชีก็ทานไปหนึ่งเม็ด ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ดังนั้นจึงให้เฉิงสิบและโหลวซิ่นทานยาด้วย

เมื่อเข้าสู่ป่าดอกเมฆ กลิ่นหอมของดอกเมฆเข้มข้นขึ้นทันที ดอกเมฆเพียงช่อเดียวอาจมีกลิ่นหอมจางๆ แต่ในป่าดอกขนาดกว้าง กลิ่นหอมของดอกไม้ก็แผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง ไม่ว่ากลิ่นจะหอมแค่ไหน หากมันแรงเกินไปจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบาย ป่าดอกเมฆก็เป็นเช่นนั้น

ก่อนที่พวกเขาจะเดินไปไกล โหลวซิ่นก็ได้จามหลายครั้งแล้ว เฉิงสิบก็รู้สึกคันจมูกเล็กน้อย และพวกเขาก็เร่งความเร็วขึ้นทันที

แต่ยิ่งเข้าไปข้างในมากเท่าไหร่ หมอกก็ยิ่งหนาขึ้น และท้ายที่สุดความคมชัดในการมองเห็นก็ลดลง แม้แต่คนที่เดินอยู่ข้างกายก็มองไม่เห็น

บริเวณโดยรอบเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของผู้คนเท่านั้น

ขณะเดิน ใบหน้าของโหลชีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะนางได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของตัวเอง เสียงฝีเท้าของคนอื่นๆก็หายไป! ราวกับว่าในป่านี้เหลือนางเพียงคนเดียว

"เฉิงสิบ! โหลวซิ่น!"

นางร้องออกมา แต่ไม่มีใครตอบนางเลย ไม่มีสักคน โหลชีหยุดเดิน ด้านหน้าเป็นสีขาว ดูเหมือนจะเป็นหมอก เดิมทีนางไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่เมื่อนางเริ่มไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนอื่น นางจึงรีบจ้องมองและสังเกตอย่างรอบคอบ เมื่อเห็นสิ่งนี้ นางก็เหงื่อแตก และขนลุกไปทั่วร่างกาย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ