ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 498

"พวกท่านมาจากแผ่นดินใหญ่หลงหยินใช่ไหม? ทหารของราชวงศ์เฉิน?" โหลชีเห็นอีกฝ่ายตื่นเต้นจนตาแดงเรื่อ เฉินซ่ากลับยังเฉยเมยอยู่ เหมือนกับไม่เกี่ยวข้องกับตน โหลชีเห็นอย่างนี้เลยเอ่ยปากแทนเขา "นี่คือเฉินซ่า ฝ่าบาทต้าเซิ่ง"

แซ่เฉินน่ะ นางกัดเสียงหนักมาก

คนพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ยิ่งตื่นเต้นกันใหญ่ ผู้ชายคนก่อนหน้านั้นยิ่งน้ำตาไหลอาบแก้ม

"อันที่จริงต่อให้ไม่ได้แซ่เฉิน ก็ต้องเป็นไท่จื่อของพวกเราแน่ เพราะไท่จื่อหน้าตาคล้ายคลึงกับฝ่าบาทมากยิ่งนัก!"

โหลชีอึ้งเล็กน้อย จากนั้นหันมองเฉินซ่า แต่กลับเห็นเขาเฉยเมยเหมือนเดิม

แต่นางรู้ว่าเขาไม่น่าใช่แบบนี้ ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพ่อแท้ๆของตนเอง ต่อให้เขาจะเย็นชาแค่ไหนก็ต้องมีหวั่นไหวบ้างสิ พลังน่าตายอะไรนั่นส่งผลกระทบกับเขาอยู่แน่

พอคิดถึงตรงนี้ นางมีหรือจะสนใจพูดเรื่องฐานะอะไรกับพวกเขาอีก รีบถามต่อทันทีว่า "ในนี้ที่พวกเจ้าอยู่คืออะไรกัน?"

นางไม่ได้พูดออกมาตรงๆว่าของสิ่งนี้ส่งผลกระทบอะไรกับเฉินซ่า แต่ดูจากปฏิกิริยาของกระบี่ดื่มเลือด และท่าทีของเฉินซ่าแล้ว นางกลับรู้ว่าสาเหตุมันอยู่ในสระน้ำนี้

โหลชีคิดไม่ถึงเลยว่า พอนางถามออกมาแบบนี้ สีหน้าผู้ชายพวกนั้นก็เต็มไปด้วยความอาดูรอย่างที่สุด

"ในนี้คือ... น้ำมันศพที่กลั่นกรองออกมาในยามพี่น้องทหารของเราต่อสู้ถึงที่สุด"

"อะไรนะ?"

พวกโหลชีพอได้ยินคำนี้ พร้อมใจกันอึ้งกิมกี่

ชิวชิ่นเซียนกับอิ้นเหยาเฟิงสองคนสีหน้าเปลี่ยนทันที รีบถอยร่นไปหลายก้าว มองสระน้ำนั้นอย่างตะลึง รู้สึกในใจกำลังสั่นระรัว

สระน้ำใหญ่เพียงนี้....กลั่นออกมาจากคน...

นี่มันต้องตายมาเท่าไหร่กันเนี่ย!

ขนาดพวกอวิ๋นที่เป็นผู้ชายแท้ๆยังถอยสองก้าวอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้โหลชีและเฉินซ่าที่ยังคงยืนนิ่งข้างสระที่ใช้ก้อนหินรายล้อมไว้ดูนิ่งเฉยมาก อวิ๋นอดคิดไม่ได้ว่า หรือเพราะว่าพระสนมมีความสามารถและความกล้าที่เทียบเคียงนายท่านได้ จึงกลายเป็นคนที่ไม่อาจแทนที่คนนั้นในใจของนายท่าน?

ชิวชิ่นเซียนพลันพูดกับเฉิงสิบเสียงต่ำว่า "อันที่จริงข้าได้ยินเรื่องพระสนมมานานแล้ว หลายเดือนมานี้ข้าได้เรียนรู้ตามพระสนมไม่มากก็น้อย แต่ตอนนี้ข้าถึงรู้ว่า ข้ายังต้องเรียนรู้อีกมากนัก"

คำพูดนี้พูดเบามาก มีแค่เฉิงสิบที่ได้ยิน เขาอึ้งชั่วครู่ ก่อนบอกเสียงเรียบว่า "เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียนตามแม่นาง"

คราวนี้คนอึ้งกลายเป็นชิวชิ่นเซียน นางได้สติกลับมา พลางยิ้มน้อยๆ ใบหน้าร้อนผ่าว รับคำเสียงต่ำว่า "ได้"

นางไม่ต้องเรียน เพราะเป็นตัวนางเองก็ดีมากอยู่แล้วใช่หรือไม่? น่าจะความหมายนี้กระมัง! ถ้าเฉิงสิบรู้ความคิดนาง คงกลัดกลุ้มแน่ว่าจะบอกตามจริงดีหรือไม่ ความหมายของคำพูดเขาที่จริงแล้วคือ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียน มิใช่ใครจะสามารถเรียนตามแม่นางได้ เรียนยังไงก็ไม่ดีเหมือนแม่นาง

แต่บางครั้งความเข้าใจผิดก็ทำให้คนรู้สึกดีกว่า

ชายผู้นั้นไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะเล่าเรื่องยาวขนาดนี้แล้ว เรื่องราวนั้นได้มาจากคนละประโยคจากพวกเขาทุกคนมาร้อยเรียงกัน

ราชวงศ์เฉิน ราชวงศ์ที่รุ่งเรืองที่สุดในแผ่นดินใหญ่หลงหยินตระกูลหนึ่ง

จักรพรรดิของพวกเขาถึงจะนั่งอยู่ในตำแหน่งจักรพรรดิของประเทศใหญ่อันดับหนึ่ง แต่ยังคงมีจิตใจเมตตา ใจกว้างมาก แปดราชวงศ์ใหญ่ร่วมกัน เขากลับไม่ได้มีความคิดจะรวบรวมแผ่นดินเป็นแผ่นเดียวกัน

แต่ถึงเขาเองไม่คิดอย่างนี้ กลับมีคนไม่เชื่อ

ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ราชวงศ์หลายแห่งร่วมมือกัน จากทุกด้านทุกสาขาอาชีพ เริ่มคว่ำบาตรตระกูลเฉิน เล่นงานพวกเขาต่างๆนานา และชายแดน ก็มักมีกองทหารลาดตระเวนหรือโจรป่าบ่อยๆ หาเหตุผลต่างๆนานามาก่อกวนท้าทาย

ต่อมาถึงมีข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วหล้านั่น

ราชวงศ์ซวนหยวน ปรากฏการณ์หงส์ผิดธรรมชาติ ผู้ได้หงส์จะได้ใต้หล้า

"ตอนนี้ดูท่าจะเป็นแผนการร้ายเสียมากกว่า แผนการร้ายอันน่าสะพรึงที่มุ่งหมายมาที่ตระกูลเฉินและซวนหยวน" ผู้ชายตรงกลางนั้นถอนหายใจอย่างโศกเศร้า

"เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ซวนหยวนด้วย?"

โหลชีขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามือที่ถูกเฉินซ่ากุมอยู่โดนบีบแน่นขึ้น นางอดหันไปมองเขาไม่ได้ กลับได้ยินเขาถามเสียงต่ำว่า "ราชวงศ์ซวนหยวนนี่เกี่ยวข้องกับเจ้าด้วยใช่หรือไม่?" ในเวลานี้เขาสีหน้าซีดเผือด สายตากลับสดใส เขาถามอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าลืมเลือนเรื่องราวมากมายไปแล้ว แต่ยังจำได้ว่าเกี่ยวข้องกับนาง

แต่เพราะอย่างนี้ กลับทำให้นางรู้สึกดีกับพ่อแม่สามีมากเลย

"ตอนนั้น จักรพรรดิซวนหยวนเคยแสดงถึงความคิดของเขาออกมาว่า จะไม่หมั้นบุรุษให้องค์หญิงน้อย แต่รอจนองค์หญิงน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะสนับสนุนไท่จื่อของเรา นี่ก็เป็นเพราะเห็นฝ่าบาทของเราและพระนางรักใคร่กันกลมเกลียว รู้สึกว่า ถ้าองค์หญิงน้อยจะแต่งเข้าราชวงศ์อย่างนี้ต้องมีความสุขมากกว่าราชวงศ์อื่นแน่ พระนางของเราเห็นองค์หญิงน้อยเป็นลูกสะใภ้ในอนาคตตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ไม่นานหลังจากนั้นไม่รู้ทำไม จักรพรรดิเฮ่อเหลียนก็ปล่อยข่าวออกมา บอกว่าเขาได้หมั้นหมายองค์หญิงน้อยไว้ให้ลูกชายตนเองแล้ว ฝ่าบาทและพระนางไม่เชื่อ พาไท่จื่อเตรียมไปเยือนซวนหยวน---"

เขาพูดมาถึงตรงนี้ ทนไม่ไหวหอบขึ้นมาอีก คนอื่นรับไปพูดต่อว่า "ใครจะรู้ระหว่างทางก็ได้รับข่าวว่าราชวงศ์ซวนหยวนเกิดเรื่อง ผ่านไปไม่นาน ฝ่าบาทก็โดนลอบโจมตี ราชวงศ์ซวนหยวน พอข่าวส่งกลับประเทศไป ไท่ซ่างหวง*เศร้าโศกอาดูรนัก ออกคำสั่งกองราชาอสูรเทพออกมาตามหา ใครจะรู้พอออกมาครานี้ก็สิบกว่าปี"

พวกเขาต่างเงยหน้ามองเฉินซ่าโดยพร้อมเพรียง ร้องออกมาพร้อมกัน "ไท่จื่อ!"

"ไท่จื่อ โชคดี ในที่สุดก็หาท่านเจอแล้ว!" ท่านที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วองอาจกำยำเช่นนี้

ใบหน้าโศกเศร้ากว่าสิบยี่สิบใบหน้า ต่างมองมาที่เขาโดยพร้อมเพรียง

เฉินซ่าสะท้านเยือกในอก

"พวกท่านยังไม่ได้บอกเลยว่า ทำไมมาอยู่ที่นี่ ทำไมถึงตกอยู่ในสภาพนี้" โหลชีสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนถามอีก นางได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตัวเองจากปากพวกเขาเหมือนกัน ที่แท้นางกับเฉินซ่าเคยผูกพันกันมานานแล้ว ตอนนั้น ครอบครัวพวกเขาสามคนเกิดเรื่องขึ้นระหว่างทางที่ไปราชวงศ์ซวนหยวน และแม่แท้ๆของเฉินซ่าก็เห็นนางเป็นลูกสะใภ้นานแล้วด้วย นางแน่ใจได้เลยว่า คนที่ราชวงศ์เฮ่อเหลียนพูดว่าหมั้นหมายกับนางคือเฮ่อเหลียนเจี๋ย แต่สัญญาหมั้นหมายนั่นมันยังไงกันแน่?

ตอนนั้นเรื่องของพวกเขาสองราชวงศ์ เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เฮ่อเหลียนหรือเปล่า?

โหลชีอดคิดถึงผู้ชายที่เยือกเย็นแต่อันตรายคนนั้นขึ้นมาไม่ได้

"พวกข้าคือกองราชาอสูรเทพ ตอนนั้นสืบหาอย่างยากลำบากจนพบว่า องครักษ์และนางกำนัลข้างกายฝ่าบาทช่วยไท่จื่อไป อาจเพราะเจอกับการตามฆ่ามาตลอดทาง เลยมาจนถึงแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง ไท่ซ่างหวงได้ยินข่าวนี้ ก็ส่งคนมาสืบที่แผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง แต่คนที่ส่งมากลับสืบอะไรไม่ได้เลย มีบางกลุ่มยังมาแล้วหายไปเลย ไท่ซ่างหวงสงสัยว่ามีอำนาจใหญ่บางแห่งคอยขัดขวาง เลยให้พวกข้าน้อยมาด้วย หลังจากพบฝ่าบาทให้อารักขากลับประเทศ ใครจะรู้ว่าพอพวกข้าน้อยสืบถึงเขาเวิ่นเทียน ก็โดนพวกหน้าไหว้หลังหลอกล่อเอามาขังไว้ที่นี่"

หลังจากนั้นได้ยินพวกเขาบอก ที่ทำให้เฉินซ่าตกตะลึงคือ ที่จริงแล้วตอนนั้นเพราะค้นพบกองทหารกลุ่มนี้ พวกผู้อาวุโสใหญ่อยากฮุบกองทหารนี้มาเป็นของตนเอง ให้กองทหารนี้ช่วยพวกเขาบรรลุความละโมบอย่างมาก เลยอยากกำจัดเขา ไม่ให้พวกเขาตามหาไท่จื่อเจอ และหลอกใช้ข่าวของเขามาล่อลวงคนพวกนี้ ค่อยๆเก็บพวกเขาไว้ ด้านหนึ่งก็ขุดภูเขาสร้างค่ายกล สุดท้ายล่อคนมาที่นี่ พอขังก็ขังไปหลายปี

"แต่หลังจากถูกขังแล้วพวกข้าก็เริ่มกักขัง มันเป็นการกักขังพิเศษของกองราชาอสูรเทพแห่งราชวงศ์เฉิน ถ้าไม่มีไท่จื่อ พวกข้าก็จะจำศีลผนึกน้ำแข็ง! แต่พวกเขายังคงไม่ยอมตายใจ พยายามใช้ทุกวิถีทางปลุกทหารของเราให้ตื่นขึ้น ใช้ยาที่มีฤทธิ์ร้ายแรงบีบให้พวกเขาฆ่าฟันกันเอง จนได้น้ำมันออกมา คิดจะให้ข้อห้ามที่อยู่บนตัวแม่ทัพของพวกเราปลดออก แล้วจึงจะได้ออกคำสั่งกองทหารได้...."

"นี่เป็นค่ายกลศพอำมหิตที่เลวร้ายที่สุดของพวกเขา เพราะทหารราชาอสูรเทพทุกคนล้วนแข็งแกร่งไร้ใครเทียม ฮึกเหิมในการทำสงคราม บนตัวมีข้อห้ามพิเศษของราชวงศ์เฉิน ต่อให้โดนต้มจนเป็นน้ำมัน ไออำมหิตก็รวมกันไม่กระจายไป ดังนั้น..."

โหลชีฟังมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจละ ใช้ไออำมหิตหลอมวิญญาณ ความฮึกเหิมในการทำสงคราม มันเป็นจิตวิญญาณกองทัพ จิตวิญญาณอาฆาต โลหิตไม่หลั่งไหล เป็นสิ่งที่กระบี่ดื่มเลือดต้องการพอดี!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ