ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 35

เขาตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้อารมณ์โหลชีดีขึ้นนิดหน่อย นางดูออกว่า พวกอิงกับเยว่ต่างสงสัยนางแล้ว เพราะทุกอย่างมันบังเอิญมากเกินไป บังเอิญจนตัวนางเองยังแปลกใจ

เฉินซ่านอนอยู่บนเตียง มองดูสีหน้าไม่สู้ดีของนางแล้ว ถามขึ้นว่า "เจ้ากำลังโกรธ?

คำถามนี้จุดไฟชนวนนางให้ระเบิด นางหันไปตะคอกเขาราวกับระเบิดดังว่า "ข้าไม่ควรโกรธรึ? ข้ากำชับเจ้าหนักหนาว่ากระไร? อย่าใช้กำลังภายใน อย่าใช้กำลังภายใน? สุดท้ายเจ้าหมุนตัวแล้วใช้เลย! เจ้าอยากตายมากนักรึ? หา?"

เฉินซ่ามองดูท่าทางโกรธจัดราวฟ้าผ่าของนาง เดิมทีท่าทางไม่รู้ที่ต่ำที่สูงต่อหน้าเขาเยี่ยงนี้ควรจะโดนเขาฆ่าทิ้งเลยมากกว่า หากน่าแปลกนักที่เขากลับไม่โกรธเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกว่าชอบนางในท่าทีเยี่ยงนี้ยิ่งนัก! ชอบ ชอบยิ่งนัก อันที่จริงแล้วยังมิเคยมีผู้ใดอาจหาญกล้าโกรธกับการกระทำของเขามาก่อน หนำซ้ำยังเป็นการโกรธเพราะหวังดีกับร่างกายเขาด้วย

ความรู้สึกเช่นนี้มันดียิ่งนัก อืม เขาชอบมัน

"เจ็บหน้าอก"

เขาทำราวกับมิได้ยินนางตะคอกด่ายังไงยังงั้น กลับพึมพำออกมาเพียงสามคำ จากนั้นเขาเห็นนางเดินเข้ามาหาอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน และกระชากเสื้อเขาออกอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นขมวดคิ้วเมื่อเห็นแผงอกเขา

"ใช้กำลังภายในแล้วจะเป็นเยี่ยงใดรึ?" เขาถาม

"จะเป็นเยี่ยงใดงั้นรึ?" โหลชียิ้มเย็น "เดิมมีเวลาสามวันให้ข้าไปหาของมาแก้คำสาป ตอนนี้กลับเหลือเพียงสิบห้าชั่วยามเท่านั้น หากมิทันการหรือหามิเจอ เจ้าจะตาย ต่อให้เป็นเทพเซียน ก็ช่วยเจ้าไม่ได้"

นางตอบอย่างมิเกรงใจสักนิด

สิบห้าชั่วยาม ไม่ถึงวันครึ่งด้วยซ้ำ

"ว่ามาเถิด ต้องการสิ่งใด?"

"หญ้าหยินหยางบึงน้ำเย็น"

"หญ้าหยินหยางบึงน้ำเย็น? สิ่งใดกัน?" เขามิเคยได้ยินมาก่อนเลย

โหลชีรู้ว่าเวลามีไม่มาก เลยไม่เสียเวลาชักช้าอีก นางข่มกลั้นความโกรธในใจพลางว่า "หญ้าน้ำที่ขึ้นอยู่ตามบึงน้ำเย็น ด้านหนึ่งสีแดง ด้านหนึ่งสีเขียว ปกติมักจะเห็นตามบึงน้ำเย็นที่มิเห็นเดือนเห็นตะวัน ท่านเพียงบอกข้ามาว่า สถานที่ไหนที่ใกล้ที่นี่ที่สุดและมีบึงเยี่ยงนั้นก็พอ"

มีของเยี่ยงนี้ด้วย? หญ้าน้ำสามารถแก้คำสาปให้เขาได้?

"ขอเพียงเป็นบึงน้ำเย็นจะมีของสิ่งนี้แน่นอน?" เขาถามพลางส่งสัญญาณลับ ชายชุดเทาเข้มปิดหน้าปรากฏร่างออกมาราวกับออกจากเงา

โหลชีเลิกคิ้ว นี่คือองครักษ์ลับใกล้ชิด? ดูท่า จะมีสิ่งที่เทียนยีไม่รู้อยู่นะ

มองเห็นสายตานาง เขากลับยอมอธิบายอย่างยากจะได้เห็นว่า "พี่น้องฝาแฝดของเทียนยี ชื่อเทียนอิ่ง" จากนั้นเขาหันไปสั่งว่า "พานางไปบึงโยวถาน"

"บึงโยวถาน?"

"อืม บึงโยวถานเป็นบึงน้ำเย็นแห่งหนึ่งในพั่วอวี้ อยู่ในหุบเขา ปกติมิได้เห็นดวงจันทร์เห็นตะวัน ที่นั่นน่าจะตรงกับเงื่อนไขของเจ้า"

โหลชีไม่รอช้า หมุนตัวเตรียมไป

แต่ข้อมือพลันโดนรั้งไว้ นางหันกลับมา สบเข้ากับสายตาเคร่งขรึมของเขา

"ต่อให้หามิพบ ก็กลับมา" เขาพูดเสียงเรียบ

โหลชีอึ้งจนลืมตอบ รอจนเห็นแววโกรธในดวงตาเขา นางจึงได้สติ เบ้ปากตอบว่า "เจ้าค่ะ นายท่าน ข้าน้อยรับทราบแล้ว!"

เป็นนางกำนัลของเขา คงหาเรื่องหนีหายสาบสูญไปง่ายๆ ไม่ได้หรอกมั้ง

เรื่องมากจริง ยังต้องกำชับนางอีก

"บึงโยวถานมิค่อยมีคนไป ข้าพบเจอที่นั่นโดยบังเอิญ ครานั้นมิได้พินิจดูให้ละเอียด มิรู้ว่าจะมีอันตรายอันใดไหม"

"พอแล้วพอแล้ว ท่านให้องครักษ์ลับของท่านไปปกป้องข้าแล้วมิใช่รึ? จะอย่างไร หากมีอันตราย ข้าจะรีบหนีแน่นอน ให้เขาขวางไว้ข้างหน้า ยังไงซะ ต่อให้ต้องเสียสละเขา จะไม่ยอมเสียสละตัวข้าเองเป็นแน่"

ถึงเทียนอิ่งจะมิได้มีอารมณ์ใดมาก แต่พอได้ยินคำนี้ยังอดไม่อยู่กระตุกมุมปาก

แววตาเฉินซ่ามีประกายขบขัน

"สิ่งที่ท่านต้องทำคือนอน จะนอนหลับหรือไม่ก็ดี นอนลงซะ" โหลชีกำชับเขาเช่นกัน "จำไว้ห้ามใช้กำลังภายในอีก งดเนื้อ งดผู้หญิง"

"เจ้าพูดมากอย่างนี้กับทุกคนหรือ?"

"เหอะ ข้าไม่ได้ว่างนะ"

เฉินซ่ามองตามแผ่นหลังนางที่จากไป มุมปากพลันยิ้มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว อืม พอใจ มันคือความพอใจ

ป้ายคำสั่งยังอยู่ที่นาง จะออกจากตำหนักจิ่วเซียวเรียกได้ว่าไหลลื่นผ่านตลอด และเทียนอิ่งพามาให้นางคือท่าเสวี่ย ม้าเหงื่อโลหิตตัวนั้นที่นางขี่มาก่อน

นางชอบองครักษ์อิง รู้สึกว่าองครักษ์อิงช่างหล่อเหลาไร้ใครเทียม!

"เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่?" ถึงองครักษ์อิงจะแอบตกใจ แต่สิ่งแรกที่คิดมิใช่ไปตามจับโหลชี แต่เป็นรีบรุดไปตำหนักสามดูเฉินซ่า แต่นางกำนัลตำหนักสองมาทำอะไรที่ตำหนักหนึ่งดึกดื่นเยี่ยงนี้?

"องครักษ์เสวี่ยสั่งข้าให้คอยจับตาดูโหลชีเจ้าค่ะ!" เอ้อร์อินยังคงภูมิใจกับหน้าที่นี้ยิ่งนัก นางเองได้จังหวะพูดว่าโหลชีเป็นไส้ศึกตอนองครักษ์เสวี่ยบ่นพึมพำเท่านั้น และแสดงตนว่าอยากช่วย สุดท้ายองครักษ์เสวี่ยเห็นด้วยจริงๆ นางรู้สึกว่าตนได้รับหน้าที่สำคัญ! จะต้องได้เข้าตำหนักสามแน่! เยี่ยงนั้นรออีกครึ่งเดือนองครักษ์เสวี่ยกลายเป็นพระสนม นางคอยรับใช้ให้ดี ต่อไปองครักษ์เสวี่ยช่วยพูดจาให้ ไม่แน่นางอาจจะได้เป็นเมียน้อยขององครักษ์อิงก็เป็นได้!

"เหลวไหล!"

แต่ทว่า องครักษ์อิงกลับมิได้มองนางด้วยสายตาชื่นชม แต่เป็นสะบัดผ้าคลุมเดินก้าวเท้ายาวเข้าไป พริบตาเดียวก็มิเห็นแม้แต่เงาแล้ว

ไม่ว่าตำหนักจิ่วเซียวจะอึกทึกเพียงใด โหลชีกับเทียนอิ่งทะยานลงเขาไป เสียงฝีเท้าม้าควบกล่ำ ย่ำไปในความมืด นางจะต้องไปนำหญ้าหยินหยางบึงน้ำเย็นกลับมาก่อนเที่ยงตรงพรุ่งนี้ มิเช่นนั้นเฉินซ่ามิรอดแน่

ไม่รู้ว่าเขาจะรู้บ้างไหมว่ามันร้ายแรงแค่ไหน ยังทำหน้าเฉยชาอยู่นั่น

พอคิดว่าตอนนี้บนไหล่นางแบกชีวิตผู้ชายคนหนึ่งไว้ โหลชีรีบควบม้าเร็วกว่าเดิมในทันที

กลางดึก ฝีเท้าม้าย่ำไปในความเงียบเหงาของถิ่นป่าเถื่อนที่เงียบสงบ ทำเอาฝูงนกที่เกาะบนต้นไม้ตกใจไปตามๆ กัน เหล่ากาพากันร้องระงม ทำเอาบรรยากาศแปลกประหลาดเกิดกับค่ำคืนอย่างนี้

พระจันทร์หลบวาบหายเข้าในหมู่เมฆ ภาพเบื้องหน้าพลันมืดลง

เทียนอิ่งหยิบหินไฟออกมา เขาจุดคบไฟอย่างเชี่ยวชาญ นำทางส่องแสงทางข้างหน้า

"แม่นางโหล บึงโยวถานอยู่ในป่า ม้าเข้าไปไม่ได้ ขอให้ลงจากม้าด้วยขอรับ"

โหลชีเองมิได้พิรี้พิไร ลงจากม้าทันที ตบสะโพกของท่าเสวี่ยเบาๆ  พลางว่า "หาที่พักกินหญ้าเองเลยนะ พรุ่งนี้ยังต้องลำบากเจ้าอีก!"

หัวของท่าเสวี่ยถูกับแขนนาง ประหนึ่งฟังคำพูดของนางเข้าใจ มันมีราศีมาตั้งแต่เกิดในหมู่ม้าด้วยกัน ม้าของเทียนอิ่งเดินตามมันไปเฉยๆ

"ไปเถิด" โหลชีลูบช่วงเอว และหันไปบอกเทียนอิ่ง

"ขอแม่นางโหลตามข้าน้อยมา" เทียนอิ่งเดินนำหน้าส่องแสงไฟไปที่ทางด้านหน้า อันที่จริงมันไม่มีทาง เพราะใต้ฝ่าเท้าเป็นหญ้ารกร้าง บางทีจะมีงูเล็กงูน้อยเลื้อยผ่าน ไม่รู้เพราะเหตุใดก่อนหน้านี้ต่อหน้าเฉินซ่า โหลชีเผยสีหน้าที่แสดงออกว่าตนหวาดกลัวสิ่งเหล่านี้ออกมา แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเทียนอิ่ง นางกลับสีหน้าเรียบเฉยไม่หวาดหวั่น ดูแล้วไม่กลัวเลยสักนิด อันที่จริงนางยังกลัวสัตว์เลื้อยคลานพวกนี้นิดหน่อย แน่นอน กลัวไม่ได้แปลว่านางไม่กล้าฆ่าไม่กล้าจับ

พอเข้าไปในป่า นางจึงพบว่าในป่านี้มีหินเยอะมาก และดูเป็นกรวดทั้งหมดด้วย มากจนน่าแปลกใจ

"หินพวกนี้มันหินอะไรกันแน่?" ภายใต้แสงไฟ หินเหล่านั้นส่องแสงเล็กน้อย แต่ว่าน้อยมาก ถ้าไม่ใช่ตานางดีกว่าคนปกติคงมองไม่เห็น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ