ตอนนี้ฐานะของเอ้อร์หลิงในตำหนักจิ่วเซียวไม่ต่ำต้อยอย่างแน่นอน แม้แต่เยว่กับอิงก็ยังไม่กล้าปฏิบัติต่อนางเหมือนขุนนางหญิงฝ่ายในทั่วไป เพราะนางติดตามโหลชี
โหลชีคนนั้นน่ะ ปกป้องคนของตนเองนั้นยังคงชัดเจนมาก เอ้อร์หลิงติดตามนางอย่างแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง โหลชีย่อมต้องปกป้องนางอยู่แล้ว ใครรังแกเอ้อร์หลิง โหลชีจะไม่สนใจว่านี่เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอน จะต้องออกหน้าแทนนางแน่ ดังนั้นตอนนี้เยว่กับอิงก็ปฏิบัติต่อเอ้อร์หลิงด้วยความสุภาพเรียบร้อยเช่นกัน
บวกกับเอ้อร์หลิงก็สวยสดใสจริงๆ อวิ๋นบอกว่าชอบนาง ก็ไม่แปลกจริงๆ
ถึงแม้ช่วงนี้จะมีขุนนางไม่น้อยไปมาหาสู่พวกเขาบ่อยครั้ง คนที่อยากจะแต่งลูกสาว คนที่อยากจะแนะนำหลานสาว ยังมีคนที่อยากมอบสาวงามมาเป็นสนม สิ่งที่ควรจะมีก็มีครบหมด แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นขุนนางใหญ่ ไม่ได้รู้สึกว่าการแต่งงานกับนางกำนัลมีอะไรที่มันไม่ดี
อวิ๋นฟังคำพูดของอิงแล้วรู้สึกเหงื่อตกเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเอ้อร์หลิงจะได้รับความนิยมเช่นนี้ เขาพูดแบบนี้จะนำปัญหามาให้นางหรือเปล่าเนี่ย? ถ้าหากในใจของเอ้อร์หลิงมีคนที่ชอบแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าเขาทำเรื่องที่ผิดต่อคนอื่นหรอกหรือ?
ดูท่ายังต้องหาเวลาไปทำความเข้าใจกับนาง แล้วขอโทษกับนางก่อนแล้ว
ด้านนี้อวิ๋นอยู่ในอารมณ์ที่ซับซ้อน แต่ใบหน้าของอามู่ที่อยู่หน้าประตูกลับหดหู่ราวกับขี้เถ้า
ในใจของพี่อวิ๋นมีคนที่ชอบแล้ว
แต่ว่าเอ้อร์หลิงคนนั้นเป็นใครกัน?
อามู่ไม่รู้ว่าตนเองออกมาจากห้องอาหารเมื่อไหร่ นางเดินเตร็ดเตร่อยู่ในสวนไปทั่ว สุดท้ายพบกับนางกำนัลสองนางเข้า อดที่จะขวางพวกนางเอาไว้แล้วกล่าวถามขึ้นมาไม่ได้: "พี่สาวทั้งสอง ขอถามหน่อยว่าเอ้อร์หลิงอยู่ที่ไหน?"
"เจ้าเป็นใครกัน? ทำไมถึงมาเดินเตร่อยู่ที่นี่ได้?" นางกำนัลสองนางไม่ได้ตอบคำถามของนางในทันที แต่กลับมองดูนางอย่างระมัดระวัง
"ข้าชื่ออามู่ เป็นคนที่กลับมาพร้อมกับพี่อวิ๋น"
องครักษ์อวิ๋นกลับมา ยังพาคนกลับมาด้วยสิบกว่าคน เรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วตำหนักจิ่วเซียวแล้ว ได้ยินคำพูดของอามู่แล้วนางกำนัลทั้งสองนางนั่นก็ไม่ได้สงสัยอะไร ท่าทีที่ปฏิบัติต่อนางก็ดีขึ้นมา
"พี่เอ้อร์หลิงปรนนิบัติรับใช้ที่ตำหนักสาม ตอนนี้ก็ย่อมอยู่ที่ตำหนักสามอยู่แล้ว"
"แล้วตำหนักสามอยู่ที่ไหน?"
"เดินไปทางนั้นสักช่วงหนึ่งก็สามารถมองเห็นแล้ว" นางกำนัลชี้ทางให้กับนาง แต่ก็บอกกับนางเช่นกัน: "ไม่มีการเรียกตัวของฝ่าบาทหรือพระสนม ไม่สามารถเข้าไปในตำหนักสามได้ หากว่าเจ้าอยากจะเข้าไปในตำหนักสาม ทางที่ดีที่สุดคือให้ใต้เท้าองครักษ์อวิ๋นพาเจ้าเข้าไป"
อามู่พยักหน้า "ข้ารู้แล้ว"
นางไม่อยากเข้าไปในตำหนักสาม นางแค่อยากเห็นว่าเอ้อร์หลิงคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร นางยังอยากจะถามด้วยว่าเอ้อร์หลิงจะรังเกียจแผลเป็นนั่นของพี่อวิ๋นหรือไม่
ถ้าหากพี่อวิ๋นจะแต่งงานกับเอ้อร์หลิงจริงๆ ไม่ต้องการนาง นางก็สามารถยอมรับได้......
แต่เมื่อคิดถึงตรงนี้ อามู่กลับรู้สึกเหมือนว่าหัวใจถูกฉีกออกเป็นสองส่วน เจ็บปวดจนยากที่จะอดทนได้
นางเตร็ดเตร่มาถึงหน้าตำหนักสามด้วยความสิ้นหวัง เจอกับเอ้อร์หลิงกับเสี่ยวโฉวที่เดินเคียงข้างกันออกมาพอดี เห็นนางแล้วต่างก็ชะงักงัน
คนไหนคือเอ้อร์หลิง? อามู่มองดูพวกนาง คนที่อยู่ทางซ้ายดูแล้วสวยสดใสมาก แต่ว่าคนที่อยู่ทางขวาคนนั้นหน้าตาก็ดูดีมาก คนที่อยู่ทางซ้ายดูสวยกว่าเล็กน้อย คนที่อยู่ทางขวาดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าสองสามปี......
"น้องชายท่านนี้ เจ้าคือคนที่กลับมากับองครักษ์อวิ๋นใช่ไหม? เจ้าหลงทางหรือ?" เสี่ยวโฉวมองเห็นอามู่ก่อน กล่าวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ตอนนี้อามู่ยังอยู่ในชุดผู้ชาย เพราะอายุยังน้อย การเจริญเติบโตยังไม่ได้เด่นชัดมากนัก ดูแล้วก็แค่เด็กวัยแรกรุ่นสะอาดสะอ้านที่แยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายคนหนึ่งเท่านั้น
"ข้า ข้าอยากจะหาแม่นางเอ้อร์หลิง......"
เสี่ยวโฉวมองไปทางเอ้อร์หลิง "หาเจ้าแน่ะ" พูดไปนางก็เดินไปด้านหนึ่ง
อามู่มองดูเอ้อร์หลิง หน้าตาดูสวยสดใสมากจริงๆด้วย และรูปร่างก็อรชรอ้อนแอ้นได้สัดส่วน มีทรวดทรงองค์เอว ไม่เหมือนกับนาง ที่ต้องยื่นมือไปลูบคล้ำถึงจะสามารถสัมผัสหน้าอกไข่ดาวนั่นได้......
จู่ๆอามู่ก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก ก้มหน้ามองไปที่รองเท้าของตนเอง น้ำเสียงเศร้าสร้อย "แม่นางเอ้อร์หลิงเห็นพี่อวิ๋นแล้วใช่ไหม?"
"เห็นแล้ว" เอ้อร์หลิงไม่เข้าใจว่านางอยากจะพูดอะไร
"เช่นนั้นแม่นางเอ้อร์หลิงกลัวพี่อวิ๋นไหม? แผลเป็นของเขา......"
ถ้าหากเป็นเอ้อร์หลิงเมื่อก่อน ไม่แน่ว่าเมื่อเห็นแผลเป็นขององครักษ์อวิ๋นแล้วอาจจะรู้สึกกลัวเล็กน้อยจริงๆ แต่ว่าติดตามโหลชีนานแล้ว เมื่อก่อนยังเคยฟังนางเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้เห็นและได้ยินเกี่ยวกับข้างนอกมากมาย สัตว์ประหลาดที่พบในหุบเทพมาร อีกอย่าง พูดถึงเรื่องแผลเป็น ถูเปินที่กลับมาพร้อมกับโหลชีก่อนหน้านี้ก็มีแผลเป็นเช่นกัน ตอนนี้นางมีภูมิคุ้มกันแล้ว
"องครักษ์อวิ๋นได้รับบาดเจ็บเพราะไปหาสิ่งของให้ฝ่าบาท กับเขาแล้วทุกคนในตำหนักจิ่วเซียวล้วนมีแต่ความชื่นชมและซาบซึ้งใจเท่านั้น จะกลัวได้อย่างไรกัน" เอ้อร์หลิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย
นี่ก็คือคำพูดในใจของนาง ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่าบาทกับพระสนมก่อนหน้านี้ นางเห็นมันมากที่สุด นั่นคือความรักที่สวยงามที่สุดที่นางรู้สึกอิจฉา ถ้าหากพิษกู่ของฝ่าบาทรักษาไม่ได้แล้วเป็นอะไรไป แล้วพระสนมจะทำอย่างไรเล่า? ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องหวังให้ฝ่าบาทหายดีอยู่แล้ว
เมื่ออามู่ได้ยินคำพูดของนางในใจบอกไม่ถูกว่ารู้สึกมีความสุขหรือว่าเศร้าเสียใจกันแน่ แต่เมื่อมองดูรอยยิ้มของเอ้อร์หลิง นางก็ยังกัดฟันเอาไว้ แล้วก็ทิ้งคำพูดเอาไว้ประโยคหนึ่งอย่างรวดเร็ว: "เช่นนั้นอามู่ขออวยพรให้ท่านกับพี่อวิ๋น ขอให้พวกท่านอยู่ด้วยกันไปอย่างมีความสุขจนแก่เฒ่า!"
พูดจบก็หันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
เอ้อร์หลิงอึ้งจนพูดไม่ออก นานพักใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับมา
นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? นาง นางกับองครักษ์อวิ๋น?
ใบหน้างดงามของเอ้อร์หลิงร้อนผ่าวและแดงเถือกขึ้นมาในทันใด สายตาของเสี่ยวโฉวที่อยู่ด้านข้างประกายแวบขึ้นมา อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
"ท่านแม่งเห็นข้าเป็นหมูหรือ!" ในยุคปัจจุบันคุ้นเคยกับการมีลูกแค่คนเดียว ได้ยินว่าให้กำเนิดลูกห้าคน นางตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา
ห้าคน! หลังจากให้กำเนิดลูกห้าคนแล้วคาดว่าหนังท้องของนางคงกลายเป็นถุงผ้าที่ยับและหลวมใบหนึ่งแล้วล่ะมั้ง? แค่คิดก็รู้สึกว่ามันน่าสยดสยองมากแล้วว่าไหม?
อีกอย่าง ฝ่าบาทผู้ยิ่งใหญ่ ตอนนี้ท่านแม้แต่จะ...อะแฮ่ม จะเข้าสนามรบยังไม่ได้เลย ก็คิดอยากจะมีลูกแล้ว เร็วเกินไปหน่อยไหม!
"ถ้าหากต่อไปในวังมีแค่เราสองคน ก็คงจะเงียบเหงาเกินไปหน่อย แต่หากว่าให้กำเนิดแค่คนสองคน พวกเขาก็จะยุ่งอยู่กับเจ้า ถึงเวลานั้นข้าจะทำอย่างไร? ถ้าอย่างไรก็ให้กำเนิดหลายๆคนดีกว่า ให้พวกเขามีเพื่อนเล่น จะได้ไม่มีใครมาแย่งเจ้ากับข้า"
โหลชี: "......"
นางยอมแพ้เลย ที่แท้ก็คือตรรกะนี้นี่เอง
เอื้อมมือไปกดบนหน้าผากของเขาอย่างยากลำบาก หยุดเขาเอาไว้ "ถ้าอย่างไรเราแยกห้องนอนกันเถอะ......" นางสามารถไปนอนที่ตำหนักมารุตได้ ที่นั่นยังมีบ่อน้ำพุร้อน เช่นนี้ก็ไม่ต้องนอนด้วยกันตลอดแล้วก็ไม่ต้องอดทนอย่างยากลำบากขนาดนั้น
"ฝันไปเถอะ" เฉินซ่ากล่าวออกมาคำหนึ่งอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่ามันทรมาน แต่ก็เต็มใจที่จะถูกทรมาน
ตำหนักที่เคยเต็มไปด้วยความเงียบเหงาโดดเดี่ยว ตอนนี้กลับมีความอบอุ่นที่สามารถกอดเอาไว้ในอ้อนแขน เขาจะยอมปล่อยมือได้อย่างไร
โหลชีหมดคำจะพูด
หลังจากการนัวเนียใกล้ชิดที่ทำให้คนหน้าแดงร้อนวูบวาบแล้ว นางก็โน้มตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเขาแล้วกล่าวว่า: "พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางไปหาตัวยานำพาอีกสองชนิด....."
ไม่ว่าจะสามารถแก้กู่ปลิดชีพได้หรือไม่ อย่างไรก็ต้องหาตัวยานำพาให้ครบก่อนค่อยว่ากัน หลังจากที่หาครบแล้วก็ให้หมอเทวดาทำเป็นยา พกติดตัวเอาไว้ตลอด เมื่อนางพบวิธีที่จะทำลายกู่ปลิดชีพแล้ว ก็จะสามารถแก้พิษพร้อมกันได้ทันที
เฉินซ่ากลับส่ายหน้า: "รอให้ข้ารวมพั่วอวี้ให้เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ข้าจะไปพร้อมกับเจ้า"
ยังไม่รู้ว่าแมลงสนแดงกับปลาน้ำแข็งที่เหลืออยู่ที่ไหน ไปแล้วจะพบเจอกับอันตรายอะไร เขาไม่อยากแยกจากนางอีก
ส่วนตระกูลโหล เขาก็จะตามนางไปด้วยเช่นกัน
วันรุ่งขึ้น โหลฮ่วนเทียนรู้ว่าโหลชีได้ตัดสินใจแล้ว ยังไม่สามารถกลับไปกับเขาได้ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าในใจของนาง เฉินซ่ามีความสำคัญกว่าท่านแม่อย่างแน่นอน ข้อนี้เขาไม่สามารถพูดอะไรได้
"เสี่ยวชีวางใจ พี่จะกลับไปดูก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้น" เขาลูบไปที่หัวของโหลชี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ