ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเฉินซ่ากับโหลฮ่วนเทียนก็เคร่งขรึมลงมาพร้อมกัน
พวกเขาล้วนไม่ใช่คนโง่ ในสมองย่อมคิดย้อนกลับมาในทันที สามารถทำให้หลงหลินมารายงานด้วยความประหม่าเช่นนี้ได้ น่าจะไม่ใช่คนหรือสิ่งที่ไม่มีความสำคัญอะไรในตระกูลโหล เช่นนั้น ฮูหยิน ย่อมหมายถึงหยุนโยวใช่ไหม คุณหนู? หยุนโยวมีเพียงแค่ลูกชายกับลูกสาวคู่เดียวเท่านั้น คุณหนูย่อมหมายถึง...โหลชี!
"เรื่องที่ท่านหาชีชีเจอ ป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ในทันทีเลยหรือ?" เฉินซ่าเหลือบมองไปทางโหลฮ่วนเทียนด้วยสีหน้าไม่พอใจ "ข้านึกว่าไม่น่าจะใครในตระกูลโหลรู้ถึงการดำรงอยู่ของชีชี!"
โหลฮ่วนเทียนขมวดคิ้ว "ไม่มีใครรู้จริงๆ คนที่รู้ว่าท่านแม่ของข้ายังมีลูกสาวอีกคนหนึ่ง ก็มีแค่ไม่กี่คนในตระกูลโหลที่เป็นตระกูลหลักเท่านั้น แต่ว่าหลายปีมานี้ ข้าแค่แอบหาโหลชีอย่างลับๆเท่านั้น ท่านแม่ไม่เคยเอ่ยถึง ทุกคนแทบจะลืมกันไปหมดแล้ว กลับไปครั้งนี้ ข้าก็หาท่านแม่ ไปพิสูจน์กระดิ่งลมพักวิญญาณ ไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย"
สีหน้าของทุกคนต่างก็เคร่งขรึมลงมา
เช่นนั้นเรื่องนี้ก็แปลกประหลาดเล็กน้อยแล้ว สิบแปดปีเกือบจะยี่สิบปี การดำรงอยู่ของโหลชีแทบจะไม่มีใครกล่าวถึงเลย ถึงแม้จู่ๆโหลฮ่วนเทียนจะบอกว่าหาน้องสาวเจอ นั่นก็เป็นไปไม่ได้ที่ข่าวจะแพร่ออกไปในทันที ยิ่งไปกว่านั้น โหลชีที่หากลับมายังไม่รู้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรเลย ทำไมถึงมีคนมาขอแต่งงานถึงบ้านในทันทีได้?
"คนที่มาขอแต่งงานถึงบ้านเป็นใคร? แล้วไปเมื่อไหร่?"
กว่าข่าวจะแพร่มาถึงที่นี่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าแล้ว
หลงหลินกล่าวว่า "เป็นข่าวที่ถูกส่งมาจากทางด้านหอบังคับกฎ บอกว่าเป็นวันที่สามที่นายน้อยออกจากตระกูลโหล คนที่มาขอแต่งงานมีสองตระกูล หนึ่งคือตระกูลจิน อีกหนึ่งคือตระกูลหยุนแห่งเผ่ามนต์ขาว!"
"อะไรนะ?"
ถึงแม้โหลชีจะสงบนิ่งแค่ไหน ฟังถึงตรงนี้ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้เช่นกัน
ตระกูลจิน เมื่อครู่นี้พวกเขาเพิ่งจะพูดถึงตระกูลจิน ท่านจินน่าจะรู้ว่านางคือลูกสาวของตระกูลโหล ตอนที่อยู่ในหุบเทพมารเห็นนางใช้คำสาปเลือดดวงชะตาก็น่าจะเดาออกแล้ว แต่ว่าตอนนั้นตอนที่เขาถามนางก็เคยบอกเขาไปแล้ว ว่าตนเองจะไม่กลับไปตระกูลโหล อีกอย่างเดิมทีท่านจินกับตระกูลโหลก็จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
หรือจะเป็นเพราะว่าตระกูลโหลเอาแต่เลื่อนการแต่งงานออกไป พวกเขาถึงได้คิดจะเปลี่ยนลูกสาวตระกูลโหลคนหนึ่งในการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์? แต่ก็เป็นไปไม่ได้นี่นา ก็ท่านจินรู้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฉินซ่า......
หากกล่าวว่าตระกูลจินมาขอแต่งงานก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากแล้ว การขอแต่งงานของตระกูลหยุนแห่งเผ่ามนต์ขาวก็ยิ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์เข้าไปใหญ่
ไหนบอกว่า หยุนโยวหนีออกมาจากเผ่ามนต์ขาวไม่ใช่หรือ? ตกลงแล้วหยุนโยวแซ่โหลหรือว่าแซ่หยุนกันแน่? แล้วนางมาจากตระกูลหยุนแห่งเผ่ามนต์ขาวใช่หรือไม่?
แล้วตอนนี้ตระกูลหยุนมาร่วมครื้นเครงอะไรด้วย?
โหลชีอดที่จะนวดขมับไม่ได้ จู่ๆนางก็เริ่มอยากจะด่านักพรตเลวอีกครั้งแล้ว ในเมื่อพานางไปถึงยุคปัจจุบัน แล้วก็อาศัยอยู่ในยุคปัจจุบันนานหลายปีขนาดนั้นแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางอาศัยอยู่ฝั่งโน้นไปตลอดสิ ทำไมจะต้องส่งตัวนางกลับมาที่นี่ด้วย?
ยุ่งเหยิงอะไรอย่างนี้เนี่ย
แต่เมื่อเห็นเฉินซ่า นางก็ยับยั้งความคิดเช่นนี้ลงมา ความคิดเช่นนี้จะให้ท่านนี้ล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นบอกว่านางยินยอมที่จะไม่มาที่นี่ไม่เจอกับเขา คาดว่าเขาคงจะต้องบ้าคลั่งอีกแน่
นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ถามหลงหลิน: "จดหมายที่หอบังคับกฎส่งมายังว่าอะไรอีก? โหล...ฮูหยินตอบกลับสองตระกูลนั่นอย่างไร?"
หลงหลินยังไม่ทันได้พูด โหลฮ่วนเทียนก็กล่าวว่า: "เสี่ยวชีเจ้าวางใจได้ เป็นไปไม่ได้ที่ท่านแม่จะรับปากเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นตระกูลจินหรือว่าตระกูลหยุน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรับปาก"
เฉินซ่าฮึออกมาคำหนึ่ง: "ข้าจะทำลายล้างตระกูลจินตระกูลหยุนอะไรนั่นซะ!"
เขาไม่สนใจหยุนโยวตระกูลโหลอะไรนั่นหรอก ถ้าหากนางกล้ารับปากการขอแต่งงานของสองตระกูลนั่นจริงๆ......เขามองไปทางโหลชี ขมวดคิ้ว ก็ไม่รู้ว่าชีชีจะมีความรู้สึกผูกพันกับแม่ผู้ให้กำเนิดคนนั้นหรือไม่ ถ้าเขาฆ่าผู้หญิงคนนั้น ชีชีจะแตกหักกับเขาใช่ไหม?
ดังนั้นแล้ว การนับเครือญาติเป็นอะไรที่น่ารำคาญที่สุด
ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่แสดงออกว่าจิตใจห่อเหี่ยวมาก
ทั้งสามจ้องมองไปที่หลงหลินรอคำตอบของเขา หลงหลินแสดงออกว่ากดดันมาก เหงื่อเย็นกำลังจะไหลลงมาแล้ว แต่ก็ยังรักษาน้ำเสียงตอบกลับไปว่า: "ฮูหยินกล่าวว่า...ให้นางพิจารณาก่อน......"
เมื่อคำพูดนี้ออกมา ความกดอากาศของบริเวณโดยรอบเย็นลงมากะทันหัน ถ้าหากสายตาเหมือนดั่งมีด หลงหลินรู้สึกว่าตนเองคงถูกสายตาคมกริบของจักรพรรดิแห่งพั่วอวี้ตัดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว แต่ว่าเขาไม่พูดไม่ได้นี่นา......
"ไม่ได้ปฏิเสธไปโดยตรง แต่จะพิจารณาดูก่อน? หือ?" ใบหน้าของเฉินซ่าดำจนใกล้จะหยดเป็นน้ำหมึกอยู่แล้ว ชีชีตกลงมาในอ้อมแขนของเขาจากฟากฟ้า กว่าครึ่งปีที่ผ่านมานี้พวกเขาจับมือฟันฝ่าอุปสรรคผ่านลมผ่านฝนมาด้วยกัน ยังเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วหลายครั้งหลายครา คนพวกนั้นถือเป็นตัวอะไรกัน? กล้าดีอย่างไรมาแย่งเมียกับเขา?
ชั่วขณะหนึ่ง ไอสังหารบนร่างกายของเฉินซ่าแผ่ซ่านออกมา เสี่ยวโฉวกับเอ้อร์หลิงสองคนที่ไม่มีวรยุทธรู้สึกเพียงแค่ว่าอึดอัดแน่นหน้าอก สีหน้าซีดขาวไปหมด
โหลชีเห็นพวกนาง ก็รีบโอบแขนของเขาเอาไว้ทันที กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน: "นอกจากตัวข้าเองแล้ว ใครจะสามารถตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของข้าได้? ท่านยังไม่เชื่อข้าอีกหรือ?"
"ดูท่าเจ้าจะรังเกียจว่าก่อนหน้านี้ซ้อมเจ้าไปไม่มากพอจริงๆ"
ทางด้านนี้สองคนนี้ก็กำลังจะสู้กันอีกแล้ว หน้าประตูห้องอาหารของตำหนักสอง อามู่กำลังยื่นหน้ามองเข้าไปข้างใน องครักษ์อิง องครักษ์เยว่ ยังมีผู้ชายที่หน้าตาค่อนข้างมืดมนเล็กน้อยกำลังดื่มเหล้ากับพี่อวิ๋น
นางอยากจะเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาอย่ามอมเหล้าพี่อวิ๋นอีก แต่ว่านี่คือตำหนักจิ่วเซียว ไม่ใช่ทุ่งหญ้าข้างนอกที่ไม่ถูกจำกัดแล้ว ถ้าหากนางไม่ทำตามกฎระเบียบ จะทำให้พี่อวิ๋นลำบากใจหรือเปล่า?
อามู่กระวนกระวายใจมาก ในขณะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางก็ได้ยินคำพูดหนึ่งขององครักษ์อิง
"อวิ๋น ได้ยินมาว่าคนในพื้นที่ทางด้านทุ่งหญ้าห้าวหาญตรงไปตรงมา ผู้หญิงก็ค่อนข้างที่จะเปิดกว้าง กระทั่งยังมีผู้หญิงบางคนหากถูกใจผู้ชายคนไหน ยังยินดีที่จะเป็นคู่นอนคืนเดียวกับเขาอีกด้วย เจ้าอยู่ที่นั่นนานขนาดนั้น บอกพี่น้องหน่อยสิ นอนไปกี่คนแล้ว?"
เยว่ตบไหล่เขาไปสองสามครั้ง "เจ้าถามอะไรบ้าของเจ้า? ดื่มเมาแล้ว" ปกติอิงไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน ทำไมเมาแล้วกลับไม่มีข้อห้ามใดๆกะทันหันขึ้นมาได้
อามู่กัดริมฝีปาก หน้าแดงขึ้นมา แต่ก็อดที่จะอยากได้ยินคำตอบของอวิ๋นไม่ได้
พูดกันตามตรง ตอนที่เขาอยู่ที่นั่น ได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิงอย่างมาก เพียงแต่ว่าต่อมามีแผลเป็นแผลนั้นเพิ่มขึ้นมา กลับทำให้คนตกใจกลัวแล้วหนีไปไม่น้อย
อวิ๋นก็ดื่มเยอะไปเช่นกัน อยู่ทุ่งหญ้านานขนาดนี้ กว่าจะกลับมายังสถานที่ของตนเองได้มันไม่ง่ายเลย คนทั้งคนก็ผ่อนคลายลงมา แม้แต่สุราของที่นี่ก็ยังใสสะอาดกว่าทุ่งหญ้าเล็กน้อย ได้ยินคำพูดของอิง เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ: "ไม่มีแม้แต่คนเดียว"
อามู่รู้สึกว่ามีดอกไม้นับไม่ถ้วนเบ่งบานอยู่ในใจในทันที ยิ้มขึ้นมาในทันที
แต่ในเวลานี้หางตาขององครักษ์อวิ๋นกลับเหลือบมองเห็นนาง สีหน้าท่าทางชะงักงัน กล่าวขึ้นมาอีกในทันที: "ในใจของข้ามีคนที่ชอบแล้ว หลังจากที่สถาปนาแคว้นแล้วก็จะขอนางแต่งงาน"
"มีคนที่ชอบแล้ว? ใครกันน่ะ? ทำไมเราถึงไม่รู้?" อิงกับเยว่ต่างก็อึ้งไปครู่หนึ่ง อามู่ที่อยู่นอกประตูร่างกายก็กระชับตึงมากยิ่งขึ้น คนที่เขาพูดถึง คือใครกัน? จะใช่นางหรือเปล่า?
ความจริงแล้วอวิ๋นก็เมาเล็กน้อยแล้ว เดิมทีในใจของเขาก็ไม่มีใครอยู่แล้ว มึนๆงงๆชั่วขณะหนึ่งก็นึกผู้หญิงออกมาคนหนึ่งไม่ได้ ในสมองก็เริ่มคิดถึงผู้หญิงที่ฐานะพอจะเหมาะสมกันได้อย่างยุ่งเหยิงรอบหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้นึกถึงเอ้อร์หลิงที่พาคนมาจัดเตรียมงานเลี้ยงให้พวกเขาเมื่อครู่นี้ขึ้นมาได้
ก่อนที่เขาจะออกจากตำหนักจิ่วเซียวย่อมรู้จักเอ้อร์หลิงอยู่แล้ว ถึงอย่างไรในตอนนั้นเอ้อร์หลิงก็เป็นนางกำนัลในตำหนักสองซึ่งสามารถเข้าไปปรนนิบัติในตำหนักสามได้เป็นครั้งคราว อีกอย่างไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ ครั้งนี้เขาเห็นเอ้อร์หลิง พบว่านางร่าเริงเปิดเผยกว่าหนึ่งปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด คนทั้งคนดูมีสง่าราศี ก็ค่อนข้างมีความประทับใจอยู่ ดังนั้นเขาก็เลยโพล่งออกมา: "เอ้อร์หลิง!"
อิงมองดูเขาอย่างตะลึงอึ้ง แต่หลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ตบไปที่ไหล่ของเขาแล้วกล่าวว่า: "เพื่อน เจ้านี่มันแน่จริงๆ! เอ้อร์หลิงนังหนูคนนั้นเมื่อก่อนก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไร แต่ว่าครึ่งปีมานี้ติดตามอยู่ข้างกายของพระสนม ความกล้าหาญก็เพิ่มมากขึ้น หน้าตาก็สวยสดใสมากยิ่งขึ้น มีพี่น้องไม่น้อยที่คอยจ้องมองนางอยู่ทุกวัน"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ