ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 427

โหลชีไม่กล้าปล่อยพลังภายในอย่างเอาแต่ใจเหมือนก่อนหน้านี้อีก เพียงแต่ควบคุมพลังสายหนึ่งให้เข้าไปสำรวจในจุดตันเถียนของเฉินซ่าเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกตื่นตะลึงมากก็คือ นางพบว่าในจุดตันเถียนของเฉินซ่าเหมือนกำลังมีบางสิ่งกำลังรวมตัวกัน เหมือนทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ ไร้จุดสิ้นสุด เหมือนเหวที่ทั้งลึกและกว้างสามารถรองรับพลังภายใน ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ว่าพลังภายในของเขาไม่มีแล้วนี่นา

นี่มันถังสมบัติเปล่าๆใบหนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีอะไรอยู่ในนั้น แล้วพลังภายในก่อนหน้านี้ของเขามาจากไหนกัน แล้วตอนนี้หายไปไหน

เรื่องนี้ทำให้โหลชีคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

นางพลางสำรวจต่อ พลางมองใบหน้าของเฉินซ่าที่ราวกับน้ำแข็งแกะสลักไม่ใช่คนจริงๆ กัดฟันเบาๆ จิตใจอดที่จะรู้สึกพ่ายแพ้ไม่ได้ นางไม่เคยพบใครที่เป็นเหมือนเขามาก่อน ก็แค่ร่างกายของคนธรรมดาร่างหนึ่ง ปรากฏว่าด้านในได้ซ่อนสิ่งชั่วร้ายที่แปลกประหลาดไว้มากมายยิ่งนัก พิษที่ร้ายแรงที่สุดในใต้หล้า พิษกู่ที่ร้ายแรงที่สุด ก่อนหน้านี้ยังมีคำสาป จากนั้นตอนนี้ในจุดตันเถียนก็น่าประหลาดใจยิ่งนัก

นางไม่รู้จริงๆเลยว่าร่างกายที่แบกรับสิ่งเหล่านี้เอาไว้ เขามีชีวิตรอดปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร

แต่ว่า มีชีวิตอยู่ก็จริง แต่กลับถูกกำหนดให้เจ็บป่วยมากมาย ต้องอดทนต่อสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถทนได้ ฉะนั้นการที่เขามีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ จิตใจและร่างกายก็ถูกตรากตรำมาจนถึงตอนนี้เช่นกัน

ทันใดนั้นหัวใจของโหลชีก็เจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย

นางไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขาก่อนหน้านี้ปฏิบัติต่อเขาอย่างไรบ้าง แต่สัญญาณต่างๆได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเฉินซ่า และสถานะของเขาก็ไม่ต่ำต้อย เขาเคยบอกว่า แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะมีกิริยาท่าทีที่ดูใจกว้างสูงส่งกว่าคนทั่วไป แต่ไม่ได้เป็นคนในราชวงศ์อย่างแน่นอน ยังไม่ถึงขั้นนั้น ฉะนั้น พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเขาจึงเป็นไปได้ว่าเป็นลูกน้องของพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา

ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาแค่แสดงความจงรักภักดีมากพอ ตอนที่ดูแลนายน้อยแม้จะแสดงออกว่าสนิทสนม แต่อย่างน้อยก็มีการเว้นระยะห่างและมีความเคารพแฝงอยู่บ้าง ที่จริงการทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อเด็ก ฉะนั้นนางเชื่อว่าชีวิตวัยเด็กของเฉินซ่าคงไม่ได้รับความอบอุ่นและความรักจากพ่อแม่ที่เลี้ยงดูสักเท่าไหร่

หลังจากนั้นพวกเขาก็ถูกสังหาร เฉินซ่าก็คิดแต่เรื่องแก้แค้น บวกกับเขาที่ไม่ใช่คนที่ไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน จึงได้ฝึกฝนตัวเองตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ในระยะสั้นๆ หรือต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองยิ่งใหญ่ขึ้น ข้างกายเขาคงไม่เคยมีใครที่ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นและความรักเลยกระมัง

ฉะนั้น ในชีวิตยี่สิบกว่าปีของเฉินซ่า มีแต่ความเย็นชามาตลอด ความเจ็บปวดที่เขาได้รับ คงไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนแน่ และไม่เคยมีใครเคยปลอบใจเขา เหมือนก่อนหน้านี้ตอนที่พิษกู่กำเริบ องครักษ์ทั้งสี่ที่อยู่ข้างกายรวมไปถึงคนอื่นๆต่างก็แค่เป็นห่วงว่าจะมีใครมาลอบสังหารหรือไม่เท่านั้น ได้แต่ทุ่มเทเต็มที่เพื่อปกป้องความปลอดภัยของเขา เคยมีใครถามเขาสักคำหรือไม่ว่า เขาเจ็บหรือไม่ ยังอดทนต่อไปได้หรือไม่

เพราะเขาเป็นคนฉกาจฉกรรจ์มาตลอด น่าจะทำให้พวกอิงรู้สึกว่าเขาสามารถยืนหยัดได้อย่างแน่นอน เฉินซ่าก็ไม่มีทางบอกกับพวกเขา ข้าเจ็บมาก......

เห็นที เฉินซ่าสามารถมีชีวิตอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ โดดเดี่ยวกว่านางมากนัก น่าเบื่อกว่าด้วย

ฉะนั้น นางมองเขาที่ถูกทรมานเช่นนี้ รู้สึกปวดใจขึ้นมา

คนหยิ่งยโสอย่างเขา ถ้ารู้ว่าตัวเองกลายเป็นน้ำแข็งแกะสลัก เคลื่อนไหวไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่เช่นนี้ หัวใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาคงจะรับไม่ได้ รับไม่ได้ที่ตัวเองมีโรคประหลาดเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งโรค อ่อนแอจนสามารถให้ใครก็ได้มาบงการ

โหลชีก็รู้สึกสงสารเขาที่ศักดิ์ศรีถูกย่ำยีเช่นนี้

ยังมีอีกหนึ่งสิ่ง นางเองก็ตกตะลึงกับความรู้สึกกลัวที่อยู่ในใจ เมื่อก่อนนางไม่เคยจะตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกเพียงเพราะคนที่อยู่ข้างกายอาจตายจากกันไป ตอนนี้นางเพิ่งจะรับรู้ถึงหัวใจของตัวเองอย่างแท้จริง เห็นที นางจะใส่ใจเฉินซ่ามากกว่าที่ตัวเองคิดไว้ด้วยซ้ำ

"ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะไม่ให้ท่านตายอย่างเด็ดขาด ข้าต้องช่วยท่านให้ได้"โหลชีกัดริมฝีปากล่าง นางจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยชีวิตเขา แต่ว่าตอนนี้นางไม่มีเบาะแสอะไรเลย

โหลชีนึกถึงนักพรตเลว ทุกสิ่งที่นางสามารถเรียนรู้ได้ นางก็ได้รับการถ่ายทอดมาจนหมด แต่อาการเช่นนี้นางไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อน บางทีนักพรตเลวอาจจะมีความรู้อยู่บ้าง ไม่แน่เขาอาจจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะว่าพิษกู่ที่เฉินซ่าได้รับตั้งแต่เด็กไม่ใช่ฝีมือของการวางยาพิษของคนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน เป็นไปได้ว่าเป็นคนของแผ่นดินใหญ่หลงหยิน แล้วอาการเช่นนี้ของเขาในตอนนี้ ก็เป็นไปได้ว่าเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขามาตั้งแต่เด็กแล้ว

เรื่องของแผ่นดินใหญ่หลงหยิน นางไม่รู้อะไรเลย

แต่ว่าตอนนี้นางจะไปถามนักพรตเลวได้อย่างไร เขาไม่มีความสามารถที่จะถึงนางกลับไปได้ นางเองก็ไม่มีวิธีที่จะสื่อสารกับเขา

ในขณะที่กำลังใช้ความคิด ในจุดตันเถียนของเฉินซ่าก็เกิดการต่อต้านขึ้นมาอย่างกะทันหัน กระแทกพลังภายในของนางออกมา นี่ นี่ยังสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยหรือ

แต่ไม่ว่าอย่างไร การรักษาด้วยการใช้พลังภายในนั้นคงทำไม่ได้แล้ว โหลชีมองเฉินซ่าอีกครั้ง ตกใจจนต้องสูดลมหายใจเข้า

ในทรวงอกของเขา เหมือนเกล็ดน้ำแข็งได้เบ่งบานเป็นดอกไม้ที่มีกลีบดอกเป็นเส้นใยละเอียดอ่อนสวยงาม กลีบดอกที่ราวกับหนวดเหล่านั้นกำลังค่อยๆคืบคลานไปที่หัวใจของเขา แม้จะเชื่องช้า แต่ก็มีความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้

แม้ว่านางจะยังไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่มองดูหัวใจที่เป็นก้อนสีแดงของเขา ก็รู้ว่าถ้าหัวใจของเขาถูกเส้นใยของดอกไม้น้ำแข็งนี้ห่อหุ้มทั้งหมด ถูกแช่แข็งเอาไว้ เช่นนั้นหัวใจก็จะไม่มีทางเต้นเป็นจังหวะได้อีก เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

และเฉินซ่าเองเดิมทีก็ไร้ซึ่งลมหายใจแล้ว ตอนนี้ยิ่งเหมือนไร้ลมหายใจอย่างสิ้นเชิงเข้าไปใหญ่

โหลชีทั้งตกใจทั้งร้อนใจทั้งโมโห ใช้หมัดทุบลงไปที่พื้นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ข้อต่อที่นิ้วมีเลือดออกเล็กน้อย

นางใช้สายตาจ้องนิ่งๆ

ในที่สุดนางก็วาดค่ายกลเลือดเสร็จ นิ้วมือก็ประสานอินหลายลักษณะอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นค่ายกลที่ถูกวาดขึ้นด้วยเลือดก็แสงสีแดงสว่างวาบขึ้น เพียงครู่เดียวก็ซ่อนเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนังของเฉินซ่า เหมือนค่ายกลที่ถูกวาดอยู่ใต้ผิวหนังของเขา ลายเส้นเหล่านั้นยังมีแสงสีแดงเคลื่อนผ่าน

และสิ่งที่เป็นเหมือนหนอนน้ำแข็งซึ่งมีเส้นใยจากดอกไม้ที่อยู่ข้างๆก็เลื้อยเข้าไปใกล้พอดี

โหลชีจับตามองอย่างไม่กะพริบตา เห็นเพียงแค่ว่าพอใยน้ำแข็งแตะเข้ากับสีแดงเลือด ก็ถอยออกไปทันทีราวกับถูกไฟฟ้าดูด

"สำเร็จ "โหลชีดีใจมาก ตอนนี้นางรู้แล้วว่าเลือดของนางมีประโยชน์มาก

แต่ว่าในขณะเดียวกัน โหลชีกลับไม่รู้เลยว่า ภายหน้าเพราะเลือดอันล้ำค่าของนางแล้ว จะกลายเป็นเป้าหมายที่หลายฝ่ายต้องการใช้อำนาจในการแย่งชิงและเข่นฆ่า

นางยังอยากจะวาดค่ายกลเลือดบนร่างกายของเขาอีกสักหน่อย แต่ว่าค่ายกลเลือดชนิดนี้ใช้สมาธิเยอะมาก พอลงมือวาดก็ต้องใช้เวลาสองชั่วโมง นางต้องพักผ่อนสักหน่อยค่อยวาดรูปที่สอง

จัดการเสื้อผ้าของเฉินซ่าให้เรียบร้อย นางยื่นมือไปอังที่ใต้จมูกเขา แม้ว่าลมหายใจจากจมูกจะแผ่วเบามาก แต่คนละเอียดอ่อนอย่างโหลชีพบว่าชัดขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้าง

เฉิงสิบคิดว่าฝนห่านี้คงจะตกไม่นาน แต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ฝนแค่ตกน้อยลงนิดเดียวเท่านั้น แต่ไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลงเลย

ฝนไม่หยุด พวกเขาจะไปหาฟืนแห้งมาก่อไฟได้จากที่ไหน ถึงช่วงค่ำแล้วยังไม่สามารถก่อไฟขึ้นมาได้ แม้ว่าพวกเขาจะทนเพื่อให้ผ่านพ้นไปได้ แต่เกรงว่าฝ่าบาทจะไม่เป็นเช่นนั้น......

"พี่เฉิง ข้าจะออกไปดูก่อนว่ามีอะไรให้กินหรือไม่" หยู่พูดแล้วก็จะลุกขึ้น

พวกเขารอมานานมากแล้ว โหลชีไม่ส่งเสียงใดๆและไม่ออกมาด้วย พวกเขาไม่กล้าไปรบกวน แต่เพิ่งจะพูดประโยคนี้จบ เสียงของโหลชีก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

"เสื้อผ้าเจ้าเดิมทีก็เปียกอยู่แล้ว ถ้าออกไปตากลมตากฝนตอนนี้อีก จะไม่สบายได้ง่ายมาก "โหลชีพูด

หยู่คิดว่าโหลชีเป็นห่วงเขา ดวงตามีแววซาบซึ้งวาบผ่าน ไหนเลยจะรู้ว่าโหลชีที่ตอนนี้ในใจคิดถึงแต่เรื่องของเฉินซ่าไหนเลยจะมีจิตใจดีขนาดนั้น ความหมายของนางคือ ตอนนี้เฉินซ่าอ่อนแอมาก นางเป็นห่วงว่าถ้าคนใกล้ชิดเป็นหวัดขึ้นมา จะแพร่ให้เขาได้ง่าย

แน่นอนว่า นางก็ไม่คิดว่าจำเป็นต้องอธิบายเหตุผลให้ฟัง ฉะนั้น จึงกลายเป็นความเข้าใจผิดที่สวยงาม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ