ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 472

ครั้นพยุงขึ้นมาแล้ว สาวใช้ทั้งสองก็กรีดร้องเป็นเสียงเดียว พร้อมกันนั้นก็ปล่อยมือผละเกาอินอินออกด้วย

นี่มันอะไรกัน!!!

คุณหนูใหญ่ของพวกเขาเป็นสตรีงามเลื่องชื่อแห่งเขาซงซาน เป็นแม่ทัพหญิงที่กองพยัคฆ์สามหมื่นลอบมีใจหมายปอง แต่คนตรงหน้านี้เป็นตัวอะไร? เส้นผมร่วงหล่นเป็นกอบเป็นกำ ล้านไปเป็นแถบๆ ดวงตาเขียวบวมเหลือเพียงขีดสองขีด มุมปากก็เขียวบวมจนปากเบี้ยว

นี่ใช่คุณหนูใหญ่ของพวกเขาหรือ?

โหลชีกลับเฉินซ่าไม่อยากอยู่ต่อ ขี่เจ้าขาวบินกลับค่ายในคืนราตรีสุดท้าย

หลังจากพวกเขาจากไปไม่นาน ในจวนจอมพลเกาแห่งเขาซงซานก็มีเสียงกรีดร้องตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกดังระงม

"ท่านจอมพลสิ้นแล้ว!"

"คุณหนูใหญ่...สิ้นแล้ว!"

"ฮูหยิน ฮูหยิน!"

ท่ามกลางเสียงครวญ มีคนล้มลงไปเป็นคนๆ

หลังจากกองพยัคฆ์ได้รับข่าวไม่นานก็รับกับการโจมตีของกองทัพใหญ่เฉินซ่า คนของพวกเขาทางนั้นจิตใจระส่ำระสาย กลุ่มมังกรหัวกุด กองทัพใหญ่เฉินซ่ากลับฮึกเหิมยิ่งนัก

พวกเขาส่งคนไปตามกุนซือซู่ แต่กุนซือซู่ที่แต่เดิมอยู่แต่ในจวนกุนซือไม่ค่อยไปออกไปไหนกลับไม่รู้ไปไหนเสียแล้ว ไม่มีผู้ใดหาร่องรอยเขาพบ

ก่อนที่กองทัพใหญ่ของเฉินซ่าจะย้อนกลับมา เพียงแค่ใช้จำนวนคนบดขยี้ด้วยกำลังโดยตรง แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาหาเส้นทางได้อย่างไร ทั้งที่เขาซงซานมีทางลับใต้ดินที่พวกเขาขุดหลายเส้น แต่กลับถูกอีกฝ่ายสืบรู้หมด บ้างถูกอุด บ้างถูกวางเพลิงเป็นควันหนา บางยังทำให้น้ำท่วม บางถูกรุกโดยตรง ถูกกวาดล้างจนถึงด้านหลังพวกเขาแล้ว

กล่าวว่ากองพยัคฆ์พวกเขาชำนาญใช้อุบายกลยุทธ์วิธี เฉินซ่าไม่รู้จักวิธีบัญชาการทหารวางแผน รู้แต่ใช้กำลังห้ำหั่น นี่ใครเป็นคนบอกกัน?

ใครเป็นคนพูด?

กุนซือซู่

แต่เวลานี้ดูแล้ว กองทัพใหญ่ของเฉินซ่าแทบจะมีอุบายผลุบโผล่ล้ำลึกยิ่งกว่าพวกเขาอีก กุนซือซู่ก็หายไปไหนแล้ว?

โหลชีพาเฉิงสิบกับโหลวซิ่นเข้าสนามรบด้วย แต่ครั้งนี้ที่สร้างผลงานใหญ่คือจิ้งจอกม่วงวู๊วู เพราะวู๊วูเป็นคนหาทางลับพวกนั้น

รองแม่ทัพที่บัญชาการทหารวางแผนครั้งนี้ ก็คือนาง

เฉินซ่าชำนาญการใช้กำลังตรงไปตรงมามากกว่าจริง แต่โหลชีก็เจ้าเล่ห์อุบายมาก นางนำทหารสามหมื่นลอบโจมตี เฉินซ่านำทหารสามหมื่นเก็บกวาดอยู่ด้านหลัง บดขยี้อีกครั้ง ทั้งสองร่วมมือกันในสนามรบเป็นครั้งแรก แสดงผลงานได้สอดคล้องมากเป็นพิเศษ ไร้ช่องโหว่โดยสมบูรณ์

ขณะที่กองพยัคฆ์ถูกโหลชียุแหย่จนวาวโรจน์ดุจสายฟ้าเพลิงอัคคีทะยานฟ้า ความอหังการของเฉินซ่าก็มาทันที ซัดพวกเขาจนไม่อาจโต้ตอบ

เดิมทีกองพยัคฆ์ก็อาศัยอุบายเอาชนะ หลังจากความได้เปรียบนี้ถูกโหลชีข่มลงแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ถูกบีบให้เผชิญหน้ากับเฉินซ่าโดยตรง...การปะทะซึ่งหน้านี้ พวกเขาเอาชนะเฉินซ่าได้ที่ไหน?

แต่เมื่อพวกเขาเอาระเบิดร้อยทำลายออกมา โหลชีก็หัวเราะ

ระเบิดที่อานุภาพร้ายแรงยิ่งกว่าระเบิดร้อยทำลาย ระเบิดพวกเขากลับบ้านเก่าไปทันที!

ในกองพยัคฆ์มีนายพลหลายคนอดแผดเสียงเป็นไม่ได้ "รีบไปหากุนซือซู่ รีบไปหากุนซือซู่"

เมื่อคนที่เพรียกหามีมาก โหลชีจึงได้ยิน 'กุนซือซู่' สามคำนี้ พวกเขารู้ว่าเกายู่หู่มีกุนซือคนหนึ่ง แต่กุนซือผู้นี้แซ่ซู่?

ใจนางแล่นความคิดพลัน

แซ่ซู่นี้พบเห็นไม่มาก

รอจนได้รวมพลกับเฉินซ่า นางจึงพูดถึงกุนซือซู่

"ส่วนมากที่เขาเฉินอวิ๋นจะแซ่ซู่ใช่หรือไม่?"

ขณะที่นางถามเดิมไม่ได้คิดมาก แต่เมื่อถามออกไปแล้วกลับเห็นนัยน์ตาส่วนลึกของเฉินซ่ามีความซับซ้อนนิดหนึ่ง ชะงักงันทันที

ทุกครั้งที่พูดถึงเขาเฉินอวิ๋นหรือซู่หลิวอวิ๋น ถึงเฉินซ่าไม่แสดงความละอายอะไรเทือกนี้ แต่ในดวงตาลึกๆ มักมีความซับซ้อนอยู่หน่อยหนึ่ง

นี่เป็นเพราะอะไรกันแน่?

เมื่อก่อนพวกเขาก็บอกสาเหตุบางอย่างของเขาเฉินอวิ๋นกับเขา แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ถึงซู่หลิวอวิ๋นจะมีไมตรีหรือข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับเขา หรือว่าตอนนี้ยังอธิบายโดยละเอียดกับนางไม่ได้?

นางเป็นคนที่ไม่ยอมให้มีปมปัญหาเด็ดขาด

เมื่อก่อนมักมีผู้เชี่ยวชาญด้านความรัก ผู้เชี่ยวชาญด้านเพศพูดว่าชายหญิงสองฝ่ายต้องให้ช่องว่างกันและกัน อย่าบีบถามเรื่องในอดีตของอีกฝ่าย ยังพูดว่าก่อนที่จะพบเธอ ความทรงจำของสองฝ่ายไม่เกี่ยวกับเราอะไรพวกนั้น...

เหลวไหลสิ้นดี!

ความทรงจำกับเรื่องในอดีตก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกี่ยวกับปัจจุบันทั้งหมดนี่

พูดในทางที่ดี ความทรงกับอดีตของอีกฝ่ายทำให้เกิดเป็นเขาในปัจจุบัน

พูดในทางร้าย ความทรงกับอดีตของอีกฝ่ายยังแฝงอยู่ในจิตใต้สำนึกส่งผลกระทบกับเขาในปัจจุบัน

จะไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร?

ถ้าไม่รู้ ตอนที่คนหรือเรื่องในอดีตเหล่านั้นโผล่ออกมานางจะรับมืออย่างไร? เกิดอดีตมากับแผนการ หากรู้เรื่องจริง จะช่วยให้นางพิจารณาได้ตรงจุดมากขึ้น

เฉินซ่ากลับไม่รู้ว่าในพริบตาเดียวนางก็คิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ส่ายหน้า "ไม่อยู่แล้ว แต่เชื้อสายของผู้ครองเขาแซ่ซู่ "

เชื้อสายนั้นของผู้ครองเขา ย่อมรวมซู่หลิวอวิ๋นด้วย

"เช่นนั้นกุนซือซู่คนนี้ เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นคนของเขาเฉินอวิ๋น" โหลชีมองเขาด้วยสีหน้าเรียบ

เฉินซ่านิ่งขรึมก่อนพักหนึ่ง

นี่เป็นความเงียบงันในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้ดวงตาของโหลชีหรี่ลงเล็กน้อย แต่ไหนมานางไม่ชอบให้มีช่องว่างแห่งความเข้าใจผิด เอ่ยถามพลัน "เจ้ากลัวว่าจะมีคนทำให้เจ้าจำต้องเป็นศัตรูกับเขาเฉินอวิ๋นใช่หรือไม่?"

"พระสนมเสด็จกลับมาแล้ว!"

โหลชีกลับถึงตำหนักสาม เสี่ยวโฉวกับเอ้อร์หลิงต่างดีใจมาก ออกมารับทันที

แต่ทั้งสองความรู้สึกไวต่างพบว่าอารมณ์นางไม่สู้ดี โหลชีไม่ได้พูดมาก ให้พวกเขาเตรียมน้ำร้อน นางแช่น้ำอย่างผ่อนคลาย ใช้เครื่องหอมที่ตนปรุง หลังจากแช่น้ำออกมาแล้วความเหนื่อยล้าก็มลายหายไปหมด ผิวพรรณเนียนนุ่มพกพากลิ่นหอมจางๆ

ด้วยฝีมือนี้หากใช้แลกเงินคงทำกำไรได้เป็นจำนวนมาก เพียงแต่เวลานี้นางไม่ขาดเงิน จึงคร้านเอาใจผู้หญิงวังหลังเรือนหลังเหล่านั้น

อวิ๋นมาถึงตรงเวลา โหลชีนิ่งพิงอยู่ในศาลาอย่างเนือยๆ แล้ว เบาะที่นางนั่งล้วนเป็นของที่เสี่ยวโฉวเย็บเองกับมือ นุ่มนิ่มอบอุ่น วู๊วูก็ถูกเสี่ยวโฉวอุ้มไปอาบน้ำสะอาดแล้ว ตอนนี้กำลังนอนขดอยู่ข้างเท้าโหลชี ท่าทางขี้เกียจ หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกลักษณะคล้ายคลึงอยู่บ้าง

ศาลาแขวนม่านไม้ไผ่บังลม วางเตาถ่านเส้นเงิน บนโต๊ะวางผลไม้ที่ผ่าแล้ว เอ้อร์หลิงยังหยิบหนังสือนิยายมาให้โหลชีพลิกอ่านด้วย

ทันใดนั้นอวิ๋นก็ได้เห็นความรู้สึกเงียบสงบอย่างหนึ่ง แต่จากนั้นก็สะดุ้งตื่น

ท่านนี้ เห็นในสถานที่อย่างหุบเขาร้อยแมลงเป็นครั้งแรก จะเอาความรู้สึกเงียบสงบแบบนั้นอยู่กับตัวนางได้อย่างไร?

โหลชีเห็นเขากลับคืนเป็นปกติในชั่วแวบเดียว ในใจผิดหวังอยู่บ้าง

ที่นี่เสี่ยวโฉวกับเอ้อร์หลิงจัดทำขึ้น แต่เมื่อครู่นางก็ใช่จะไม่เคยคิด ลองดูสิว่าบรรยากาศเช่นนี้จะทำให้อวิ๋นผ่อนคลายได้ไหม จากนั้นก็พูดเรื่องที่นางต้องการรู้

เพียงแต่การควบคุมตนเองของเขาไม่เลวเลย

"องครักษ์อวิ๋นเชิญนั่ง"

อวิ๋นก็ไม่ดัดจริต นั่งอยู่ตำแหน่งที่ห่างจากนางไกลที่สุด

"ครั้งนี้พวกเราไปเขาซงซาน พบว่าเกายู่หู่มีกุนซืออยู่คนหนึ่ง รู้วิชากู่ ทำอาวุธเป็น ที่สำคัญที่สุดคือ รู้วิชากลไก อีกอย่าง เขาแซ่ซู่" โหลชีไม่พูดอ้อมค้อม ที่นางเรียกหาองครักษ์อวิ๋น ก็เพราะนางรู้ว่าเยว่กับอิงต้องรู้ไม่มากแน่ มิเช่นนั้นก่อนหน้านี้นางก็น่าจะดูออกแล้ว แต่องครักษ์อวิ๋นกลับไม่แน่ ด้วยความสามารถของเขา ทั้งยังอยู่กับเฉินซ่านานที่สุด เรื่องที่เขารู้อาจมากกว่าอิงกับเยว่เล็กน้อย

เป็นอย่างที่คิด ครั้นได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ นัยน์ตาอวิ๋นก็หดเล็กน้อย บางทีคนอื่นอาจไม่เห็นความผิดปกติ แต่โหลชีกลับมองออก

อวิ๋นรู้

พูดอีกนัยหนึ่ง หรือหมายถึงเขาเฉินอวิ๋นกับเฉินซ่า ยังมีอะไรที่นางไม่รู้

โหลชีโพล่งคำหยาบอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับนิ่งเฉย เพียงแต่มองอวิ๋น

นางเช่นนี้เหมือนยังกล่าวไม่จบ และต่อความด้วยยากที่สุด อวิ๋นไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ นางรู้อะไรมากันแน่

"ฝ่าบาททรงจับกุนซือท่านนั้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ?" เขาเอ่ยถาม

ดูท่าอวิ๋นอยากรู้ผลลัพธ์ของกุนซือซู่ท่านนั้นก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะพูดอะไร องครักษ์อวิ๋นที่ดูเหมือนตรงไปตรงมา ไม่เบาปัญญาขนาดนั้นจริงๆ ด้วย

โหลชีเลิกคิ้วเอ่ย "ไม่รู้สินะ ข้ากลับมาก่อน"

ที่จริงกุนซือซู่หายไปแล้ว แต่นางไม่บอก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ