ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 474

เจ้าขาวช่างเป็นอุปกรณ์คมนาคมแข็งแกร่งที่สุดในยุคโบราณ แล้วยังลอกเลียนแบบไม่ได้อีกด้วย คนอื่นใช้เงินก็ซื้อไม่ได้ ระยะนี้ความรู้ใจระหว่างมันกับโหลชีมีมากขึ้นทุกที แถมโหลชียังทำของดีให้มันกิน ร่างกายกับจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมกว่าเดิม แน่นอน ความฉลาดทางสติปัญญายังเทียบกับวู๊วูไม่ได้

โหลชีอุ้มจิ้งจอกม่วงพูดกับมันพลางลูบขน หลงเอี๋ยนนั่งอยู่ข้างนาง เฉิงสิบกับอิ้นเหยาเฟิงติดตามอยู่ด้านข้าง

เฉินซ่า เทียนอิ่ง องครักษ์อวิ๋นและอามู่นั่งอยู่อีกทางหนึ่ง มีความรู้สึกเหมือนแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอยู่เล็กน้อย

คนมากมายขนาดนี้ เป็นขีดสุดที่เจ้าขาวจะรับได้แล้ว แต่คนจะน้อยเกินไปก็ไม่ได้ เทียนอิ่งต้องติดตามเฉินซ่าอยู่แล้ว สามองครักษ์หากไม่ตามมาก็ไม่วางใจ สุดท้ายหลังจากปรึกษากันจึงให้องครักษ์อวิ๋นที่ฝีมือดีที่สุดติดตาม ส่วนอามู่กลับวิงวอนขอตามมาในตอนท้าย ไม่มีใครอนุญาต แต่เป็นโหลชีที่พยักหน้าให้

ส่วนหลงเอี๋ยนอ้างคำสั่งของโหลฮ่วนเทียน เตรียมอยู่กับโหลชีไม่ห่างแม้แต่เงา เฉิงสิบก็ต้องตามมา ข้างตัวนางไม่มีสาวใช้ก็ไม่สะดวก แต่เสี่ยวโฉวกับเอ้อร์หลิงไม่มีวรยุทธ์ สุดท้ายจะโยกย้ายให้อิ้นเหยาเฟิงมาแทน

ตั้งแต่เก็บตัวในวันนั้นโหลชีก็ไม่ได้พบเฉินซ่าอีกจริง กระทั่งใกล้ออกเดินทางแล้วถึงส่งหลงเอี๋ยนมาบอกกล่าวกับเฉินซ่า จากนั้นก็ขี่เจ้าขาวไป กลายเป็นสถานการณ์อย่างตอนนี้ วันแรก ไม่ได้พูดกันสักคำ

วันที่สอง เฉินซ่ากระแซะเข้าไปพูดกับนาง แต่ถูกเมิน

วันนี้เป็นวันที่สาม อยู่ไม่ไกลจากเขาเวิ่นเทียนแล้ว

นอกจากโหลชีกับหลงเอี๋ยน คนอื่นรวมถึงวู๊วูต่างนั่งไม่ติดเล็กน้อย

สีหน้าองค์จักรพรรดิหงิกจนไม่รู้จะหงิกอย่างไรแล้ว รู้สึกขอเพียงมีแสงนิดๆ ก็สามารถก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองได้ เปรี้ยงปร้างจนพวกเขาตายสิ้นซาก ความกดอากาศต่ำเกินไปแล้ว พวกเขาต่างไม่กล้าเอ่ยปาก

นอกจากเสียงลมวู่ๆ ขนาดวู๊วูยังขดตัวอยู่ในอ้อมแขนโหลชี ไม่กล้าโผล่หัว

จะตายอยู่แล้ว จะตายจริงๆ...

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาก็ไม่ต้องไปถูกคนอื่นทรมาทรกรรมที่เขาเวิ่นเทียนแล้ว ถูกองค์จักรพรรดิทำตายไปเสียเลย

อามู่นึกเสียใจเล็กน้อยที่ตามมา เดิมนางคิดว่าองค์จักรพรรดิกับพระสนมจะจู๋จี๋ตลอดทาง ไม่สนใจนาง ส่วนนางก็จะพยายามถามความคิดในใจของพี่หวิ๋นสักหน่อย ใครจะรู้ว่าตลอดทางแม้แต่ลมก็ไม่กล้าหอบ จะอึดอัดตายอยู่แล้ว

อวิ๋นมองทางโหลชี กะพริบตาสองสามหน ในใจขื่นขมทรมานอย่างมากได้อยู่แล้ว เขาไม่อยากทำเช่นนี้เลยจริงๆ ให้เขาที่เป็นผู้ชายทั้งแท่งมาทำท่าแบบนี้ เขารับไม่ได้อยู่หน่อยๆ แต่ถ้ายังไม่ทำลายความกดอากาศต่ำนี้ เขาก็จะทนไม่ไหวแล้ว

"พระสนม ทรงส่งเสียงหน่อยได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?"

เขาส่งกระแสจิตไปถึงโหลชี

โหลชีเหลือบลอยๆ เขาสายตาหนึ่ง ครู่หนึ่ง "เสียง"

ส่ง 'เสียง' ให้เขาแล้ว

หวิ๋นผงะ เกือบกลิ้งตกจากตัวเจ้าขาว รีบนั่งให้มั่นคง มุมหน้าผากผุดเหงื่อกาฬออกมาปื้นหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่

ไม่มีใครบอกเขาว่าพระสนมเป็นอย่างนี้!

เขารู้จักกับโหลชีไม่นาน แถมตอนหลังโหลชีตามไปเขาซงซาน กลับมาก็เก็บตัว ก่อนหน้านี้เขายังไม่มีโอกาสรับรู้ถึงความเอาแต่ใจด้านนี้ของโหลชี ดังนั้นเมื่อครู่ถึงอดไม่ได้เกือบเป็นเรื่อง

ครั้นมองโหลชีอีก นางถึงกับยังใบหน้าไร้อารมณ์!

อวิ๋นแพ้ราบคาบ ถอยห่างไกล

ส่งกระแสจิตกับเฉิงสิบอีกกับเฉิงสิบอีก "เฉิงสิบ เจ้าติดตามพระสนมนานหน่อย อย่างน้อยก็เกลี้ยกล่อมนาง..."

"เกลี้ยกล่อมอย่างไร?"

"ให้นางพูดกับนายท่านสักประโยค ถึงจะแค่สองคำก็ตาม" เขาอยากพูดจริงๆ ส่งเสียงกับนายท่านหน่อยก็ได้! ในที่สุดเขาก็เข้าใจสักที ตอนนี้โหลชีควบคุมอารมณ์ของนายท่านโดยสมบูรณ์แล้ว เมื่อก่อนถ้าใครบอกเขาว่ามีผู้หญิงสามารถชักสีหน้าใส่นายตนได้ เขาต้องรู้สึกว่าคนนั้นบ้าแน่ ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว แต่ตอนนี้...

กลับเป็นนายท่านที่ด่าทอไม่ลง ลงมือไม่ลง แม้แต่จะเขยิบไปหาก็ไม่กล้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

เฉิงสิบส่ายหน้า ยาก เรื่องนี้ยากเกินไป เขาเป็นองครักษ์ ทั้งยังเป็นบุรุษเพศ ไม่เหมาะเกลี้ยกล่อมเรื่องนี้ แถมยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง หากตอนนี้เขาเอ่ยปากกับแม่นาง เพลิงพิโรธขององค์จักรพรรดิต้องถาโถมใส่เขาทางนี้เป็นแน่ องค์จักรพรรดิพูดกับนางไม่ได้ แล้วเขาจะได้หรือ?

รนหาที่ตายหรือ?

อดทนไว้!

พวกเขากลับไม่พบว่ามุมปากของเฉินซ่ากระตุก กำลังภายในของเขาในตอนนี้ ส่งกระแสจิตข้างตัวเขายังสามารถได้ยินแว่วๆ แม้ไม่ครบถ้วน แต่โดยรวมฟังบวกเดายังรู้ความได้

เขาอยากระบายโทสะอยู่บ้าง แต่ก็ยังอดกลั้น เขาไม่มีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน เมื่อก่อนโหลชีแสร้งโง่ทำตัวน่ารัก หรือปฏิเสธอยากแนบเนียนอยากผลักเขาออก กระทั่งอาศัยโอกาสไปหุบเทพมารกับผู้อาวุโสสามฟ่านคิดไปจากคนอย่างเด็ดขาด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยมีช่วงสงครามเย็น ไม่พูดกับเขาแบบนี้

ใจเขาระส่ำอยู่บ้าง ทั้งจะด่าจะตีก็ไม่ได้ เมื่อก่อนเขายังเคยลองบีบคอนาง พูดแรงกับนาง แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้แล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็กลัวว่านางจะโกรธหนักกว่าเดิม เขาไม่กล้าลองส่งเดช

แต่ตอนนี้ได้ยินอวิ๋นกับเฉิงสิบส่งกระแสจิตกัน เขาถึงนึกขึ้นมาได้ เขาก็ส่งกระแสจิตกับโหลชีได้นี่! ถึงนางจะไม่ตอบ แฮ่มๆ เขาก็ไม่ถึงกับเสียหน้าต่อหน้าลูกน้องใช่ไหม?

"ชีชี ยังโกรธข้าหรือ?"

น้ำเสียงนี้ขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่เป็นการระมัดระวังอย่างแน่นอน อยู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองปวดใจเล็กน้อย สายตาที่มองโหลชีน่าสงสารนิดๆ ชัดเจน

โหลชีก้มหน้ามองวู๊วู ลูบขนสลวยเงาเป็นประกาย แสร้งเป็นไม่ได้ยิน

นี่เป็นการโจมตีอย่างหนัก

พวกเขาลงตรงพื้นหญ้าอันอุดมสมบูรณ์งดงามผืนหนึ่ง โหลชีตบเจ้าขาว "ไปเถอะ ไปหาที่เล่นเอง" มาอวยพรที่เขาเวิ่นเทียน ย่อมไม่อาจไปกลับได้ในวันเดียว อย่างน้อยต้องพักสามวัน เพราะที่นี่ห่างจากที่อื่นๆ และนางก็ไม่อยากให้เจ้าขาวอยู่ที่เขาเวิ่นเทียนด้วย

เดินอีกระยะหนึ่งก็เป็นเส้นทางใหญ่ที่ขับขี่รถม้าได้คราวละสี่คันได้

"เพราะมักมีผู้ทรงอิทธิพลยศศักดิ์มาเขาเวิ่นเทียนเป็นประจำ เส้นทางนี้ถนนทั้งสี่แคว้นจึงลงขันช่วยกันสร้างขึ้น" เฉินซ่าเดินอยู่ข้างกายโหลชี ในที่สุดก็เอ่ยปากพูดแห้งๆ

ทุกคนอดมองทางโหลชีเป็นไม่ได้ หากครั้งนี้โหลชีไม่สนใจเขาอีก พวกเขาคงต้องถูกพาลโกรธด้วยแน่...เพราะอารมณ์ขององค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ไม่ดีมาตั้งแต่ต้นแล้ว อั้นนานขนาดนั้น ไม่ระบายคงเป็นไปไม่ได้

โหลชี "อือ" เสียงหนึ่ง

ด้านหลังโล่งอกราวกับปลดภาระหนักอึ้ง

เฉินซ่าราวกับได้รับกำลังใจ ขยับเข้าใกล้นางอีกนิด ในที่สุดก็ได้กลิ่นหอมจางๆ บนตัวนาง จิตใจเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว ยื่นมือคว้าวู๊วูที่อยู่ในอ้อมแขนนางออกมา แล้วโยนไปทางตัวเฉิงสิบ จากนั้นตัวเองก็กุมมือของโหลชีไว้

"..." โหลชีออกแรงสะบัด แต่สะบัดไม่หลุด ได้แต่ถลึงตาใส่เขา ได้คืบเอาศอกจริงๆ นางไม่อยากฉีกหน้าเขาต่อหน้าคนอื่น คิดไม่ถึงว่าเขาจะได้ใจนิดหนึ่งก็เอามากขึ้นเรื่อยๆ

นางยอมถลึงตาใส่เขาก็ยังดี อย่างไรก็ดีกว่าไม่มองไม่สนใจเขา

เฉินซ่าชักนางเข้าอ้อมอกตัวเอง โอบเอวนาง พานางเดินผ่านไป ทิ้งเพียงวาจาประโยคหนึ่ง

"พวกเจ้าตามมาช้าหน่อย"

อวิ๋นกับคนอื่นๆ ตะลึงงัน มองหน้ากันไปกันมา ยิ้มแหยพลางโล่งอก

อามู่มองแผ่นหลังที่จากไปของพวกเขา เอ่ย "ฝ่าบาทกับพระสนมรักกันจริงๆ เลย"

ว่าแล้วก็มองทางอวิ๋น อวิ๋นอือเสียงหนึ่ง เดินขึ้นนำไปก่อน "รีบไปเถอะ ห่างจากนายท่านมากเกินไปก็ไม่ดี"

อามู่ขบริมฝีปาก

เฉินซ่าพาโหลชีเดินห่างพวกขวางหูขวางตาพวกนั้น มาถึงป่าต้นเฟิงน้อยผืนหนึ่ง ใบสีแดงหล่นเต็มพื้น เป็นทัศนียภาพงดงามอีกแห่งหนึ่ง

"ปล่อยข้า!" โหลชีหยิบเอวเขาทีหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์

แต่เฉินซ่ากลับอุ้มนางขึ้นทันที แผ่นหลังยันกับต้นไม้ ด้านหน้าเป็นแผ่นอกร้อนระอุของเขา ริมฝีปากเขาบดกับริมฝีปากนางอย่างรวดเร็ว

ไม่พบเขาไม่สนใจเขานานขนาดนี้ "ยัยใจร้าย"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ