ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 473

ตอนนั้นเฉินซ่าเล่าเรื่องในอดีตของเขากับซู่หลิวอวิ๋นให้นางฟังแล้ว ที่จริงไม่นับเป็นอดีตอะไร จะพูดถึงสาเหตุ หรือว่าเวลาอยู่ร่วมกัน เวลาที่เขากับน่าหลานฮั่วซินอยู่ด้วยกันไม่แน่ว่าจะมากกว่าซู่หลิวอวิ๋นหลายเท่า นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมตอนนั้นอิงกับเยว่คิดว่าตำแหน่งจักรพรรดินีเป็นศึกระหว่างน่าหลานฮั่วซินกับซู่หลิวอวิ๋น แต่กลับเห็นงามกับน่าหลานฮั่วซินมากกว่า

ก็เพราะตอนนั้นที่พบกับซู่หลิวอวิ๋นที่เมืองนั่วราเป่ยชาง นอกจากตอนแรกที่เฉินซ่ายังนับว่ายอมให้นางนิดหน่อยแล้ว แต่ตอนหลังยังเคยกล่าวกับนาง ด้วยถ้อยคำอย่าง 'เจ้าเป็นตัวอะไร' นางไม่เชื่อระหว่างเฉินซ่ากับนางจะมีอะไร

ในใจเขามีความลับอยู่บ้าง แต่จะไม่เพราะแค่ซู่หลิวอวิ๋นเท่านั้น ซู่หลิวอวิ๋นอาจเป็นแค่ปัจจัยเล็กๆ ในนั้น

อวิ๋นนั่งอีกพักหนึ่ง เอ่ย "หากพระสนมมีเรื่องอันใดก็ถามนายท่านโดยตรงได้พ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อนั้นความสนใจของโหลชีก็ลดฮวบนิดๆ โบกมือ "ช่างเถอะ ข้าไม่มีอะไรจะถามแล้ว องครักษ์อวิ๋นไปทำงานของท่านเถอะ"

ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อเฉินซ่า แต่กลัวว่าความคิดของทั้งสองจะคลาดกัน แนวคิดต่างกันเล็กน้อย บางทีบางเรื่องเขาอาจคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกนาง แต่กลับไม่รู้ว่าเช่นนี้จะทำให้นางไม่พอใจ

เพียงแต่อวิ๋นอ้ำๆ อึ้งๆ แบบนี้ จู่ๆ นางก็ไม่อยากบี้ถามต่อ

อวิ๋นลุกขึ้นแล้วออกจากศาลา โหลชีเรียกเขาหยุดอีก "งานวันเกิดของผู้อาวุโสใหญ่เขาเวิ่นเทียนจะเชิญเขาเฉินอวิ๋นหรือไม่?"

"พ่ะย่ะค่ะ เขาเฉินอวิ๋นกับเขาปี้เซียนน่าจะได้รับเทียบเชิญด้วยพ่ะย่ะค่ะ"

โหลชีพยักหน้า

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงตอนนั้นไปเขาเวิ่นเทียนยังไม่รู้จะคึกคักขนาดไหน และเรื่องที่จะเกิดที่นั่น ผู้ใดก็คาดไม่ถึง

อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสใหญ่กับเฉินซ่าจะมีรอยร้าวอยู่เก่าก่อน นางกับผู้อาวุโสสามเองก็ยังมีความแค้น กับน่าหลานฮั่วซินด้วยแล้ว นั่นคงต้องตายกันไปข้างแน่ ถึงตอนนั้นยังมีซู่หลิวอวิ๋น อ้อ จิ่งหยาวแห่งเขาปี้เซียนก็ไม่แน่ว่าจะไปด้วย...

โหลชีรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าการไปเขาเวิ่นเทียนครั้งนี้ต้องเกิดเป็นเรื่องใหญ่แน่

"พระสนมทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะ?" เสี่ยวโฉวเห็นสีหน้านางครุ่นคิด อดถามขึ้นไม่ได้

"ข้ากำลังคิดว่า ข้าต้องทำสายรัดเอวใหม่ถึงจะดี" โหลชีกล่าวเช่นนี้ ทำเอาเสี่ยวโฉวกับเอ้อร์หลิงมองหน้ากัน ทั้งสองก็ฉงนฉงายมึนงงบางส่วน

สายรัดเอว?

สายรัดเอวของนางก็วิเศษล้ำลึกมากอยู่แล้ว ตอนนี้ยังจะทำอย่างไรอีก?

แต่โหลชีกลับพูดแล้วก็ทำทันที ทั้งไม่เพียงแค่สายรัดเอว นางยังทำของขึ้นมากมาย ยาแช่อาบยังทำไม่เสร็จ ฝีมือผู้อาวุโสใหญ่เขาเวิ่นเทียน เมื่อก่อนแม้แต่เฉินซ่ายังหวาดหวั่น ถึงตอนนี้ฝีมือเฉินซ่าจะก้าวหน้าไม่ด้อยไปกว่าเขาแล้ว ทว่าแต่เล็กนางไม่ชินกับการมอบความปลอดภัยของตัวเองอยู่ในมือคนอื่น แม้คนผู้นี้จะเป็นเฉินซ่าก็ตาม

นางไม่ใช่เด็ก คงถูกเหน็บอยู่ข้างเอวเฉินซ่าติดตามตลอดเวลาไม่ได้กระมัง?

อีกอย่าง นางมีลางสังหรณ์ น่าหลานฮั่วซินกับซู่หลิวอวิ๋นต้องลงมือในครั้งนี้แน่

"เอ้อร์หลิง ช่วงนี้ข้าจะไปเก็บตัวที่ตำหนักยา ใครก็ห้ามรบกวนข้าเป็นอันขาด" นางคิดถึงจุดนี้ก็ลุกขึ้น เรียกเสี่ยวโฉว

เอ้อร์หลิงร้อนใจ "เช่นนั้นหากฝ่าบาทเสด็จกลับมาถามถึงพระสนมล่ะเพคะ?"

"บอกเขาตามตรงว่าข้าจะเก็บตัว ไม่พบใครทั้งนั้น รวมถึงเขาด้วย" โหลชีไม่หันหน้า เรียกเสี่ยวโฉวเอาของตรงดิ่งไปตำหนักยา

ครั้งนี้นางต้องนำสิ่งของไปมากกว่าเดิม ต้องเตรียมตัวให้ดี มีความช่วยเหลือจากหมอเทวดาจะง่ายขึ้นมาก

แน่นอน หมอเทวดายินดีต้อนรับโหลชีไปเก็บตัวที่นั่นมาก ถึงเขาจะสอนโหลชีไม่น้อย แต่เขากลับเรียนรู้จากโหลชีมากกว่า

เนื่องจากตำหนักยามียาหายากล้ำค่ามากมาย ทั้งยังเก็บกระสายยาของเฉินซ่า กระสายยาเหล่านั้นหามาด้วยความลำบากแสนเข็ญ ดังนั้นจึงมีความมหาศาล

ด้วยเหตุนี้ตำหนักยาจึงเป็นสถานที่ที่ป้องกันหนาแน่นมากที่สุดในตำหนักจิ่วเซียว ครั้นโหลชีมาก็เปลี่ยนค่ายกล ทั้งยังดึงหน่วยศูนย์มาด้วย ให้พวกเขาเป็นองครักษ์ที่นี่สองสามวัน ค่ายกลยังเสริมค่ายกลคำสาปอีก คนของตำหนักยาก็ออกได้แต่ห้ามเข้า ดังนั้นขณะที่เฉินซ่ารีบเร่งกลับถึงตำหนักจิ่วเซียวจึงถูกปิดประตูใส่อย่างจัง

ตำหนักสามไม่มีโหลชี เสี่ยวโฉวกับเอ้อร์หลิงก็ไม่อยู่ ว่างเปล่า เงียบเหงา เมื่อก่อนเป็นอย่างนี้ เขาไม่เคยรู้สึกผิดแผกหรือไม่เคยชิน แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป

ตอนนี้เขารู้สึกไม่คุ้นเคยถึงที่สุด

หาคนถามแล้วถึงรู้ว่าโหลชีไปตำหนักยา ทั้งประกาศว่าจะเก็บตัว ใครก็ห้ามรบกวน แน่นอนว่ารวมถึงเขาด้วย

ดวงหน้าใหญ่ๆ ขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ดำจนเหมือนหมึก แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อ เดินอาดๆ มุ่งไปทางตำหนักยา

จากนั้น...

เขาติดอยู่ในค่ายกลคำสาปเกือบออกมาไม่ได้

แน่นอน มิใช่เพราะเขาฝีมือไม่พอ แต่เขารู้ว่าผู้ที่วางค่ายกลนี้คือหน่วยศูนย์ เป็นคนในมือของโหลชี ถ้าเขากล้าทำร้ายพวกเขาหรือฆ่าพวกเขา หลังจากโหลชีออกมาแล้วต้องเอาเรื่องเขาถึงที่สุดแน่

ดังนั้นองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของเราจึงได้แต่กัดฟันกรอดถอยออกมา จากนั้นก็ให้คนส่งคำพูดอย่างเป็นระเบียบ

จะว่าไปคนส่งสารนี้ เฉินซ่าก็รู้สึกขัดใจอยู่มาก เพราะไม่ใช่คนของเขา เป็นแต่หลงเอี๋ยน องครักษ์ลับที่โหลฮ่วนเทียนทิ้งเอาไว้ เขาฟังแต่โหลชีเท่านั้น ไม่ฟังคำพูดของผู้ใดในตำหนักจิ่วเซี่ยว รวมถึงเขา

ถ้าเป็นเฉิงสิบกับโหลวซิ่น ไม่แน่ว่ายังช่วยเขาถ่ายทอดคำพูดแต่โดยดี น้ำเสียงดีหน่อยให้เขาประโยชน์อะไรบ้าง แต่หลงเอี๋ยนไม่ ไม่ว่าเขาพูดอะไรก็เอาแต่ไปบอกแบบแข็งทื่อ

เฉินซ่าโมโหจนกลับตำหนักสามแล้วซัดศาลาพังไปหลังหนึ่ง

"นายท่าน หลังจากพระสนมเสด็จกลับมาแล้วก็เรียกข้าน้อยไปสอบถามสองสามคำ" อวิ๋นเห็นเขาโมโหจนฟังเรื่องอื่นไม่เข้าหู จึงได้แต่เข้าไปหาดาดๆ

"ถามอะไร?"

หัวใจอามู่กำลังเพรียกร้องไม่หยุด แต่ที่ทำให้นางผิดและหดหู่คือ อวิ๋นแลมองล่าง ยกจอกสุราขึ้นแหงนดื่มหมดจอก ไม่มองมาทางนี้อีก

นางผละออกจากอิง เบือนหน้าแล้ววิ่งออกไป

เยว่กวาดมองอวิ๋นเรียบๆ ยกจอกสุราขึ้นชนกับเขา "ยังคิดไม่ตก?"

"ข้าไม่รู้เจ้าพูดอะไร" อวิ๋นดื่มอีกจอก

...

พั่วอวี้รวมเป็นหนึ่งแล้ว

ดินแดนรกร้างพั่วอวี้ ยามนี้เป็นของเฉินซ่าทั้งหมดแล้ว

ข่าวนี้ระบือออกไป แพร่สะพัดทั่วเมืองพั่วอวี้

เมื่อก่อนอยู่ในเมืองพั่วอวี้ พวกเขาก็อาศัยและทำงานอย่างสงบ แต่ออกจากเมืองพั่วอวี้แล้วใครก็ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยหรือไม่ เป็นไปได้มากว่าจะพบกับกลุ่มอิทธิพลไหน ถูกฆ่าตายฉับพลัน ดังนั้นประชาชนของเมืองพั่วอวี้จึงน้อยมาก พวกเขาขลุกอยู่แต่ในเมืองพั่วอวี้ ไม่กล้าไปไหน

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ มากน้อยยังทำให้คนรู้สึกเหมือนถูกจองจำ และคนที่ขี้ขลาดก็จะกลัวว่ากลุ่มอิทธิพลไหนจะเข้าล้อมบุกตีเมืองพั่วอวี้เมื่อไร

ตอนนี้ดีแล้ว พั่วอวี้รวมเป็นหนึ่งแล้ว!

พั่วอวี้รวมเป็นหนึ่ง หมายถึงจะสถาปนาแคว้นแล้ว พวกเขาเหล่านี้เดิมเป็นคนที่ไม่มีสถานะ ต่อไปก็จะมีแคว้นเป็นของตัวเอง สถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่นี้จะเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งรกรากทำงานอยู่ที่นี่ได้อย่างวางใจ สร้างการค้าครอบครัวให้รุ่นลูกรุ่นหลาน

ถัดจากนั้น ประกาศสถาปนาแคว้นก็มาถึง

สารทฤดูปีนี้ของพั่วอวี้ องค์จักรพรรดิรวบรวมดินแดนรกร้างเป็นปึกแผ่น สถาปนาราชวงศ์ต้าเซิ่ง

ต้นเดือนแปด องค์จักรพรรดิขึ้นครองราชย์ พั่วอวี้เปลี่ยนชื่อเป็นต้าเซิ่งนับแต่นั้น ไม่มีดินแดนรกร้างพั่วอวี้อีก

ขณะเดียวกัน หัวเมืองทั้งสิบก็สร้างขึ้นพร้อมกันด้วย บวกกับเมืองเขาซงซาน เมืองชี ทุกหนแห่งล้วนครึกครื้นมีชีวิตชีวา

ยามที่ประชาชนต้าเซิ่งสามัคคีมากที่สุดก็คือยามนี้

เมืองพั่วอวี้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเซิ่งอาน ตั้งเป็นเมืองหลวง นอกประตูเมืองขยายสร้างทางหลวงกว้างขวางไร้ใดเทียม เชื่อมต่อกับอีกสิบสองหัวเมือง

องค์จักรพรรดิมีโองการ วันที่แปดเดือนสิบจัดงานแต่งตั้งจักรพรรดินี ถึงตอนนั้นองค์จักรพรรดิจะนั่งเกี้ยวพระที่นั่งท่องรอบเมืองรับการกราบไหว้ของประชาชน

และขณะที่ต้าเซิ่งจัดงานเฉลิมฉลอง องค์จักรพรรดิและว่าที่ฮองเฮาพาคนจำนวนหนึ่งและจิ้งจอกน้อย นั่งราชันอินทรีเขาหิมะไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในสายตาคนในแผ่นดินอันกว้างใหญ่...เขาเวิ่นเทียน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ