ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 497

โหลชียื่นมือออกไป แต่เขากลับจับมันไว้มั่น "ประตูนี้แปลกพิกล" เมื่อครู่เขาไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่ควบคุมไม่ได้ชั่วคราว ความปรารถนาที่จะเข้าไปนั้นเกือบหลุดการควบคุม

เขามักรู้สึกว่า ของในนั้นไม่เพียงดึงดูดกระบี่ดื่มเลือดที่ขาดจิตวิญญาณกระบี่ไป สิ่งที่ดึงดูดมากที่สุดก็คือเขา

โหลชีมองเขาด้วยสายตาเป็นประกาย "ท่านว่ากระบี่นี่ตื่นเต้นขนาดนี้ เพราะว่าในนั้นเป็นไปได้ที่จะเติมเต็มจิตวิญญาณกระบี่หรือเปล่า?"

"เป็นไปได้"

"พวกเราเข้าไปดูกัน"

โหลชีพูดพลางจะเข้าไปตรวจสอบดูว่ากลไกที่จะเปิดประตูอยู่ตรงไหน แต่พลันชะงัก ไม่ได้หันกลับมามองเขา แต่พูดเสียงเคร่งขรึมว่า "เทียนอิ่ง...."

ตั้งแต่เจอหน้าจนตอนนี้เขายังไม่เคยเอ่ยถึงเทียนอิ่ง ถึงผู้ชายคนนี้จะโหดร้ายเลือดเย็น แต่โหลชีรู้ว่าเขาไม่เคยไม่สนใจต่อคนใกล้ตัว

เฉินซ่าเงียบลง

เวลานี้โหลชีถึงหันกลับมา สบตาเข้ากับดวงตาดำขลับไร้ใครเทียมของเขา จากในนั้นนางเห็นแววเจ็บปวด เขาบอก "ชีชี ตอนนั้น...ข้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ช่วยเขาไม่ได้"

เทียนอิ่งติดตามเขามาตลอด มีหรือเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลย

"เทียนอิ่งตายเพื่อปกป้องท่าน เขาคงไม่เสียใจแน่" โหลชีเห็นเขาเป็นอย่างนี้ เจ็บปวดใจไม่น้อย ยื่นมือไปกุมมือเขา พบว่าแค่แป๊บเดียวนี่ มือของเขาก็เย็นขึ้นมาก

"อืม เขาปกป้องข้าไว้" ดังนั้นในฐานะองครักษ์ลับ เทียนอิ่งทำดีมากแล้ว

พวกเขาไม่ใช่คนที่โดนอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งควบคุมไว้นานเกินไป ดังนั้นถึงในใจจะยังเจ็บปวด แต่เรื่องที่ควรทำก็ต้องทำ หากไม่รีบหาให้เจอว่าพลังที่ควบคุมเฉินซ่าและดึงดูดกระบี่ดื่มเลือดนั่นว่าคืออะไร ยังไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก

ถึงโหลชีจะไม่เก่งเรื่องกลไกเท่าเฉินซ่า แต่ความสามารถในการเปิดประตูนั้นเหนือกว่าเขามากนัก หาอยู่สักพัก นางก็เจอวิธีเปิด

และในเวลานี้เอง พวกอวิ๋นและเฉิงสิบก็เร่งรีบมา พวกเขาหาพวกอิ้นเหยาเฟิงสามคนเจอแล้ว น่าจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกผู้อาวุโสใหญ่กับซู่หลิวอวิ๋นรู้สึกว่าทั้งสามคนไม่สำคัญ เลยโยนพวกนางไปไว้อีกด้านหนึ่งไม่มีใครสนใจ ถึงพวกนางจะได้รับบาดเจ็บภายในเหมือนกัน แต่โหลชีให้ยาไว้ ฤทธิ์ยาปลาดุกเทพทำให้พวกนางตกใจยิ่งนัก

อิ้นเหยาเฟิงและคุณหนูรองชิวกินยาเข้าไปตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้ว มีแต่อามู่ที่ยังนอนหลับมึนงงอยู่ อวิ๋นแบกนางขึ้นหลังเร่งรุดมา ใบหน้าร้อนรนอย่างยากจะปิดได้มิด

พอเห็นว่าเฉินซ่าปลอดภัย เขาแบกอามู่ที่หลังเดินมาหาโหลชี

"พระสนม ช่วยดูอามู่ให้หน่อยได้หรือไม่?"

โหลชีกำลังคิดจะเปิดประตู พอได้ยินก็หันกลับมา จับชีพจรอามู่ ในตอนนี้เอง อามู่พลันเบิกตากว้างขึ้น แข็งเกร็งทั่วร่าง เหมือนคนเมา โอนเอนจะทิ้งตัวลงหาเฉินซ่า

อวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบยื่นมือรั้งนางไว้ แต่อามู่กลับสะบัดมือเขาออกโดยแรง หัวเราะแหะ และล้มตัวไปทางเฉินซ่าอีก

เฉินซ่าเดิมก็ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ สตรี นอกจากโหลชีแล้ว ใครเข้าใกล้ก็ทำให้เขารู้สึกรังเกียจอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้อามู่ทำให้คนรู้สึกแปลกพิกล เขายกมือขึ้นช้าๆ...

"อย่าแตะต้องนาง"

โหลชีรีบเข้ามาขวางหน้าเขาไว้ ขมวดคิ้วมองอามู่

"แปลกมาก ในตัวนางเหมือนจะมีหนอนกู่ด้วย!"

พอคำนี้ออกมา ทุกคนพากันตกตะลึง

เป็นไปได้อย่างไร?

"ข้าน้อยช่วยอามู่ไว้ในทุ่งป่าเถื่อน ไม่มีอะไรน่าสงสัย..." อวิ๋นรีบบอก

โหลชีโบกมือบอก "ข้าไม่ได้ว่าอะไรนาง เพียงแต่ อาการของนางในตอนนี้เหมือนพิษกู่กำเริบ และถ้าข้าเดาไม่ผิด กู่ในตัวนางพึ่งตื่น! กู่ชนิดนี้..." นางคงว้าหมับกับข้อมืออามู่ นิ้วจับชีพจรนาง

อวิ๋นกลัวอามู่จะรุ่มร่ามกับฝ่าบาทอีก รีบจี้จุดชานางไว้ ยื่นมือโอบนาง กลั้นใจรอคำวินิจฉัยของโหลชี

"กู่ที่นางโดนคล้ายคลึงกับกู่ของเฉินซ่า!" โหลชีเงยหน้ามองเฉินซ่าอย่างประหลาดใจ "ข้าไม่สามารถรู้แน่ชัดว่าเป็นกู่ปลิดชีพหรือไม่ แต่มีจุดหนึ่งที่แน่ใจคือ หนอนกู่ในตัวนางมีความปรารถนาที่จะเข้าใกล้กับกู่ที่อยู่ในตัวท่าน" ดังนั้นอามู่ถึงอยากเข้าใกล้เฉินซ่า

สีหน้าเฉินซ่าทะมึนลงทันที เหล่มองอวิ๋น "ให้นางอยู่ให้ห่างข้า" ไม่งั้นเขาไม่รับประกันว่าจะไม่ลงมือฆ่าคน

โหลชียังคงก้มหัวครุ่นคิด เฉินซ่ากลับได้ยินเสียงอื้ออึงนั่นอีก ร่างของเขาโอนเอน สายตาเมินเฉยขึ้นมาอีก บอกอวิ๋นเสียงเย็นว่า "หลีกไป"

ท่าทางราวกับไม่รู้จักกัน

ทุกคนพากันตกตะลึง

โหลชีขมวดคิ้ว ตอนนี้ไม่มีเวลาสนใจหนอนกู่ของอามู่แล้ว นางพูดเสียงขรึมว่า "ในนี้แปลกมาก ตอนนี้ข้าจะไปเปิดประตู พวกเจ้าระวังตัวหน่อย"

ถึงจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่นางก็รู้ว่า ไม่ว่าด้านในจะมีอะไร พวกเขาก็ต้องเข้าไปสำรวจอยู่ดี

อวิ๋นอุ้มอามู่ขึ้นมา

อิ้นเหยาเฟิงกับชิวชิ่นเซียนพร้อมกันมายืนข้างเฉิงสิบ เฉิงสิบอึ้งเล็กน้อย หากมิได้พูดอะไร อิ้นเหยาเฟิงและชิวชิ่นเซียนกลับมองสบตากันแวบหนึ่ง และเบนสายตาหนีอย่างรวดเร็ว

หลงเอี๋ยนกลับถามขึ้นว่า "ประมุขเสี่ยวชี ฆ่าสตรีผู้นี้เลยไหม?" โหลชีถึงพึ่งนึกถึงซู่หลิวอวิ๋นขึ้นมาได้ ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางบอก "ฆ่าเลย"

"ไสหัวไป"

เฉิงสิบอึ้ง เพราะถึงจะสั้นๆแค่นี้ แต่เขารู้สึกว่าสำเนียงแปลกมาก เหมือน....ไม่ใช่สำเนียงที่พวกเขาคุ้นเคย

"พวกท่านเป็นใครกัน?" เขาถามขึ้น

คนนั้นกลับไม่ออกเสียงอีก และหลับตาลงอีกครั้ง แต่ดูออกว่าพวกเขาทรมานมาก เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้โดนลงทัณฑ์อยู่ที่นี่

เฉิงสิบหมุนตัวกลับ ก็เห็นเฉินซ่าพาโหลชีเข้ามาแล้ว กระบี่ในมือเขากำลังสั่นสะท้านเบาๆ เหมือนรับรู้ถึงอะไรบางอย่างได้

โหลชีเห็นฉากนี้เข้า ก็ขมวดคิ้วทันที

สายตาและสีหน้าของเฉินซ่ากลับเรียบเฉยมาก

"นี่มัน...."

พวกอวิ๋นก็ตามเข้ามาด้วย และตกตะลึงกับฉากนี้กันหมด เฉินซ่าได้ยินเสียงอื้ออึงในหัวอีก ครั้งนี้มันดังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ สั่นสะเทือนจนสีหน้าเขาซีดเผือด กระอักเลือดคำโตออกมา และกระอักลงไปในสระน้ำพอดี น้ำที่ดูสงบนิ่งพลันเหมือนโดนต้มเดือดทันที เกิดฟองขึ้นที่ผิวน้ำ ดังปุดๆไม่หยุด

"เฉินซ่า!"

"ฝ่าบาท!"

ทุกคนล้วนตกตะลึงกัน

แต่คนพวกนั้นที่ยืนในน้ำกลับลืมตาขึ้นโดยพร้อมเพรียง มองมาทางพวกเขา บนใบหน้าซีดเผือดราวกับผีของพวกเขามีแววตื่นตะลึง ชายผู้นั้นที่ให้เฉิงสิบไสหัวไปก่อนหน้านี้หายใจกระชั้นขึ้นมา สายตาไปหยุดลงที่ใบหน้าเฉินซ่า "ท่าน ท่านคือไท่จื่อใช่หรือไม่?"

เฉิงสิบคิดไว้ไม่ผิด น้ำเสียงเขาแปลกมากจริงๆด้วย

เฉินซ่ากำกระบี่ที่อยากบินออกไปแน่น สะกดเลือดลมพลุ่งพล่านลงไป มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางถามว่า "เจ้าเป็นใครกัน?"

"คือไท่จื่อใช่หรือไม่? แซ่เฉินใช่หรือไม่?" ชายผู้นั้นกลับไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่ก้มหัวมองน้ำที่เดือดปุดๆ ดวงตาแดงเรื่อทันที เขากล้ำกลืนสะอื้นพลางว่า "ต้องเป็นไท่จื่อแน่ นอกจากสายเลือดราชวงศ์ตระกูลเฉินที่บริสุทธิ์ที่สุดบนตัวไท่จื่อแล้ว เลือดของผู้ใดจะสามารถขับเคลื่อนค่ายกลนี้ได้อีก?"

คำพูดนี้เปี่ยมไปด้วยความมั่นอกมั่นใจภายใต้ความปีติอย่างที่สุด แต่ก็บอกข้อมูลมากมายแก่พวกเขาด้วย

พวกเขาอยู่ในค่ายกล ค่ายกลนี้ต้องใช้สายเลือดราชวงศ์ตระกูลเฉินที่บริสุทธิ์ที่สุดถึงจะขับเคลื่อนได้

แต่หลังจากขับเคลื่อนแล้วจะมีประโยชน์อะไร? พวกเขากำลังทำอะไรกัน?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ