โหลชีเมื่อครู่น่าหลงใหล ล่อลวงเขาเพียงใด โหลชีในตอนนี้ก็เย็นชาและทำให้เขาพรั่นพรึงเพียงนั้น
สำหรับโหลชีแล้ว บุตรชายหญิงเป็นสิ่งสืบเนื่องแห่งความรัก ดังนั้นจึงเป็นได้เพียงผลึกของความรัก จะใช้เป็นข้อตกลงและวิธีตอบแทนบุญคุณไม่ได้เด็ดขาด นั่นเป็นการดูหมิ่นลูกและความรู้สึก
แต่สำหรับผู้ชายในสมัยโบราณ การแตกกิ่งก้านสาขาสืบทอดเชื้อสายไม่ใช่เรื่องที่มีความรู้สึกเท่าไร เป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่งมากกว่า เช่นเดียวกัน บุตรสำคัญมากกว่ามารดาของบุตร
สำหรับเฉินซ่า ก่อนที่จะพบโหลชีเขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันหนึ่งที่หลงรักสตรี ดังนั้น ก่อนจะถึงวันนั้นเขารู้สึกว่าก่อนที่เขาจะสร้างแผ่นดินเป็นปึกแผ่น นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด เพื่อสืบทอดเชื้อสายเขาควรมีผู้หญิงหลายคน ผู้หญิงเหล่านั้นจะเป็นใคร หน้าตาแบบไหน ที่จริงเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อน เขาจะให้ความเป็นอยู่ที่ดีกับพวกนาง แต่จะไม่อนุญาตให้พวกนางปรากฏต่อหน้าเขามากเด็ดขาด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้หญิงหนึ่งในนั้นจะเป็นบุตรสาวตระกูลซู่แล้วจะอย่างไร?
ถึงบุตรสาวตระกูลซู่จะให้กำเนิดบุตรของเขาแล้วจะอย่างไร?
ในสายตาของเขา ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเลย
แต่หลังจากที่รักโหลชีแล้ว เขาไม่อาจยอมรับสตรีนางอื่นได้อีก เขาต้องการเพียงบุตรของเขากับนาง ดังนั้น เรื่องที่รับปากในปีนั้นจึงเป็นปัญหาใหญ่
เขารู้ว่าโหลชีต้องสนใจเรื่องนี้มาก ในสายตาของนางไม่ยอมมีตำหนิ แน่นอนเขาคิดว่านางถูก
ดังนั้นนางโกรธ เขาก็ตัดสินใจจะเอาใจนางให้มาก
"แต่ไหนมาข้าไม่นับว่ายอมให้นาง อีกอย่าง หลังจากพบนางแล้วข้ายังรู้สึกเกลียดนางอยู่บ้าง"
"เกลียด? ทำไมข้าดูไม่ออกล่ะ"
"เช่นนั้นข้าฆ่านางเสียเป็นอย่างไร?" เฉินซ่ารู้ว่าหากวันนี้ไม่อธิบายให้ดีและปลอบนางให้เรียบร้อย หนึ่งเดือนหลังจากนี้ก็ไม่ต้องพูดเรื่องการแต่งตั้งจักรพรรดินีแล้ว อีกอย่าง คาดว่าคืนนี้ยัยเด็กนี่ต้องไม่ให้เขากอดนอนแน่ "เป็นเพราะการรับปากในปีนั้น ข้าจึงให้ความสนใจในฐานะนางเล็กน้อย ดังนั้นเมื่อก่อนการพบหน้าบนเรือในครั้งนั้น ก็เป็นเพราะตรวจสอบชาติกำเนิดของนาง"
โหลชีกลับชะงัก "ชาติกำเนิด?"
"ใช่ ซู่หลิวอวิ๋นบอกว่าเป็นบุตรสาวบุญธรรมของผู้ครองเขาเขาเฉินอวิ๋น แต่ที่จริงเป็นบุตรสาวแท้ๆ" เขาหมวดคิ้วนิดๆ "เป็นชาติกำเนิดที่น่ารังเกียจอยู่บ้าง"
"เช่นนั้นคำมั่นสัญญาของเจ้าจะทำอย่างไร?" ทั้งที่โหลชีรู้ว่านั่นเป็นเรื่องเมื่อนานนม และไม่ได้กลายเป็นจริง แต่นางก็ยังโกรธที่เขาใช้เรื่องลูกมาเป็นวิธีการตอบแทนบุญคุณ
อีกอย่าง เหตุใดอาหญิงของซู่หลิวอวิ๋นจึงมีข้อเรียกร้องเช่นนี้? หรือไม่รู้สึกแปลกมากหรือ?
เขาก็ไม่รู้จักคิดให้ดีก็รับปาก สมองสุกรหรือ?
สองมือของเฉินซ่าสอดเข้าใต้รักแร้นาง ยกตัวนางขึ้น ให้สายตาได้ระดับแนวเดียวกับเขา การกระทำนี้ทำให้อารมณ์ของโหลชีหลุดไปเล็กน้อย นางถลึงตาใส่เขา ขณะกำลังจะเอื้อนเอ่ย เฉินซ่าก็จับจดมองนางเอ่ย "เพื่อเจ้าข้ายังละทิ้งวังหลัง ตระบัดสัตย์เพื่อเจ้าหนหนึ่งจะไม่ได้หรือ?" ถ้อยคำนี้พูดได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก
โหลชีผงะ
แม้ว่าคนผู้นี้ไม่นับว่าเป็นคนดีอะไร แถมยังโหดเหี้ยมอยู่บ้างโดยแท้ แต่คำมั่นที่ให้ไว้กับผู้มีพระคุณช่วยชีวิต ในใจเขาคงหนักประหนึ่งเขาไท่ซันจึงจะถูก ในฐานะที่เป็นบุรุษชายชาตรี อกผายไหล่ผึ่ง การไม่รักษาคำพูดเป็นพฤติกรรมที่ชวนให้คนหยามเหยียด
แต่เขาพูดได้เปิดเผยขนาดนี้ เขาย่อมไม่ใช่คนที่ไม่เห็นคำมั่นอยู่ในสายตา เพียงแต่...เห็นนางสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ทันใดนั้นโหลชีก็รู้สึกว่า เฉินซ่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่างยิ่งยวด เพราะถ้อยคำเขาประโยคเดียวก็สามารถได้ใจคนแล้ว...
อย่างน้อยในตอนนี้อารมณ์โกรธของนางก็หายไปกว่าครึ่งแล้ว
"ไม่รักษาคำพูด ไม่ดีกระมัง?"
เฉินซ่ารู้สึกได้ว่าท่าทีนางอ่อนลงแล้ว จึงเขยิบเข้ามาจูบริมฝีปากนางอย่างได้คืบเอาศอกทันที "หากผู้ใดทนดูข้าไม่ได้ ก็มาลงมือเอาชีวิต...ขอเพียงพวกเขาชนะ" เพื่อผู้เป็นยอดรักในดวงใจ เขาจะตระบัดสัตย์สักครั้งจะเป็นอย่างไร? แต่ไหนมาเขาก็ไม่เคยกล่าวว่าตนเป็นคนดีเป็นสุภาพบุรุษ คนทั่วหล้าจะมองเขาอย่างไรก็ช่าง ขอเพียงนางอยู่ข้างกายเขาก็พอ พอแล้ว
โหลชีเงียบอีกครั้ง ยโส ยโสจริงๆ
เฉินซ่าขบริมฝีปากนางอีกทีหนึ่ง กล่าว "อีกอย่าง ตอนนั้นข้ายังเด็กไม่ประสา รับปากก็รับปากไป ตอนหลังพอคิดดูแล้ว หากนางผู้นั้นต้องการช่วยข้าจริง ก่อนที่พวกเขาจะใส่ความข้าก็ส่งข่าวมาก่อนที่ข้าจะถูกซัดตกเขาหมอกพิษไม่ดีกว่าหรือ?"
เขามิได้เบาปัญญา เมื่อก่อนอาจเพราะยังเด็กคิดได้ไม่มาก แต่หลังจากเติบใหญ่และย้อนกลับไปคิดก็พบความผิดปกติ
"ฉะนั้นท่านไม่คิดตอบแทนบุญคุณแต่แรกแล้ว?"
"หลังจากอายุสิบเจ็ดก็ตัดสินใจตระบัดสัตย์แล้ว" เขาพูดได้ไม่ใจเต็มประดา
โหลชีอดกลอกตาขาวใส่ไม่ได้ "เช่นนั้นทำไมท่านไม่พูดกับข้าให้ชัดเจน ยังจะอึกๆ อักๆ อีก?"
"ทีแรกข้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็ก พูดไปรังแต่จะทำให้เจ้าไม่สบายใจ" ถึงเขาไม่คิดทำตามคำพูดแต่แรก แต่สัญชาตญาณเขารู้สึกว่าหากพูดเรื่องนี้ออกมา นางต้องโกรธแน่ แต่หากไม่พูด เขาก็คิดว่าถึงเป็นเรื่องเล็กอย่างไรก็นับว่าปิดบังนาง ครั้นครุ่นคิดเช่นนี้จึงทำให้นางรู้สึกว่าเขาอึกๆ อักๆ
"ไม่ได้มีซู่หลิวอวิ๋นอยู่ในใจจริงๆ?" โหลชีเหล่มองเขา
เฉินซ่าวางนางลง หันตัว "ข้าจะไปถามดูว่านางมาแล้วหรือยัง หากมาแล้ว ก็ซัดให้ตายไปเสียเลย"
"..."
ท่าทางเขาแบบนั้นไม่เหมือนพูดเล่น โหลชีไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี ดึงเขาพลัน "เก็บชีวิตนางไว้ให้ข้าเล่นสิ"
"เจ้าจะให้ข้าไปตามการเชื้อเชิญของหญิงอื่น?" สีหน้าเฉินซ่าบูดบึ้งทันที ยื่นมือใหญ่เข้าในเสื้อผ้านาง ออกแล้วออกแรงจับ
โหลชีสะดุ้งโหยงส่งเสียง รีบกระชากมือเขาออก "ทำอะไรน่ะ!"
นางขวยอายปนค้อนเล็กๆ อย่างยากจะมี ดวงหน้าน่ารักน่าประทับใจนั้น เฉินซ่ามองจนลำคอแห้งผาก เมื่อก่อนเขาคิดว่าตัวเองต้องไร้ความรู้สึกแน่ กระทั่งนึกว่าแม้อนาคตจะมีผู้หญิงหลายคน นั่นก็คงไปห้องพวกนางเป็นบางครั้ง ทำหน้าที่สุดความสามารถเพื่อมีทายาท แต่หลังจากพบกับโหลชี เขากลับพบว่าตนเองกลายเป็นพวกมากด้วยตัณหา คิดเรื่องพรรค์นั้นตลอดเวลา เพียงแค่เสียงเล็กน้อย แววตาหนึ่ง ท่าทางหนึ่งของนางก็ล้วนชักนำเพลิงดวงนั้นในกายของเขาได้
ตาย จะตายอยู่แล้ว!
"ข้าไม่ไป!"
โหลชีทั้งอยากโมโหทั้งอยากหัวเราะ "ท่านไม่ไป เช่นนั้นเราจะดูเรื่องสนุกอย่างไร?" ที่สำคัญที่สุดคือ นางจะยั่วให้น่าหลานฮั่วซินโมโหตายได้อย่างไร?
"ท่านเคยพูดว่าจะให้ความร่วมมือกับข้า"
เอาใจจนสุดท้าย เฉินซ่าถึงพกพาเพลิงพิโรธที่อัดแน่นอยู่เต็มทรวงออกไปอย่างไม่สมัครใจ
โหลชีลุกขึ้นเตรียมตัวด้วยความรวดเร็วเช่นกัน เรียกเฉิงสิบไปด้วย
น่าหลานฮั่วซินย่อมไม่ได้เชื้อเชิญนาง เพราะอาหารมื้อเย็นที่ส่งมามีของหวานอย่างหนึ่ง และมีเพียงชุดเดียว เฉินซ่าไม่กิน นางกินไปแล้ว ตอนหลังขณะที่เดินเล่นย่อยอาหารอยู่ในสวนดอกไม้ ในสวนดอกไม้มีดอกไม้กิ่งหนึ่ง กลิ่นดอกไม้นั้น...
ขณะที่โหลชีกินของหวานไม่รู้สึกถึงความผิดปกติจริง กระทั่งได้กลิ่นของดอกไม้นั้นถึงกระจ่างใจ มองสูงน่าหลานฮั่วซินอีกหน่อย ไม่เลวนี่ อาหารไม่มีพิษ บวกกับดอกไม้ไม่มีพิษ กลายเป็นยาสลบที่ออกฤทธิ์ช้า อีกทั้งยังควบคุมการออกฤทธิ์ของยาได้ดีมาก นางน่าจะหลับสนิทก่อนที่เสียงพิณจะดังขึ้น
แบบนี้เฉินซ่าต้องไม่สงสัยแน่
ดูท่าระยะนี้น่าหลานฮั่วซินคงตั้งใจเตรียมการมานานแล้วจริงๆ
แต่น่าเสียดาย ขณะที่นางได้กลิ่นดอกไม้ก็รู้แล้ว แต่ตอนนี้นางยังยินยอมเดินตามแผนการของน่าหลานฮั่วซินอยู่ นางก็อยากรู้อยู่บ้างเหมือนกัน อยากรู้ว่าน่าหลานฮั่วซินคิดอะไรอยู่กันแน่
หลงเอี๋ยนย่อมติดตามอยู่ข้างตัวนาง การเร้นกายของหลงเอี๋ยนย่อมดีกว่าเทียนอิ่งสามส่วนอยู่แล้ว เพราะตระกูลโหลเป็นตระกูลใหญ่ลึกลับ คนที่อยู่ข้างกายโหลฮ่วนเทียนต้องไม่เลวอยู่แล้ว คนที่กำลังภายในด้อยกว่าโหลชี จะไม่รู้การมีตัวตนของเขา ส่วนวรยุทธ์ของโหลชีก็เป็นยอดแห่งแผ่นดินกว้างใหญ่แล้ว
"เฉิงสิบ เจ้าไป..." โหลชีดึงเฉิงสิบ กระซิบข้างใบหูเขาสองสามประโยค เฉิงสิบพยักหน้า บอกว่าแม่นางระวัง จากนั้นก็กระโจนเข้าม่านราตรีไป
โหลชีเบาดั่งสายลม แล่นไปทางจุดที่ต้นเสียงเสียงพิณ
เฉินซ่าในยามนี้กำลังไปทางป่าต้นเฟิงด้านหน้าผืนนั้นอย่างเชื่องช้า บอกว่าเป็นป่า แต่ก็นับไม่ได้ เพราะมีเพียงต้นเฟิงเล็กๆ ขึ้นรวมกันเพียงยี่สิบกว่าต้นเท่านั้น ใบแดงหมดแล้ว แดงเพลิงเป็นปื้น มองไปเช่นนี้งามยิ่งนัก ทางนั้นมีศาลาหนึ่ง สร้างอยู่บนหินใหญ่ที่ยื่นออกไป จากภูเขาถึงตรงนี้ก็สูงอยู่แล้ว ศาลานั้นครั้นถึงกลางคืนจะมีเมฆบางเป็นครั้งคราว มองไปทิวทัศน์ดั่งเซียน งามถึงที่สุด เขารู้ แต่หากคนที่อยู่ในศาลาคือน่าหลานฮั่วซิน เขาก็รู้สึกว่าทิวทัศน์งามเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ