ตอนทานอาหารคืนนั้น หยุนเฟิงไม่ได้มาร่วมด้วย แต่กลับฝากความมากับเถ้าแก่ลั่ว
"คุณชายหยุนมีเรื่องด่วนเข้ามา ไม่ทันได้ร่วมรับประทานอาหารกับคุณชายเจ็ด วานให้ข้าน้อยบอกคุณชายเจ็ดสักคำ" เถ้าแก่ลั่วมองคุณชายที่เปลี่ยนเป็นชุดเสื้อคลุมสีดำแดงภายใต้แสงตะเกียง ในใจอดชื่นชมไม่ได้ คุณชายหยุนอ่อนโยน คุณชายเจ็ดท่านนี้กลับหล่อเหลาหรูหรา
สีดำแดงเช่นนี้ยิ่งเหมาะสมกับนางมากกว่าชุดขาวตอนกลางวัน และยิ่งเสริมใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดาของนางยิ่งขึ้นไปอีก
"ขอบใจเถ้าแก่ลั่วนัก"
พวกเขานั่งลงที่โต๊ะข้างหน้าต่าง เฉิงสิบรู้งานอดิเรกและความเคยชินของโหลชีแล้ว ของที่สั่งเป็นของขึ้นชื่อของเมืองลั่วหยางที่พวกเขาไม่เคยได้เจอหรือได้กินจากที่อื่นทั้งนั้น ไปถึงไหนก็กินที่นั่น จะทดลองลิ้มรสอาหารเลิศรสของใต้หล้า นี่เป็นคำขวัญของสายกินโหลชี
อาหารขึ้นโต๊ะเร็วมาก ดูแล้วก็น่าทานนัก
โหลชีพบว่า พอเวลานี้ออกมา ห้องโถงดูครึกครื้นกว่าตอนบ่ายมากนัก ผู้คนราวกับผุดออกมายังไงยังงั้น
"คุณชาย คุณชายหยุนช่างลึกลับนัก" เฉิงสิบพูดเสียงต่ำ หยุนเฟิงเป็นศิษย์คนโตของหยุนเสี้ยงหยางซึ่งเป็นเจ้าบ้านแห่งอุทยานเขาเฟิงหยุน แต่อุทยานเขาเฟิงหยุนถูกคนลอบเข้าไป ตัวหยุนเสี้ยงหยางตายในถ้ำหนอน ต่อมาทั่วทั้งอุทยานเขาเฟิงหยุนถูกทำลายลง ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ เขาดูจะมิสนใจเลยสักนิด แถมดูแล้วเขายังคุ้นเคยกับเมืองลั่วหยางมาก ไม่รู้ว่ามาทำอะไรที่นี่กันแน่
โหลชีพูดเสียงเรียบ "เขาทำเรื่องของเขา เราทำเรื่องของเรา กินเสร็จพวกเราไปโรงพรรณยากัน" เอาวัตถุดิบยามามากมายขนาดนี้ และไม่สามารถพกติดตัวได้ตลอดเวลา รีบขายเลยจะดีกว่า
"ขอรับ"
คืนนี้โหลชีจึงพาเฉิงสิบกับโหลวซิ่นไป ให้พวกถูเปินพักที่โรงเตี๊ยม ถ้าอยากออกไปเที่ยวก็ได้ ขอเพียงไม่ก่อเรื่องให้นางก็พอ
พวกนั้นไม่อยู่กินข้าวเลยด้วยซ้ำ ต่างพากันออกไปหมดแล้ว การเร่งเดินทางหลายวันนี้ทำพวกเขาเบื่อหน่ายเอามากๆ และยังไม่คุ้นเคยกับโหลชี นอกจากถูเปิน ที่เหลืออีกสี่คนพยายามเก็บกิริยาอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าโหลชี
แต่พวกเขายังไม่ทันกินเสร็จ ก็เห็นถูเปินพาหนึ่งในนั้นที่ฉายาว่าเจ้าลิงเข้ามา เจ้าลิงนี่คือเจ้าผอมสูงนั่นในตอนที่พวกเขากำลังจะปล้นโหลชี ได้ยินคำพูดของโหลชีแล้วรู้สึกสนุก เลยเสนอให้ว่าถ้าต่อไปจะปล้นใครให้ทำตามที่นางพูด เพราะเขาผอมมากแต่คล่องแคล่ว พวกถูเปินเลยเรียกเขาว่าเจ้าลิง ชื่อของเขากลับไม่มีใครเรียก
"คุณชาย!"
พวกถูเปินพาเจ้าลิงวิ่งเล่อล่าเข้ามา ดูร้อนใจมาก
"รีบร้อนอะไรกัน?" โหลชีเหล่พวกเขาหนึ่งที
"ตอนนี้โรงพรรณยากำลังรับซื้อยาราคาสูงอยู่ ตอนนี้ทางนั้นกำลังครึกครื้นกันเลย ได้ยินว่าจวนหานขอร้องโรงพรรณยาช่วยพวกเขาหาวัตถุยาห้าชนิดฉับพลัน ข้าน้อยเห็นมีหลายคนไปขายยา ที่นั่นบอกว่าต่อมาสามวันนี้จะไม่มีคน ดังนั้นจะไม่รับยาจากภายนอกแล้ว ต้องทำตามที่ จวนหานบอกให้เสร็จก่อน!"
เสียงถูเปินไม่ได้จงใจทำเสียงต่ำ ดังนั้นคนมากมายในห้องโถงต่างได้ยินกันหมด
"อะไรนะ? อีกสามวันต่อมาไม่รับยาจากภายนอก? จะทำยังงั้นได้ยังไงกัน ข้ามาเพื่อขายยาโดยเฉพาะเลยนะ!" ผู้ชายคนหนึ่งร้องขึ้นอย่างตกใจ
"ใช่ใช่ใช่ ข้าก็ด้วย เจ้าลองว่ามาสิ มันเรื่องอะไรกันน่ะ?" มีคนลุกขึ้นมาถามถูเปิน
ถูเปินไม่คิดว่าจะมีคนมากมายขนาดนี้มองตนเอง ไม่ใช่สายตาแบบที่ไว้มองขอทานอย่างแต่ก่อนด้วย และก็ไม่ใช่สายตาหวาดกลัวตอนพวกเขาเข้าปล้นด้วย เขามองเสื้อผ้าสะอาดสะท้านบนตัวเขากับเจ้าลิง ยืดเอวตรง หันมองโหลชีหนึ่งที ไม่เห็นนางขัดขวางห้ามปราม ถึงพูดเสียงดังว่า "พวกเราพี่น้องได้ยินมาว่า โรงพรรณยายินดีต้อนรับทุกท่านไปรับภารกิจ ช่วยหายาหาชนิดนั่น ไม่ว่าสุดท้ายจะหาได้หรือไม่ จวนหานก็จะให้ค่าตอบแทนแน่นอน คิดซะว่าเป็นค่าใช้จ่ายพักแรมค่าอาหารที่อยู่ในเมืองลั่วหยางสามวันนี้ ถ้าเจอตัวยาที่พวกเขาบอก ยาอื่นที่เอาไปด้วย โรงพรรณยาก็จะรับซื้อด้วยราคาที่สูงกว่าราคาเดิมสามเท่า"
คำพูดนี้ออกมา ทุกคนพากันฮือฮา พวกที่เดิมทีจะมาขายยาต่างมีสีหน้ายินดีปรีดา โหลชีเลิกคิ้ว นางทึ่งกับวิธีการของจวนหานกับโรงพรรณยาพอดูเลย พอทำแบบนี้ สามวันนี้ต่อให้ไม่รับยาอย่างอื่น คนพวกนี้ก็ไม่รู้สึกไม่พอใจแล้ว แถมพวกเขายังจะพยายามไปหายาห้าชนิดที่จวนหานต้องการอย่างสุดความสามารถอีก ต่อให้หาได้แค่อย่างเดียวก็ยังดี จะช่วยทำให้ยาที่พวกเขาพกมาแต่เดิมได้ขายไปยังโรงพรรณยาในราคาที่สูงขึ้นสามเท่าด้วย แบบนี้ภายในสามวันนี้มีหรือจะมีคนไปขายยาพวกนั้นก่อน? ก็ต้องรอดูก่อนสิว่าจะมีโอกาสได้เงินสามเท่าหรือเปล่า
"สหายท่านนี้ ยาห้าชนิดที่จวนหานต้องการคืออะไรล่ะ?" มีคนถามออกมาอีก พอถูเปินกับเจ้าลิงได้ยินคำถามนี้ต่างพากันทำหน้ามุ่ย
"คุณชาย พวกเราไม่รู้หนังสือ--" ตอนอยู่หน้าประตูโรงพรรณยา มีชื่อยาห้าชนิดเขียนไว้อย่างชัดเจน แต่พวกเขาอ่านไม่ออกนี่นา เพื่อจะรีบกลับมารายงาน กลัวพวกโหลชีคว้าถุงยาใหญ่ไปเสียเที่ยว พวกเขาเลยไม่ได้ถามคนอื่นด้วย
คนอื่นพอได้ยินอย่างนั้น ก็พากันคิดเงินออกไป
"ไปไปไป พวกเราไปดูกันเอง"
พริบตาเดียวคนในห้องโถงหายไปกว่าครึ่ง
เฉิงสิบเองยังอึ้ง "ไม่คิดว่าคนมากมายขนาดนี้จะพุ่งมาที่โรงพรรณยากันนะ" คนแก่ที่อยู่ข้างๆเอ่ยแทรกขึ้น "นี่ยังเป็นฤดูหนาวนะ ถ้าฤดูอื่นล่ะก็คนมาเยอะกว่านี้อีก"
"งั้นโรงพรรณยารับซื้อยามากมายขนาดนี้ ขายได้หมดรึ?"
พอคิดถึงตรงนี้ โหลชีก็นึกถึงราชันอินทรีเขาหิมะนั่นที่ตงสือยู่ให้ ก่อนหน้านี้น่าหลานฮั่วซินก็ขี่อินทรีเป็นพาหนะ นางจะลองดูดีไหมนะ? ราชันอินทรีเขาหิมะน่ะเก่งกาจกว่าอินทรีตายของน่าหลานฮั่วซินเป็นไหนๆ รูปร่างก็ใหญ่พอ ขึ้นไปนั่งสามคนก็ไม่มีปัญหา!
น่าเสียดายที่ตอนออกมานางไม่ได้พามาด้วย
โหลชีตัดสินใจว่าต่อไปจะหาโอกาสคุยกับเฉินซ่า ให้ยกราชันอินทรีเขาหิมะให้นาง
เฉิงสิบกับโหลวซิ่นสบตากัน รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย อันที่จริงพวกเขาไม่อยากให้แม่นางทำตัวราวกับคนไร้บ้านเยี่ยงนี้ พวกเขาหวังว่าไม่ว่าจะนางจะไปที่ใดก็ตาม แต่อย่างน้อยถือตำหนักจิ่วเซียวเป็นบ้านตน ถึงสิ้นปีก็รีบกลับไปอยู่ร่วมกับฝ่าบาท
บนถนนคนเยอะมาก ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ระหว่างมุ่งหน้าไปยังโรงพรรณยา
ในฐานะโรงพรรณยาที่เป็นประกายเจิดจ้าขนาดนั้น ย่อมต้องอยู่บนถนนเมืองลั่วหยาง เดินไปสักครู่ก็ถึงแล้ว โครงสร้างของโรงพรรณยาเห็นได้ชัดกว่าใหญ่กว่าร้านค้าสองข้างทางมาก มีสามชั้น แผ่นโลหะขนาดใหญ่ที่ประตูดูยิ่งใหญ่นัก มีคำว่าทองสามตัวเขียนอยู่ใหญ่ๆ โรงพรรณยา มุมขวาแกะสลักเห็ดหลินจือที่งดงามไว้หนึ่งอก
ตอนนี้ทางเข้าโรงพรรณยาแออัดไปด้วยผู้คน ด้านหน้ามีโต๊ะสามโต๊ะต่อเรียงกันเป็นโต๊ะยาว บนโต๊ะมีผ้าสีฟ้าปูอยู่ ชายสี่คนในชุดเหมือนกันยืนเรียงเป็นหน้ากระดาน ทำหน้าที่จดบัตรคิว และพอจดบัตรคิวแล้วจึงจะพาคนเข้าไป ซ้ายขวาก็มีองครักษ์ที่กล้าหาญและทรงพลัง หนึ่งมาควบคุมการทำงาน สองก็ป้องกันคนมาก่อเรื่อง
โหลชีเห็นถูเปินกับพี่น้องอีกสามคนแออัดกันอยู่ในฝูงชน นางให้เจ้าลิงไปเรียกพวกเขาสามคนมา พอสามคนนั้นวิ่งเข้ามาหา ก็ยื่นป้ายไม้แผ่นหนึ่งให้นาง
"คุณชาย พวกเราก็ไปรับภารกิจกันแล้ว"
พวกเขาหวาดหวั่นเล็กน้อย กลัวโหลชีจะว่าพวกเขาทำเรื่องโดยพลการ แต่พวกเขารู้สึกว่ารับมาก็ไม่ขาดทุน ถ้าไม่รับมาถึงเวลาไม่ทันการก็หมดแล้ว
โหลชีมอง "ไม่ใช่ว่าคนที่มีวัตถุดิบยาจะขายถึงสามารถขอป้ายได้รึ?" ไม่ได้มาซื้อขายวัตถุดิบยา โรงพรรณยาก็ไม่มีทางโง่ขนาดให้ป้ายมาให้พวกเขามาขอรับค่าที่พักเอาฟรีๆหรอก จะว่าไปแล้วก็เป็นมาตรการเพื่อปลอบใจพวกพ่อค้ายารายย่อยที่จะมาขายยาเท่านั้นเอง
พอได้ยินคำถามจากนาง ชายผู้มีฉายาว่ามนตรีพูดอย่างเก้อเขินว่า "คุณชาย ข้าออกความคิดเองขอรับ ไปซื้อยาจากร้านยาอื่นมาก่อน..."
นี่คือเสียเงินไปซื้อวัตถุดิบยา มาเป็นยาที่ตนจะขาย จากนั้นรับป้ายมา
โหลชีเลิกคิ้วมอง รู้สึกคนนี้มันสมองไม่เลว ต่อให้ถึงเวลานั้นพวกเขาหาตัวยาที่จวนหานต้องการไม่เจอ แต่ยาพวกนี้อีกสามวันก็สามารถขายให้กับโรงพรรณยาอยู่ดี ถึงราคาจะต่ำกว่าที่พวกเขาไปซื้อจากร้านยาเล็กๆข้างนอก แต่ก็สามารถได้รับค่ากินอยู่สามวันนี้ได้ แบบนี้พอคิดดูแล้วถือว่ากำไร ก็คือไม่รู้ว่ามีคนอื่นใช้วิธีนี้ด้วยไหม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ