เฉินซ่าไม่รู้ว่าโหลชีกลับไปไหน แต่ดูจากของที่นางนำมาด้วย ใจเขาร้อนรนนัก เพราะเขาไม่เคยเห็นของพวกนั้นมาก่อน เมื่อก่อนเขายังหลอกตัวเอง บางทีนางอาจจะมาจากแผ่นดินใหญ่หลงหยิน หรือแผ่นดินใหญ่หลงหยินเป็นแบบนี้ เพียงเพราะที่นั่นมีวิทยายุทธ์พิเศษที่สามารถทำให้นางไปที่ไหนก็ได้ หล่นลงมาจากฟ้าได้
แต่หลังจากพบเจอเฮ่อเหลียนเจี๋ยเขาก็เข้าใจ บางทีทางแผ่นดินใหญ่หลงหยินอาจจะมีหลายสิ่งที่ดีกว่าแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง สภาพแวดล้อมก็ดีกว่า แต่ไม่มีอย่างโหลชีนี้แน่ อย่างน้อยเสื้อผ้าของพวกเขาก็เหมือนกับทางนี้ วิทยายุทธ์ของพวกเขาก็ไม่มีทางแปลกประหลาดเพียงนี้ พวกเขาเองก็สร้างสิ่งนั้นที่โหลชีเอามาไม่ได้
เขาไม่สนใจเรื่องโหลชีมาจากไหนได้ แต่เขากลัว กลัวว่าสถานที่นั้นเขาไปไม่ได้ หาไม่เจอ ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่เป็นไร แค่นางกลับไปไม่ได้ก็พอแล้ว
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน นางกลับไปอีกแล้ว!
และยังกลับไปในตอนที่เขาไม่รู้ ไม่อยู่ข้างกายอีกด้วย!
แล้วถ้าเกิดนางไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ?
ขนาดจะไปตามหานางที่ไหนเขาก็ไม่รู้!
ดังนั้นครั้งนี้เขาต้องถามให้แน่ชัด ต้องถาม
สายตาเฉินซ่าทุ้มลึกไร้ใครเทียม ในนั้นโหลชีกลับมองเห็นประกายความหวาดหวั่น นางใจอ่อนยวบ
"เฉินซ่า ข้าเหมือนจะไม่เคยเล่าเรื่องนักพรตเลวกับท่านมาก่อนเลย"
"ใครอยากฟังเรื่องเขากัน" เขาไม่ฟังเรื่องคนอื่น ต่อให้คนนั้นเป็นพ่อบุญธรรมของนาง เป็นอาจารย์ของนางก็ตาม
แต่โหลชีจะพูด ไม่งั้นนางไม่รู้จะเริ่มอธิบายจากตรงไหน ก่อนหน้านี้เคยบอกเขานิดหน่อย บวกกับครั้งก่อนในเขตหวงห้ามของเผ่าชักมังกร เพราะนางสามารถแก้ค่ายกลที่ซวนหยวนจ้านใช้สายเลือดตระกูลซวนหยวนวางไว้ได้ ดังนั้นเขาเลยเดาได้ว่านางน่าจะเกี่ยวข้องกับตระกูลซวนหยวน
เพียงแต่ว่า จนถึงตอนนี้นางเองถึงพึ่งจะรู้ชาติกำเนิดตนเองขึ้นมาหน่อย เฉินซ่าจะรู้ได้ยังไง ครั้งนี้กลับไป นางถึงได้รู้ว่านักพรตเลวเป็นอาของตนเอง
"ฟังแล้วท่านถึงจะเข้าใจ"
เฉินซ่าขมวดคิ้ว "จำใจฟังก็ได้"
โหลชีโกรธแต่ก็ขบขัน นี่ถึงกับต้องจำใจ?
"อันดับแรกพูดเรื่องราชวงศ์ซวนหยวนแห่งแผ่นดินใหญ่หลงหยิน ตอนนั้นจักรพรรดิซวนหยวนมีลูกชายสามคน ซวนหยวนจ้าน ซวนหยวนอี้ ซวนหยวนคง นักพรตเลวเป็นคนที่สาม ส่วนพ่อของซู่ฉงโจวคือซวนหยวนอี้ซึ่งเป็นคนที่สอง นักพรตเลวบอกว่าพ่อแท้ๆของข้าคือซวนหยวนจ้าน"
"เดี๋ยวก่อน" เฉินซ่าสีหน้ามืดดำทันที "เจ้าพูดว่าซู่ฉงโจว? เจ้าหมายความว่า เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องข้างพ่อของเจ้า?"
โหลชีอึ้งไปเหมือนกัน
นางแทบไม่เคยคิดด้านนี้เลย แต่พอเฉินซ่าทักขึ้นมา นางถึงพึ่งนึกได้ว่า ซู่ฉงโจวเคยบอกไว้ว่า แม่เขาคือองค์หญิงเฉินเซียงแห่งราชวงศ์เฉิน? เขากับเฉินซ่าเป็นลูกพี่ลูกน้องข้างแม่ งั้นนางกับเฉินซ่า...เป็นอะไรกัน?
เดิมทั้งสองคนเรียกว่าฉลาดอันดับต้นๆ ตอนนี้ก็โดนความสัมพันธ์ที่สับสนนี่ทำเอามึนไปหมดแล้ว
โหลชีมึนอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามเขา "ยังไงซะพวกเราก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ลำดับขั้น?"
องค์หญิงเฉินเซียงเป็นแม่ของซู่ฉงโจว งั้นก็เป็นอาหญิงของเขา
พ่อของซู่ฉงโจวเป็นอารองของนาง
อย่างมากนางกับเฉินซ่าถือว่าเป็นเครือญาติเกี่ยวดอง แต่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแน่นอน และยังเป็นชั้นเดียวกัน โชคดีไป
ถ้าคุยไปคุยมาพวกเขาดันบอกว่า ความจริงแล้วพวกเขาเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะลูกพี่ลูกน้องข้างพ่อข้างแม่หรือว่าพี่น้องกันแท้ๆ มันก็เป็นเรื่องไร้สาระอันยิ่งใหญ่อยู่ดี
นางไม่ชอบเรื่องไร้สาระอันยิ่งใหญ่อย่างนั้น
ยังไงซะรู้ว่าพวกเขาไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือดก็พอแล้ว เฉินซ่าแอบถอนหายใจโล่งอก แต่ยังคงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "ต่อให้เจ้าเป็นน้องสาวข้า ข้าเลือกเจ้าแล้ว แล้วยังไงล่ะ?"
โหลชีทนไม่ไหวถลึงตาใส่เขา "ถ้าข้าเป็นน้องสาวท่านจริง ท่านยังกล้าจะเอาข้าเป็นเมียจริงรึ?"
ร่างท่อนบนของเขาแนบลงไปหานาง กลิ่นอายบุรุษแรงกล้ากระทบเข้ากับจมูกและสมองของนางทำเอาใจเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ น้ำเสียงเขานุ่มลึก "ทำไมจะไม่กล้า? ชีชี หากเจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆของข้าจริง ข้าจะกินเจ้าเสียก่อน! ถึงเวลานั้นข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว เจ้าคิดหนีก็ไม่ทันแล้ว"
โหลชีหน่ายใจ ผลักเขาออกทันที "ทุเรศ" ทุเรศถึงขีดสุดละ "พูดต่อ" เฉินซ่ากลับจูบที่ขมับนางหนักๆหนึ่งทีก่อนดึงตัวกลับมานั่งพิงหัวเตียง
จากนั้นโหลชีก็เล่าเรื่องที่นักพรตเลวเล่าให้นางฟังออกมา นางเป็นคนของตระกูลซวนหยวนแห่งแผ่นดินใหญ่หลงหยิน จากนั้นเพราะเหตุจำเป็น โดนนักพรตเลวพาไปยุคปัจจุบัน แต่นักพรตเลวอยากส่งนางกลับมาอยู่ตลอด เหตุจำเป็นตอนสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้นทำให้เขาส่งนางกลับมาก่อนกำหนด น่าเสียดายที่นักพรตเลวไม่รู้เรื่องอะไรตอนนั้น เรื่องนี้อธิบายได้ไม่ยาก ที่ยากคือเดินทางข้ามกาลเวลายังไง รวมถึงห้วงเวลานั้นเป็นโลกยังไง
โหลชีรู้สึกว่าจะอธิบายเรื่องนี้ก็เริ่มปวดหัว เพราะระหว่างอธิบายนางก็เริ่มพูดไม่ออก เพราะพอนางพูดถึงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เขาก็ถามนางว่า "มันเรียงยังไงกัน? ตอนนี้เป็นศตวรรษที่เท่าไหร่กัน?"
เอ่อ นางจะไปรู้ได้ยังไง? โลกนี้กับโลกนั้นของนางไม่ใช่โลกเดียวกันซะหน่อยนะ? จะอธิบายเรื่องห้วงเวลายังไง?
จากนั้นเขาควรจะถามว่าศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเป็นยังไงล่ะ เรื่องนั้นถ้าจะให้เล่าต่อให้เล่าหนึ่งปีก็เล่าไม่จบ มีอะไรน่าพูดกับคนในยุคโบราณของอีกโลกกันล่ะ? พอคิดแบบนี้ นางเลยโบกมือปฏิเสธอย่างรำคาญว่า "พูดไปท่านก็ไม่เข้าใจ"
สีหน้าเฉินซ่าดำมืดอีก อะไรเรียกว่าพูดไปเขาก็ไม่เข้าใจ? นี่เขาโดนนางดูถูกเข้าให้รึ?
เจ้าลัทธิของลัทธิสิ้นโลกีย์จะเป็นพ่อแท้ๆของเขาหรือไม่ ไม่ใช่
สีหน้าเฉินซ่าทะมึนลง มีความเศร้าหมองจางๆออกมาจากดวงตาเขา "เมื่อก่อนข้ามักรู้สึกว่าพ่อแม่ของข้าไม่เหมือนคนอื่น เพราะพวกเขาดีกับข้ามากนัก แต่การดีนั้นกลับแฝงด้วยความเคารพอย่างน่าประหลาด ตอนนี้มาคิดๆดูแล้ว พวกเขาคงเป็นลูกน้องของพ่อแม่แท้ๆของข้า ข้าคงไม่เคยพูดกระมังว่า พวกเขาไม่ให้ข้าเรียกพ่อแม่ ให้เรียกเป็นท่านอาท่านน้าแทน สำหรับเรื่องนี้พวกเขาอธิบายว่า มันเป็นประเพณีของบ้านนอก ให้เด็กเรียกแบบนี้จะเลี้ยงง่าย ไม่งี่เง่าเลี้ยงยาก"
ตอนนี้มาคิดดูแล้ว น่ากลัวเพราะพวกเขาไม่กล้าให้เขาเรียกว่าพ่อแม่กระมัง
โหลชีผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ตบบ่าเขาพลางว่า "ยังไงก็มีทิศทางให้ไปสืบน่า ท่านเป็นราชตระกูลเฉิน"
พูดถึงราชตระกูลเฉิน เฉินซ่านึกถึงเฮ่อเหลียนเจี๋ยขึ้นมาได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย และจ้องมองนาง "ยังมีอีกคำถาม ทำไมเฮ่อเหลียนเจี๋ยต้องการให้เจ้าไปกับเขา? เจ้าอย่าบอกข้านะว่า พึ่งพบกัน เจ้าก็ทำเขาหลงใหลจนหลงทาง! เจ้าทำเรื่องอะไรที่ไม่สมควรทำกับเขาในภูเขาหรือไม่?"
โหลชีเหลือบตามองบน
ผู้ชายคนนี้! เวลาหึงขึ้นมาทีกัดไม่ปล่อยเลยนะ
แต่ว่าพูดถึงเฮ่อเหลียนเจี๋ย นางก็พบว่านางลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไปแล้ว "ข้าจะมาคุยเรื่องอาการบาดเจ็บภายในของท่านต่างหาก!"
"พูดให้ชัดเจนก่อน" เขาไม่ยอมลดราวาศอกเลย
"ไม่มีอะไร! ของบางอย่างที่เขาหา โดนข้ากลืนไปโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นเขาเลยจ้องข้าเขม็ง ง่ายๆแบบนี้เลย"
"กลืนไป?" เฉินซ่าตื่นเต้นขึ้นมาทันที "เจ้ากลืนอะไรลงไป?"
"กุญแจโอสถน้ำพุ ท่านเคยได้ยินหรือไม่?"
โหลชีถามคำถามนี้ออกมาแค่ต้องการตอบเขาว่า นางกลืนอะไรลงไป ไม่ได้คิดว่าเฉินซ่าจะรู้ว่าคืออะไรจริงๆ แต่นางไม่คิดเลยว่า พอได้ยินคำว่ากุญแจโอสถน้ำพุ เฉินซ่าสีหน้าเปลี่ยนสีทันที
"เจ้ากลืนสิ่งนั้นไป? เจ้าเสียสติไปแล้วรึ? กลืนทุกอย่างเลย?"
เสียงตะคอกของเฉินซ่าดังก้องไปทั่ว ทำเอาเทียนยีที่เฝ้าอยู่ข้างนอกตกใจมาก
โหลชีตกใจจริงๆ "ท่านรู้จักกุญแจโอสถน้ำพุ?"
"กลืนไปนานแค่ไหนแล้ว? เจ้ากลืนไปนานแค่ไหนแล้ว?" เฉินซ่าไม่สนใจนาง แต่ยื่นมือบีบคอนาง
โหลชีรู้สึกได้เลยว่า แรงที่มือเขานี่ไม่ได้ล้อเล่นเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ