"เหตุใดไม่มีป้ายแล้วล่ะ?"
"ขออภัยทุกท่าน ครั้งนี้พวกเราทำป้ายมาเพียงสามสิบป้ายเท่านั้น ผู้ที่มาช้าก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว หากทุกท่านต้องการจะขายวัตถุยา มาใหม่ได้ในอีกสามวันให้หลัง"
ทางนั้นยังมีอีกสิบกว่าคนเริ่มเอ็ดตะโรโวยวาย แต่ไม่นานก็ยอมแพ้ เพราะจำนวนคนที่ได้ป้าย บวกกับมีองครักษ์อยู่ที่นี่ โรงพรรณยาเองก็มีเบื้องหลัง พวกเขาก็แค่พ่อค้าขายยารายย่อย มีหรือจะกล้าปะทะกับร้านขายยาใหญ่อย่างนี้จริงๆ? ได้แค่จากไปอย่างจำยอม
"พวกเจ้าทำดีมาก" คราวนี้โหลชีเอ่ยชมเชยออกมาเลย
พอรับป้ายมา นางก็เดินเข้าไปดูประกาศแผ่นนั้นที่ติดหน้าประตู ด้านบนเขียนชื่อของตัวยาทั้งห้าเอาไว้
"หญ้าเทียนจี เห็ดหลินจือพันปี ร้อยสายน้ำผึ้ง พรุนม่วง ใบมังกร"
พอโหลชีเห็นชื่อยาก็แอบลิงโลด บังเอิญจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะนางไปหุบเทพมารมา ของพวกนี้ก็จะไม่มีเอาจริงๆ แต่ตอนนี้ที่นางอยากพูดคือ นางมีจริงๆ! ถึงจะไม่มีครบห้าชนิด แต่ก็มีถึงสามชนิด
หญ้าเทียนจี เห็ดหลินจือพันปี พรุนม่วง สามอย่างนี้นางมีหมด และไม่ได้มีแค่ชุดเดียวด้วย
"งั้นคนพวกนั้นเข้าไปทำอะไรกัน?" โหลชีถอยออกมายืนดูพลางถามมนตรีนั่น
มนตรีเห็นโหลชีถาม รีบตอบ "เรียนคุณชาย พวกเขาไม่มีวัตถุยาห้าอย่าง เพียงเข้าไปรับรองว่ามีหนทางหายาทั้งห้าได้ ก็คือเข้าไปต่อรองราคาต่อหน้า"
โหลชีดวงตาเป็นประกาย "ไป พวกเราก็เข้าไปกัน"
"คุณชาย ต้องมียาหนึ่งในห้าอย่างถึงจะได้--" มนตรีคิดจะห้าม แต่ก็ไม่กล้า เมื่อครู่เขาได้ยินพวกคนที่มาขายยาพูดกันว่า ยาทั้งห้านี้เป็นยาหายาก หนึ่งในนั้นหลินจือน่ะพวกเขารู้ แต่หลินจือสิบปีหาไม่ยาก หลินจือร้อยปีบางทีตัวจวนหานเองก็มี แต่ว่าเห็ดหลินจือพันปีนี่--
พอดีมีพ่อค้าขายยามือฉมังคนหนึ่งข้างๆร้องขึ้นมาว่า "ล้อเล่นกระมัง ที่ไหนจะมีเห็ดหลินจือพันปี? พันปี ถ้ามีก็กลายเป็นภูตกันหมดแล้ว!"
คำพูดนี้เรียกร้องเสียงพยักเพยิดจากผู้คนที่ยังรายล้อมไม่ได้ออกจากที่นี่ "ก็ใช่ไง อย่าว่าแต่เห็ดหลินจือพันปีเลย ตัวยาอีกสี่อย่างข้าก็เคยได้ยินแค่พรุนม่วง แต่พรุนม่วงอาจจะหาเจอได้ในป่าลึกทางด้านเหนือ หายากยิ่งนัก หลายสิบปีมานี้ข้าเคยได้ยินว่ามีพรุนม่วงปรากฏสู่ชาวโลกแค่ชิ้นเดียว"
"เรื่องนี้ข้ารู้ข้าก็รู้ ได้ยินว่าห้าปีก่อนตอนยู่ไท่จื่อยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นไท่จื่อเคยถวายแด่ฮ่องเต้ และเพราะพรุนม่วงชิ้นนี้ ฮ่องเต้ถึงแต่งตั้งเขาเป็นไท่จื่อ!"
"ใช่ใช่ ดังนั้นพรุนม่วงนี่ราคาแพงยิ่งนัก! มีหรือจะหาได้ง่ายขนาดนั้น ข้าเคยได้ยินชื่อหญ้าเทียนจี หญ้าชนิดนั้นเติบโตในถ้ำของภูเขา ทุกวันต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงพอเหมาะ พวกเจ้าลองพูดสิ มีสถานที่แบบนั้นหรือไม่? ในเมื่ออยู่ในถ้ำบนภูเขา และต้องมีน้ำหล่อเลี้ยงทุกวัน เงื่อนไขในการเติบโตเช่นนี้ยากนัก จะไปหาที่ไหนล่ะ!"
"ใช่ นี่มันเป็นตัวยาที่ไม่มีทางหาให้ครบได้นี่นา และไม่รู้ว่าจวนหานต้องการยานี้ไปทำอะไร!"
โหลชียืนฟังคนพวกนี้วิพากษ์วิจารณ์อยู่ข้าวๆ แทบจะเก็บรอยยิ้มไม่ได้แล้ว
นางไม่คิดเลยว่าพรุนม่วงกับหญ้าเทียนจีนี่จะหายากขนาดนี้ นางไม่รู้จักพรุนม่วง มันเป็นพันธุ์ไม้ผลเล็กๆชนิดหนึ่ง ด้านบนแตกลูกเป็นผลไม้ทรงกลมสีม่วงสักเจ็ดแปดผลที่เจอในหุบเทพมารตอนนั้น ถึงนางจะไม่รู้จัก แต่อาศัยประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับวัตถุยาสิบกว่าปีของนาง แค่ได้กลิ่นก็วิเคราะห์ได้แล้วว่า ผลไม้ชนิดนี้ต้องมีคุณค่าทางยาแน่ ดังนั้นเลยเด็ดกลับมาหมดเลย ต่อมาเฉิงสิบก็เพราะได้ยินเรื่องยู่ไท่จื่อ เลยคาดเดาได้ว่า นี่น่าจะเป็นพรุนม่วง
ในถุงผ้านางยังมียาอีกมากที่ตนเองไม่รู้ว่าคืออะไร แต่จากประสบการณ์ในการวิเคราะห์คุณค่าทางยาแล้ว เดิมนางคิดจะขายทั้งหมด ยังมีหญ้าเทียนจีนั่น ที่บังเอิญมากคือตอนแรกในมุมหนึ่งของถ้ำบนภูเขาของจิ้งจอกแสงจันทร์ม่วงนั่นก็มีอยู่กลุ่มใหญ่! อยู่ในถ้ำบนภูเขา และมีไอน้ำรายล้อมทุกวัน มันพอดีกับเงื่อนไขในการเติบโตของหญ้าเทียนจี นางไม่คิดว่าเดิมหญ้าเทียนจีจะแพงมีราคาขนาดนี้!
เดิมอยากจะขายทั้งหมด แต่ตอนนี้ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนพวกนี้ นางเปลี่ยนความคิดแล้ว ของพวกนี้ในเมื่อราคาแพงเยี่ยงนี้ นางขายหมดเลยดูจะขาดทุนไปหน่อย ใครก็ไม่รู้ว่าต่อไปยาพวกนี้จะราคาขึ้นสูงถึงเท่าไหร่ เป็นของที่น่าจะเอาใส่เติมเต็มในท้องพระคลัง
โหลชีคิดถึงเฉินซ่าทันที
"ไป พวกเรากลับกันก่อน"
คราวนี้นางไม่รีบร้อนจะขายวัตถุยาพวกนี้แล้ว นางมีไอเดียที่ดีกว่านั้น
พอกลับไป โหลชีเอายาในถุงผ้าใหญ่ออกมาจัดเรียงใหม่ ชนิดไหนต้องขาย ชนิดไหนเก็บไว้ก่อน
จากนั้นนางหยิบพู่กันปากกาออกมาเขียนจดหมายให้องครักษ์เยว่หนึ่งฉบับ และให้เฉิงสิบไปส่ง
รอจนนางจัดการเสร็จ ฟ้าก็มืดแล้ว และห้องข้างๆของหยุนเฟิงก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว
นางเลิกคิ้วสงสัย หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็ขึ้นเตียงหลับเลย
กลางดึกในยุคโบราณคือความเงียบ ถ้าไม่ได้พักอยู่ติดกับหอนางโลม ด้านนอกแทบจะไม่มีเสียงอะไรเลย เงียบมาก โหลชีไม่นานก็หลับเลย
หมอกหนาตรงหน้า เด็กสาวคนหนึ่งนั่งบนเรือน้อย ค่อยๆไหลไปตามน้ำ นางกำลังฮัมเพลงเบาๆ
ตอนนี้โหลชีรู้ว่าตนเองกำลังฝันแล้ว เพียงแต่นางไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ฝัน--
ในตอนนี้เองนางเห็นเฉินซ่า เขาเดินออกมาจากหมอกหนาอีกด้าน เดินเข้าไปหาสาวน้อยคนนั้น นางเห็นแววยินดีในสายตาเขา นางไม่เคยเห็นเฉินซ่ามีแววตาแบบนี้มาก่อน อดตะลึงไม่ได้
"ในที่สุดข้าก็ฝันเห็นเจ้าอีก"
แปลว่าอะไร? อีก? เขาคงไม่ใช่จะบอกว่า เคยฝันเห็นนางบ่อยๆหรอกนะ?
ตำหนักจิ่วเซียว ตำหนักสาม ห้องบรรทมของจักรพรรดิ
"นายท่าน เชิญขอรับ" หมอเทวดายกถ้วยสีขาวเข้ามา พอดมดูก็ได้กลิ่นเลือดจางๆและมีกลิ่นยาด้วย เฉินซ่าขมวดคิ้วขึ้นมา
เขามองดูหมอเทวดา และหันมองยาเลือดในชามอีกที ความโกรธพลันปะทุขึ้นมาทันที
"หมอเทวดา เจ้าบอกข้าสิว่า โหลชีให้เลือดไว้ครั้งก่อนเท่าใดกันแน่?"
ก่อนนางจะจากไปก็ให้เลือดให้เขาชามหนึ่งแล้ว จากนั้นเป็นเดือนเพ็ญสองครั้ง หมอเทวดาก็ยกยามาหนึ่งชามแบบนี้ ตอนนี้เป็นเดือนเพ็ญครั้งที่สามแล้ว เขายังมียาเลือดอยู่อีก! แสดงว่าตอนนั้นโหลชีให้เลือดไว้เท่าใดกัน?
สมองผุดภาพใบหน้าซีดเผือดของโหลชี เฉินซ่ากัดฟันกรอด
นางต้องการไปจากเขาเพียงนี้รึ?
เฉินซ่าคิดมาตลอดว่า พวกเขาผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน พวกเขาเองก็เคยเปิดเผยความในใจต่อกัน นางน่าจะอยู่ข้างกายเขาตลอดถึงจะถูก เขาไม่เคยสนใจหรือให้ความสำคัญกับสตรีใดเยี่ยงนี้มาก่อน เขาไม่เคยแสดงความในใจต่อสตรีคนที่สองแบบนี้ นางน่าจะเข้าใจเขาถึงจะถูกสิ
เขาคิดว่า นางจะเป็นของเขา
ไม่ นางควรจะเป็นของเขา
แต่เหตุใดหัวใจถึงเจ็บปวดเพียงนี้เล่า?
ข้างกายของเฉินซ่าไม่เคยมีสตรีมาก่อน องครักษ์เสวี่ยชอบบอกว่านางเป็นเพื่อนคุ้นเคยกันแต่เด็กของเขา อันที่จริงเขาไม่เคยใส่ใจนางเลย และยิ่งไม่เคยพูดคุยกับนางนอกเหนือจากเรื่องราชการเลยแม้เพียงครึ่งคำ เขาไม่รู้ว่าโหลชีคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมนางต้องจากไป? พอเขาคิดว่านางไม่ยินดีจะอยู่ข้างกายเขา ในใจก็รู้สึกราวกับมีเข็มร้อนไฟเผาคอยทิ่มแทงก็ไม่ปาน?
ความรู้สึกเช่นนี้เฉินซ่าไม่เข้าใจจริงๆ
นางต้องการอะไร?
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินซ่าคิดถึงปัญหานี้
หมอเทวดาตัวสั่น ชามยาในมือก็โดนเฉินซ่าคว้าไปอย่างไว น่าตายนัก เกิดยาสาดออกมาจะทำอย่างไรเล่า?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ