ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 453

ถ้อยคำบัดซบ...

ถ้อยคำบัดซบนี้เขาเป็นคนพูด

เหงื่อกาฬบนตัวอวิ๋นผุดขึ้นมาทันที ยามนี้เขาดูออกแล้ว โหลชีผู้นี้ก็คือผู้หญิงของนายท่าน! ต้องโทษเขา หลังจากออกมาจากทุ่งหญ้าก็ไปเป่ยชาง ก็เพียงเพราะต้องการตามหาญาติเป็นเพื่อนอามู่ สุดท้ายได้ข่าวว่าญาติเสียชีวิตด้วยโรคาพยาธิแล้ว ระหว่างนี้พวกเขาได้รู้ว่าองค์หญิงใหญ่แห่งเป่ยชางจะเกี่ยวดองกับยู่ไท่จื่อแห่งตงชิง วิเคราะห์สถานการณ์สักหน่อย ก็คิดวิธีหนึ่งสังหารเป่ยฝูหรง จากนั้นก็เลือกสถานที่ไร้ผู้คนเร่งรุดมายังพั่วอวี้ ไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้มาก เวลานี้ถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้

แต่ถึงนายท่านจะรับหญิงผู้นี้ แต่ท่าทีการอยู่ร่วมกันของแม่นางโหลกับนายท่านพิลึกอยู่บ้างโดยแท้ กล้าเช่นนั้นเลยหรือ?

มองสายตาน่าสงสารนั้นของโหลวซิ่น โหลชีกระแอมเอ่ย "ต้องโทษข้า ไม่ได้ชี้ชัดฐานะกับใต้เท้าองครักษ์อวิ๋น นี่ไม่เกี่ยวกับเฉิงสิบ..."

วาจายังไม่ทันสิ้น เฉินซ่าก็ขัดนางด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียม "มิใช่คุณชายน้อยตระกูลเศรษฐีสักหน่อย หน้าขาวดุจหยกเข้าท่าที่ไหน? ข้าจะพาเขาไปท่องสนามรบสักรอบ ถึงทำให้เขามีความหยาบอย่างลูกผู้ชายขึ้นมาอีกหน่อยได้!"

อุ๊บ

โหลวซิ่นย่อมกล้าแต่ขำกลิ้งในใจอยู่แล้ว ไม่กล้าเล็ดลอดแสดงออกมาเด็ดขาด ดูท่าฝ่าบาทจะติดใจกับคำกล่าวที่ว่าคู่กิ่งทองใบหยกมากจริงๆ พูดตามจริงตอนนี้ก็คือเห็นใบหน้าหล่อสะอางของเฉิงสิบแล้วขัดหูขัดตา ต้องให้เขาไปฝึกฝนจนกลายเป็นพวกหยาบกระด้างถึงพอใจ

ก็ไม่รู้ว่าถัดจากนี้เฉิงสิบต้องรับโทษทัณฑ์สาหัสสากรรจ์เท่าใด

โหลชีอดทำตาโตเป็นไม่ได้ มองใบหน้านั้นของเฉินซ่า นี่ นายท่าน ฝ่าบาท ยังมีหน้าว่าเฉิงสิบอีกหรือ? หากกล่าวถึงหล่อเหลา ท่านยังหล่อกว่าเขาอีกหลายส่วนแน่ะ!

ฟังจากความหมายของเขา ไม่ทำใบหน้าขาวหล่อของเฉิงสิบให้หยาบสักหน่อย ไม่ให้เขาตากแดดจนดำสักหน่อย ไม่ทำให้หน้างามๆ ของเขาอัปลักษณ์สักหน่อย เขายังไม่พอใจกระมัง?

จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เจ้าเป็นแบบนี้ปัญญาอ่อนมากเลยรู้ไหม?

"เฉิงสิบ เป็น..." นางกำลังจะกล่าวว่าเฉิงสิบเป็นองครักษ์ของนาง ถืออะไรตามเขาไปต่อสู้ แต่เฉิงสิบกลับขัดนาง

"แม่นาง ข้าน้อยจะทำตามความประสงค์ของฝ่าบาท"

เวลานี้องค์จักรพรรดิแสดงออกอย่างเด่นชัดว่าไม่ยอมให้เขาอยู่ข้างกายแม่นาง เขาไม่อยากให้แม่นางบาดหมางกับฝ่าบาทเพราะเขาจริงๆ อีกอย่าง เขามีความรู้สึกหนึ่งมาตลอด แม้เขากับโหลวซิ่นเป็นองครักษ์ของแม่นาง แต่พวกเขาอ่อนแอเกินไปหน่อย ถ้ากล่าวว่าพวกเขาคุ้มครองแม่นาง ยังมิสู้กล่าวว่าแม่นางคุ้มครองพวกเขาจะดีกว่า

ดังนั้นเขามีความคิดหนึ่งอยู่นานแล้ว พวกเขายังต้องพัฒนาความสามารถของตัวเอง แน่นอนไม่เพียงแต่เขา โหลวซิ่นก็ต้องไปด้วย ครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะขัดเกลาพวกเขาอย่างไร แต่จากการมองของเฉิงสิบ อาจเป็นโอกาสดีที่จะพัฒนาตนเองก็เป็นได้

ก่อนหน้านี้ที่พวกเขากลัว ก็เพียงเกรงว่าเฉินซ่าจะขับไล่พวกเขาไปโดยตรง ไม่ให้พวกเขาติดตามแม่นางอีก ขอเพียงมิใช่เช่นนั้น พวกเขามีอะไรให้หวั่น?

เขาตัดสินใจแน่แล้ว จะเป็นองครักษ์ของแม่นางตราบชั่วชีวาวาย แม้จนเฒ่าชราสู้รบไม่ไหว เป็นคนเฝ้าประตูก็ยังดี

โหลวซิ่นยินเขากล่าวดังนี้ จึงได้แต่ไม่ส่งสุ้มเสียง

เฉินซ่าไม่แม้แต่จะมองพวกเขา โบกมือเอ่ย "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าทั้งสองก็ออกจากหุบเขาก่อนเถอะ ไปรายงานตัวกับอิง!"

เฮอะ เขาไม่อยากให้เฉิงสิบยืนอยู่ข้างโหลชีแม้แต่นาทีเดียว!

ยังอีก ต่อจากนี้เขาจะไม่ห่างจากชีชีแม้แต่ก้าวเดียว แม้นมีคนกล่าวคู่กิ่งทองใบหยกอะไร นั่นก็เป็นได้แต่เขากับชีชีเท่านั้น

โหลชีมองใบหน้าที่ยังพกพาโทสะของเขา อดถอนหายใจไม่ได้ เสียงอ่อนหลายส่วน "ข้าว่านะฝ่าบาท เราเป็นผู้ใหญ่ใจกว้างกันหน่อยได้ไหม?"

บางคนเหล่มองนางแวบหนึ่ง ครู่หนึ่งแล้วถึงตอบนางสองคำ "ไม่ได้!"

โหลชีอยากล้มตึง

อวิ๋นเห็นพวกเขาเช่นนี้ ความระทึกในหัวใจปั่นป่วนเหลือแสน และไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น ขึ้นหน้าหนึ่งก้าวกำหมัดเอ่ย "ก่อนหน้านี้ข้าน้อยไม่ทราบ พูดจาเลอะเทอะ ขอแม่นางโหลโปรดอภัย ไม่ทราบ..."

ถ้อยคำกล่าวถึงตรงนี้ เฉินซ่าไหนเลยจะยอมให้เขาเข้าใจผิดอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เก่งที่สุดข้างตัวเขา ย่อมบอกกล่าวให้ชัดเจนอย่างเป็นทางการหน่อย

"มาคารวะพระสนม รอให้ข้าสร้างแคว้นแล้ว นางก็คือฮองเฮาของพั่วอวี้!"

อวิ๋นยังตกใจไม่สร่าง เฉินซ่าก็เสริมอีกประโยค "ข้ารับปากให้นางเป็นหนึ่งเดียวในวังหลังแล้ว นอกจากนาง ชาตินี้จะไม่มีหญิงอื่นอีก คำสั่งของพระสนมเท่ากับคำสั่งของข้า"

อะไรนะ?!

อวิ๋นตะลึงงันทันที

เฉินซ่าไม่เคยกล่าวเช่นนี้มาก่อน "อีกอย่าง ครั้งนี้ถือว่าเจ้าไม่รู้ไม่ผิด ครั้งต่อไปหากเห็นพระสนมพวกเจ้ายืนกับชายอื่น ทำให้เจ้ามีความรู้สึกประเภทคู่กิ่งทองใบหยกอะไร..." นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาหรี่ลง จิตสังหารทะลักออกมาในพริบตา "เจ้าก็พุ่งเข้าไปฆ่าคนผู้นั้นเสีย!"

นี่ถึงกับไม่สนใจสิ่งใด รูปลักษณ์ภายนอกผู้ใดเหมาะสมกับโหลชี กล้ายืนเคียงไหล่กับนาง ก็ฆ่าๆ!

ความกลัวของอวิ๋นเผยสู่ภายนอก พูดไม่ออก อดหันไปทางโหลชีไม่ได้ กลับเห็นนางกำลังปลิ้นตาพอดี ยื่นมือล้วงไปทางข้างเอวของฝ่าบาท หยิกเขาแรงๆ ทีหนึ่ง

เขาได้ยินเพียงเสียงนางพกพาความค้อนสามส่วน "เช่นนั้นถ้าพี่ชายข้ามาล่ะ? เจ้าอย่าลืมนะ พี่ชายข้าหน้าตาหล่อขั้นเทพ ต้นหยกต้อง..."

แต่น้ำหนักเพียงนี้ของนางไม่นับเป็นอะไรต่อเฉินซ่าจริงๆ และไม่สังเกตเรื่องพรรค์นี้ โหลชียิ่งไม่รู้สึกตัว จิตใจมึนงงไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ไหน

เดิมทีเฉินซ่าก็เป็นห่วงนางมาก ขี่อินทรีเร่งรุดมาแบบนี้ ทำเอาขาวโตๆ เหนื่อยจนยามนี้ยังกระหืดกระหอบ มาถึงแล้วก็เอาศีรษะปักเข้าทะเลหึงหวงอย่างแรง อารมณ์พลุ่งพล่าน คับอกแน่นในทรวง ทั้งไม่อาจสังหารทุบตีเฉิงสิบ จึงได้แต่ใช้วิธีนี้ระบายอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่เต็มอก

ผ่านไปพักหนึ่งโหลชีก็สะดุ้งได้สติ ยื่นมือกดบ่าเขา ผลักเขาออก

เฉินซ่าปล่อยออกด้วยความลำบากเล็กน้อย ก้มศีรษะมองนาง

"...ไม่ดูว่านี่คือที่ใด ไม่สนใจอะไรจริงๆ..." โหลชีอดทุบเขาไม่ได้ โมโหหนัก "ถ้าข้าไม่ห้ามท่าน ยังไม่รู้ท่านจะทำเรื่องแปลกอะไรออกมาอีก"

เขาเอ่ยเสียงทุ้ม "เจ้าเป็นของข้า ข้าก็แค่เห็นเจ้ายืนกับชายอื่นไม่ได้..."

ใบหนาโหลชีแดงเป็นดอกทับทิมโดยพลัน "นับวันก็ยิ่งไร้ยางอายโดยแท้ อะไรก็พูดออกมาได้!"

แต่กลับไม่กล้าเอ่ยว่าที่จริงนางก็ชอบเป็นอย่างยิ่ง ตาคนนี้เดิมเป็นเย็นชานัก หากอยู่กับนางตามลำพังยังหนาวจนทำให้กลายเป็นน้ำแข็งได้ เช่นนั้นสองคนอยู่ด้วยกันจะมีความหมายอะไร? ตอนนี้ดูแล้วเขายังเย็นชาถึงกระดูก แต่ในทางกลับกัน ก้นบึ้งจิตใจยังกดความชั่วร้าย

ราวกับผสมโรงกับคำวิจารณ์ของนาง ก้มศีรษะกัดติ่งหูนาง "ถ้อยคำข้า เจ้าไม่ชอบหรือ?"

"รีบหยุดปากเถอะ! องครักษ์อวิ๋นยังอยู่นะ!" ให้เขาเห็น นางรู้สึกเหมือนเสี้ยมสอนเด็กให้เสียคน

ครั้นได้ยินนางเอ่ยถึงหวิ๋น เฉินซ่าก็กดใบหน้านางเข้าทรวงอก ไม่ให้นางเงยหน้า

เสียงโหลชีอู้อี้ "นี่เจ้าทำอะไร? ยังไม่ปล่อยข้าอีก!"

เฉินซ่าเชอะเสียงหนึ่ง "ท่าทางเจ้าแบบนี้ ชายใดเห็นแล้วจะทนได้บ้าง? ข้าจะไม่ให้ผู้ใดได้เห็นใบหน้าเจ้าเด็ดขาด"

นางที่งามเพริศจนเหมือนปีศาจเช่นนี้ จะให้คนอื่นเห็นแม้แต่น้อยได้อย่างไร?

โหลชีจนใจ รู้ว่าเขาดื้อรั้นคิดเล็กคิดน้อยด้านนี้ยิ่งนัก จึงปล่อยตามเขาไปเสียเลย

อวิ๋นกล้าดูที่ไหน?

เขายิ้มขม ในใจนึกถึงอามู่ขึ้นมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ