เสี่ยวหนิวเดินอยู่ด้านหน้าสุด พวกเขาออกจากหมู่บ้านแล้ว ต้องออกผ่านป่ากล้วยหอมแถบนั้น
"พวกท่านห้ามขโมยกล้วยหอมนะ นี่เป็นต้นที่ในหมู่บ้านปลูก" เสี่ยวหนิวหันกลับมากล่าวเสียงหนึ่ง
โหลชีหัวเราะชอบใจเสียงหนึ่ง "วางใจเถิด ใครเด็ด ขโมยหนึ่งปรับร้อย"
"ท่านเป็นหัวหน้าของพวกเขาหรือ? ท่านเป็นคุณหนูบ้านขุนนางหรือ?" เสี่ยวหนิวกะพริบตาถาม
คุณหนูบ้านขุนนาง?
"เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาผู้ใด?" โหลชียักหน้าทางเฉินซ่า
เสี่ยวหนิวเกาหลังศีรษะ เอ่ยอย่างไม่ค่อยมั่นใจ "เป็นองครักษ์ของคุณหนูใหญ่?"
"อุ๊บ!"
โหลชีกับอิงพุ่งในเวลาเดียวกัน
"เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าตายแน่แล้ว..."
คำกล่าวอิงยังไม่สิ้น โหลชีก็ใช้แขนเสื้ออุดปากขัดเขา "ข้าเป็นหน้าขององครักษ์อิง เขาไม่ต้องการข้าแล้ว ฮือๆๆ"
เฉินซ่า "..."
อิง "..."
คำกล่าวนี้หมายความเช่นไร?
โหลวซิ่นอยู่ด้านหลังอดขำขันอึกอักอย่างกลั้นไม่อยู่ ยังอธิบาย "นี่มิใช่กล่าวว่าใต้เท้าองครักษ์อิงไม่รักษาหน้าหรือ?"
"อุ๊บ" อิ้นเหยาเฟิงก็อดหัวเราะพุ่งด้วยไม่ได้ นางเขยิบเข้าใกล้เฉิงสิบ กระซิบเอ่ย "ที่แท้เวลาอยู่ข้างนอก พระสนมก็เข้าหาง่ายเช่นนี้เองหรือ?"
ใบหน้าเฉิงสิบไร้อารมณ์ "แม่นางเข้าหาง่ายเสมอ"
"ใต้เท้าองครักษ์อิงช่างใจกล้าโดยแท้ เห็นเขาถลึงตาใส่พระสนมด้วย"
เฉิงสิบกล่าวสืบต่อ "ใต้เท้าองครักษ์อิงนั่นเรียกว่าหาที่ตาย"
"เหตุใดข้าน้อยจึงกลายเป็นไม่รักษาหน้าเสียแล้ว?" ด้านหน้า อิงยังไม่ยอม
โหลชีกลอกตาขาว "เจ้าเป็นผู้ชายตัวโตมาขู่เด็ก นี่มิใช่ไม่รักษาหน้าหรือ?"
อิงชะงัก เขามิได้ขู่สักหน่อย เด็กคนนี้กล่าวเช่นนี้กับนายของพวกเขา เห็นเขาเป็นองครักษ์ ด้วยนิสัยของนายท่าน ไหนเลยจะสนใจว่าเขาเป็นเด็กหรือไม่? อย่างนี้ต้องจับเขาขึ้นมาด้วยมือหนึ่งแล้วโยนไปด้านหลัง
แต่ครั้นเขามององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง กลับพบว่าเขาเพียงเดินสืบต่อเบื้องหน้าด้วยใบหน้าภูเขาน้ำแข็งนั้น เสมือนไม่ได้ยินวาจาของเด็กผู้นั้น ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่เขาต่อปากกับโหลชีก็ไม่สนใจด้วย!
โหลชีมองทางเฉินซ่าตามสายตาเขา นิ้วหัวแม่มือปาดผ่านปลายจมูก ยักหน้ากับอิงอย่างยโส "อย่างไร? ไม่ยอมหรือ? นายของพวกเจ้าเป็นองครักษ์ข้าแล้วอย่างไร? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ซุ่มยินดีอยู่ในใจ?"
พุ!
นี่ยังซุ่มยินดี?
เจ้าไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยล่ะ?
ลมหายใจหนึ่งของอิงติดที่อยู่ทรวงอก ถลึงตากับนางหนึ่งทีเอ่ย "ทรงเช่นนี้ยังจะเป็นพระสนม ท่วงท่าแห่งพระสนมสักนิดก็ไม่มี"
"แล้วเจ้าเช่นนี้ยังเป็นหนึ่งในสี่องครักษ์? มีองครักษ์ที่ไหนต่อปากกับนาย?"
"หรือกระต่ายน้อยโหลวซิ่นไม่เคยต่อปากด้วย?" ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ไม่กล่าว อิงจึงมีความกล้า ถึงอย่างไรสมัยก่อนพวกเขาก็เป็นเช่นนี้ตลอด
ครั้นเอ่ยถึงตัวเขาขึ้นมา โหลวซิ่นก็เรียกขึ้น "แม่นาง อย่างข้าน้อยนี่เรียกว่าอะไร?"
โหลชีหัวเราะ "นี่เรียกว่านอนอยู่ก็ถูกปืนยิง"
อิงกับโหลวซิ่นยังไม่กล่าว แต่จู่ๆ เฉินซ่าก็กล่าวแทรก "สิ่งใดคือปืน?"
ในกระเป๋านั้นที่นางนำกลับมาครั้งนี้มีสิ่งของหลายสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ทั้งยังจับโหลชีให้นางอธิบายเป็นอย่างๆ รวมทั้งแสดงวิธีการใช้ ดังนั้นเมื่อได้ยินนางกล่าวถึงปืน เขาก็รู้ว่าต้องไม่ใช่หอกชนิดนั้นที่ทำให้หัวแหลมอยู่ด้านหน้าพลองยาวแบบนั้นอย่างพวกเขาที่นี่แน่
โหลชีถูกเขาถามขึ้นอย่างฉับพลันแล้วก็อึ้ง
เออ ปืน จะอธิบายอย่างไร?
"หืม?"เฉินซ่าเหล่มองมา
"อาวุธชนิดหนึ่ง อย่างไรพูดแล้วท่านก็ไม่เข้าใจอยู่ดี"
เฉินซ่าชะงัก เขาเกลียดคำกล่าวนี้โดยแท้! พูดแล้วเขาก็ไม่เข้าใจ นี่ทำให้เขารู้สึกว่ามีระยะห่างที่ไม่อาจข้ามระหว่างเขากับนาง
เสี่ยวหนิวเคยกล่าวว่าเพื่อหาเงิน ครั้งหนึ่งเห็นหงหยางเคยมา อยากแอบตามไปขุดตัวยา ดังนั้นถึงรู้เส้นทาง เขาก็กลัวเขาเซียนพิโรธเหมือนกัน แต่มีหงหยางอยู่ด้านหน้า เขารู้สึกว่าคงไม่เป็นไร
"หากเขาเซียนพิโรธน่ากลัวเช่นนั้นจริง หงหยางก็คงกลับมาอย่างปลอดภัยไม่ได้แล้วใช่ไหม?" โหลชีเอ่ย แต่เสี่ยวหนิวกลับส่ายหน้าจนคล้ายป๋องแป๋ง "ไม่ๆ หงหยางเพียงแค่บังเอิญโชคดีถึงกลับมาได้!"
ตามการเล่าอธิบายของเขา เวลานั้นเดิมทีหงหยางเกิดเรื่องแล้ว แต่เขาเหยียบพลาดไถลลงไปพอดี ถูกเถาวัลย์รับไว้ได้พอดี ถึงรอดชีวิตมาได้ เสี่ยวหนิวไม่ได้ตามขึ้นเขาเซียนพิโรธ เขารอหงหยางอยู่ที่ตีนเขาตลอด และเห็นฉากที่เขาร่วงลงมากับตา
หลังจากออกจากป่าต้นหนามก็เป็นพื้นที่โล่งกว้างมากๆ ผืนหนึ่ง มีวัชพืชดอกไม้ป่าอยู่เต็มไปหมด ที่โล่งผืนนี้คงเป็นจุดเลือกแรกที่คนเดิมทีพวกนั้นคิดสร้างหมู่บ้านเมื่อร้อยปีก่อน สถานที่แห่งนี้กลับไม่เลว ด้านหน้ามีป่าต้นหนามผืนใหญ่ ด้านซ้ายมีทะเลสาบ อีกสองฟากล้วนเป็นเขาสูง เป็นเหมือนวิมารดินนอกโลกียะที่ตัดขาดกับโลกภายนอก
"เขาลูกนั้นก็คือเขาเซียนพิโรธแล้ว" เสี่ยวหนิวชี้ภูเขาที่อยู่ตรงหน้ากับพวกเขา "ข้าไม่ตามพวกท่านเข้าไปนะ ตอนนี้พวกท่านต้องมอบเงินให้ข้าแล้ว"
โหลชีเห็นเขาแล้วก็ยิ้ม "ได้ ไม่ให้เจ้าขาดหรอก แต่เจ้าต้องรับปากข้า เงินนี้เอาไปแล้วต้องระวังสักหน่อย เจ้าเป็นเด็กตัวคนเดียวหอบเงินมากมายเพียงนี้ เกรงจะชักนำคนชั่วมา รู้ไหม?"
"ข้าฉลาดมาก!" เสี่ยวหนิวกล่าวอย่างภาคภูมิ แต่ยังคงรับปากโหลชีอย่างจริงจัง
เวลานี้พวกเขาไม่รู้ เป็นเพราะการกำชับประโยคนี้ของโหลชี ทำให้เสี่ยวหนิวรอดพ้นจากเคราะห์แห่งความตายหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนชะตาชีวิตเขา เส้นทางชีวิตของเขา หักเหใหญ่ในวันนี้ ต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง และกลายเป็นแม่ทัพน้อยห้าวหาญที่ฟังแต่คำสั่งโหลชีเพียงผู้เดียวในอนาคตกาล!
โหลชีให้เฉิงสิบเอาตั๋วเงินห้าสิบตำลึง เงินก้อนสิบตำลึงและเศษเงินจำนวนหนึ่งให้เขา หยุนเฟิงยังอมยิ้มอยู่ข้างๆ เอ่ยหนึ่งประโยคยามนี้ "เจ้าช่างละเอียดนัก" ไม่ได้ให้ตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงกับเขาโดยตรง และไม่ได้ให้เงินก้อนกับเขาทั้งหมด
"แน่นอน คนที่ทั้งมีเมตตาทั้งละเอียดอ่อนเช่นข้าพบเห็นไม่มากแล้ว"
ทุกคนต่างอดฉีกยิ้มเป็นไม่ได้ นางกลับไม่ถ่อมตน
เสี่ยวหนิวรับตั๋วเงินและเงินเรียบร้อย มองโหลชีอีกแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ก้มตัวคารวะให้นางต่ำๆ จากนั้นก็หัวศีรษะวิ่งกลับไปทางที่มา
"ขึ้นเขา" เฉินซ่าจับมือของโหลชี ดึงนางมาอยู่ข้างกายตน เขาไม่ชอบให้ความคิดนางอยู่กับตัวผู้อื่นมากเกินไป นางควรฟังเขา มองเขา คิดถึงเขา เป็นเขาโดยตลอด
มองเขาเซียนพิโรธนั้น เห็นหุบเหวบนเขานั้นจริงๆ ยอดที่แหลมที่สุดแบ่งเป็นสอง คล้ายดาบใหญ่ผ่าลงจากอากาศ ราวกับซ่อมสองแฉกคันยักษ์พุ่งขึ้นเวหาหาวด้ามหนึ่ง
กับคำกล่าวของผู้ใหญ่บ้าน แน่นอนว่าโหลชีไม่ใช่ไม่เชื่อ สถานการณ์ภัยพิบัติจากฟากฟ้าจนกลายเป็นเช่นนี้ก็เป็นไปได้ ก่อนหน้านี้เขาพิณก็แผ่นดินไหวได้ เขาเซียนพิโรธนี้มีอสนีกระหน่ำสะเทือนพสุธาเมื่อร้อยปีก่อนก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่คนโบราณงมงาย จำต้องกล่าวว่าเทพยดาพิโรธ
ตีนเขามีกระถางธูปที่ทำจากดินเผาหรือทองแดงที่ผ่านลมพัดฝนสาดตากตะวันหลายปีอยู่มาก ในกระถางธูปปราศจากควันธูปมานานแล้ว และไม่รู้ว่าชาวบ้านเหล่านั้นเห็นควันไฟนิดๆ จากที่นี่ได้อย่างไร คงเพราะความระแวงในภูตผีหนัก แต่ป่าเขารกร้างก็มีบางสิ่งทำให้จิตใจมนุษย์ครั่นคร้ามอยู่เหมือนกัน
การขึ้นเขาแรกเริ่ม สำหรับพวกเขาไม่ถือว่าเดินไม่ลำบาก กระทั่งถึงกลางเขาแล้วจึงจะลำบาก ดีที่พวกเขายังสามารถหารอยเท้าปะติดปะต่อได้ น่าจะเป็นหงหยางทิ้งไว้เมื่อก่อนหน้านั้น มากน้อยยังทำให้พวกเขาประหยัดเวลาได้บ้าง แต่โหลชีหวังว่าจะสอนคนเหล่านี้ได้ในคราวเดียว
"ที่นี่แวดล้อมพอดี พวกเจ้าเรียนวิธีการหลบหลีกหนอนกู่ในป่าทึบก่อนแล้วกัน" โหลชีว่าแล้วก็กวาดตามองหยุนเฟิงแวบหนึ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หยุนเฟิงคิดว่านางไม่อยากให้เขาเห็นการสอนของนาง จึงหัวเราะเอ่ย "แม่นางโหล ข้าจะไปดูทางนั้นสักหน่อย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ