อิ้นเหยาเฟิงฟังคำพูดนี้ของนางเหมือนพูดอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ในใจรู้สึกสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย มองดูมู่หลานที่อยู่บนเตียงอย่างละเอียดอีกครั้ง เวลานี้ถึงได้สังเกตเห็นความผิดปกติ
ถึงแม้แวบแรกที่มองจะคล้ายกันมาก แต่เมื่อมองสังเกตดีๆถึงได้พบว่าใบหน้าของมู่หลานแข็งทื่อมาก เหมือนทำมาจากขี้ผึ้ง รู้สึกว่าปลอมมาก มองเช่นนี้ไปสักพักกลับทำให้รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย
"ผู้หญิงคนนี้ช่างแปลกประหลาดนัก" นางกล่าวด้วยความหวาดกลัว
โหลชีกระตุกมุมปากเล็กน้อย "แปลกประหลาด คำคำนี้ใช้ได้ดีทีเดียว" นางไม่ได้มาดูผู้หญิงคนนี้มาสักพักใหญ่ๆแล้ว ตอนนี้มองดูแล้วถึงได้พบว่าหน้าตาของนางแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ผิวพรรณก็รู้สึกเหมือนทำมาจากขี้ผึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
มองดูคนเช่นนี้คนหนึ่ง ในใจของนางก็อัดอั้นเช่นกัน ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครที่คนสร้างคนคนนี้ขึ้นมา ล้วนถือว่าศัตรูแล้ว นางจะไม่ปล่อยไปเด็ดขาด
"เหยาเฟิง เจ้ามองดูสิ สามารถมองอะไรออกไหม" พูดไป นางก็เดินไปด้านข้าง มือทั้งสองข้างกอดอกเอาไว้ เอนตัวพิงอยู่บนกำแพง ตามองต่ำลงเล็กน้อยเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
สำหรับโหลชีแล้ว อิ้นเหยาเฟิงยิ่งนับถือและซาบซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งติดตามนางนานมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความสามารถและเสน่ห์ของนางมากขึ้นเท่านั้น ยินดีจะพานางติดตามอยู่ข้างกายตลอด สอนความสามารถต่างๆให้กับนาง นี่ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก
นางก้มตัวลงไปข้างเตียง มองสังเกตมู่หลานขึ้นมาอย่างละเอียด
ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งนางก็อุทานออกมาด้วยความหวาดกลัว: "พระสนมท่านมาดูเร็ว!"
โหลชีเดินเข้าไป เห็นนางดึงคอเสื้อของมู่หลานออก ชี้ไปที่หน้าอกของมู่หลานแล้วกล่าวว่า: "ร่างกายของนาง......"
มู่หลานดูคล้ายกับโหลชี อายุย่อมต้องเท่ากันอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้กลับเห็นผิวตรงหน้าอกของนางเป็นสีเหลืองขี้ผึ้งราวกับคนแก่ บนผิวหนังยังมีจุดสีน้ำตาลเป็นจุดๆ ไม่มีความชุ่มชื้นเลยสักนิด
"ส่วนที่เปิดเผยออกมาล้วนเต่งตึง มีเพียงใต้ร่มผ้าเท่านั้นที่เป็นแบบนี้!" อิ้นเหยาเฟิงไปม้วนแขนเสื้อของนางขึ้นมาอีก เป็นเช่นนั้นจริงๆ มือทั้งสองข้างก็เต่งตึงราวกับสาวน้อย ถึงแม้จะเหมือนกับหุ่นขี้ผึ้งดูปลอมดูแข็งทื่อเล็กน้อย แต่แขนของนางกลับแห้งเหี่ยวเต็มไปด้วยจุดสีน้ำตาล
ขาก็เป็นเหมือนกัน
มองดูเช่นนี้แล้ว ก็ดูแปลกประหลาดและน่ากลัวมากจริงๆ
โหลชีขมวดคิ้วขึ้นมาครู่หนึ่ง หยิบขวดยาเล็กๆออกมาจากเข็มขัด ให้อิ้นเหยาเฟิงหยดลงไปในจมูกของอิ้นเหยาเฟิง
ยานั่นมีกลิ่นฉุนเล็กน้อย แต่กลิ่นก็ไม่ได้แย่นัก หยดเข้าไปลงไปชั่วครู่เดียว ก็เห็นมู่หลานหายใจเร็วขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ชั่วครู่เดียว นางก็ลืมตาขึ้นมาช้าๆ
ช่วงนี้มู่หลานนอนหลับใหลสะลึมสะลือ มีสติสัมปชัญญะบ้างเป็นครั้งคราว แต่ว่าร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนปากก็ไม่สามารถพูดได้ มีเพียงคนเอาโจ๊กเปล่าที่มียาสมุนไพรมาป้อนให้นางตามเวลา หลังจากกินหมดแล้วก็สะลึมสะลือหลับต่อไปอีก ดังนั้นตอนนี้ทำไมถึงสามารถลืมตาขึ้นในทันที และสติสัมปชัญญะก็ตื่นตัวขึ้นมาจริงๆ กลับทำให้นางรู้สึกสับสนเล็กน้อยไปชั่วขณะ หลังจากที่เห็นคนที่อยู่ยืนอยู่ตรงหน้าชัดเจนแล้ว ในแววตาของนางมีความตกตะลึงแวบผ่านไป ตะโกนออกมาโดยสัญชาตญาณ: "โหล โหลชี....."
"ดูท่ายังไม่ได้ลืมข้าไปนี่นา"
"เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?" มู่หลานมองดูนางอย่างระแวดระวัง
"เหยาเฟิง ช่วยปรนนิบัติแม่นางมู่หลานมองดูเรือนร่างของนางหน่อย" โหลชีไม่ได้สนใจนาง แต่กลับยกคางขึ้นมาส่งสัญญาณให้กับอิ้นเหยาเฟิง
นางจำได้ว่าตอนที่เพิ่งเจอกับมู่หลานนางไม่ได้เป็นเช่นนี้ หมายความว่า ความเปลี่ยนแปลงของผิวบนร่างกายของนาง บางทีอาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการคลี่คลายความเชื่อมโยงทั้งสองก็ได้ ดังนั้นนางต้องสังเกตปฏิกิริยาของมู่หลาน
"เพคะ" อิ้นเหยาเฟิงเข้าไปถลกแขนเสื้อของมู่หลานขึ้นไปทั้งหมด เผยแขนที่แห้งเหี่ยวข้างนั้นของมู่หลานออกมา ตามด้วยฝ่ามือที่เรียบลื่นเต่งตึง
มู่หลานสูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง นั่งขึ้นมาด้วยหวาดกลัว "ไม่!"
โหลชีสังเกตการแสดงออกทางสีหน้าของนาง ดูออกว่าถึงแม้นางจะหวาดกลัว แต่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ นี่แสดงว่านางรู้อยู่แล้วว่าจะมีสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้นตอนนี้
เช่นนั้น เป็นเพราะอะไร? สถานการณ์เช่นนี้ถึงเกิดขึ้นก่อนได้ล่ะ?
นางมองดูต่อไปอย่างไม่แสดงสีหน้าใดๆ อิ้นเหยาเฟิงกลับมีไหวพริบดีมาก จิ๊ปากอยู่ด้านข้างแล้วกล่าวว่า: "แม่นางมู่หลานใช่ไหม? มองมือและใบหน้าของเจ้าดูเรียบลื่นและเนียนละเอียดมากเลย แต่ว่าผิวทั้งร่างกายกลับ......นี่ถ้าอนาคตเจ้าแต่งงานไป จะไม่ทำให้สามีตัวเองตกใจตายหรอกหรือ!"
รูม่านตาของมู่หลานหดตัวลง
ในใจโหลชีก็พอจะรู้แล้ว และรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่ามู่หลานคนนี้จะมีคนที่ชอบอยู่ในใจ! และน่าจะไปถึงขั้นพูดคุยเรื่องแต่งงานกันแล้วถึงจะถูก! แต่ว่า นางเปลี่ยนเป็นหน้าตาแบบนี้ก่อนจะมีคนรัก หรือว่าหลังจากมีนะ? ถ้าหากว่าหลังจากมีแล้ว คิดว่าสภาพแบบนี้คงจะไปพบคนรักของนางได้ยากแล้วใช่ไหม
อย่างไรเสีย ใบหน้านี้ของนางงดงามก็จริง ยิ่งเวลานานมากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกคล้ายขี้ผึ้งนั่นก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ใบหน้าจะดูยิ่งแข็งทื่อมากยิ่งขึ้น กลางคืนหากมีคนเช่นนี้นอนอยู่ข้างกาย ตื่นขึ้นมาดูไฟกลางดึกแล้วเห็นเข้า ต้องสะดุ้งตกใจอย่างแน่นอน
คิดถึงตรงนี้ โหลชีก็กล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาคำหนึ่ง "มู่หลาน อีกวันหนึ่งข้าจะไปตระกูลโหลแล้ว"
ราวกับคิดไม่ถึงว่านางจะใช้น้ำเสียงสงบนิ่งเช่นนี้พูดประโยคนี้กับตัวเอง มู่หลานตะลึงงันไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาโดยสัญชาตญาณ: "พาข้าไปด้วย?"
นางเองก็รู้ว่าโหลชีจะไม่ฆ่านาง ถึงขั้นยังต้องปกป้องนางด้วยซ้ำ แต่ไม่แน่ใจว่าจะพานางไปด้วยหรือไม่
โหลชีเห็นความกระตือรือร้นที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของนาง ในใจก็มีความมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย "เห๊อะ พาเจ้าไปด้วยมันอันตรายเกินไปหน่อย พูดกันตามหลักแล้ว ข้าไม่ควรพาเจ้าไปด้วย ทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่ปลอดภัยที่สุด"
มู่หลานเป็นกังกลขึ้นมา: "แต่ว่า......"
"แต่ว่าอะไร?"
มู่หลานสะอึกไป นางก็คิดหาเหตุผลมาโน้มน้าวโหลชีให้พานางไปด้วยไม่ได้ ได้แต่กัดริมฝีปากล่างเอาไว้
มองดูใบหน้าที่คล้ายกับตนเองทำท่าทางเช่นนี้ ในใจโหลชีรู้สึกหดหู่ จู่ๆในหัวก็มีความคิดแวบขึ้นมา แล้วก็คิดหาวิธีหนึ่งขึ้นมาได้
"การแสดง เป็นแค่การแสดงจริงๆ นี่เป็นบทพูดไง บทพูดจะถือเป็นจริงได้อย่างไรเล่า ใช่หรือเปล่า?" โหลชีทำแต่เกลี้ยกล่อมเขาเท่านั้น
"เอาคำพูดสองสามประโยคนั่นพูดกับข้ารอบหนึ่ง"
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำมีแรงดึงดูด ยั่วจนโหลชีรู้สึกมันเขี้ยวในใจ ทำให้โหลชีรู้สึกต้านทานไม่ไหวเล็กน้อยแล้วจริงๆ
แต่ว่า เขาพูดว่าอะไรของเขา? โหลชีอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนของเขา นานพักใหญ่ถึงได้เข้าใจ แอบยิ้มออกมาเงียบๆ เงยหน้ามองดูเขาด้วยสายตาแวววาว: "ฝ่าบาท ชีชีของท่านหลงรักท่านมานานมากแล้ว นอนไม่หลับคิดถึงท่านทุกคืน มองดูท่านทุกวันแต่ไม่ได้ครอบครอง ใจร้าวรานจนแทบคลั่ง คิดถึงใจแทบขาด"
เฉินซ่าอุ้มนางขึ้นมาด้วยท่าอุ้มเจ้าสาว "อืม รอให้ข้าแก้พิษกู่ได้แล้ว จะให้เจ้าได้ในสิ่งที่ปรารถนาทุกวัน ชอบไหม?"
โหลชีนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แอบตะโกนว่าเชี่ยคำหนึ่ง เขาเปลี่ยนความหมายของมันไปเลย! ยังตอบได้ยั่วยวนขนาดนั้น หน้าล่ะ? หน้าล่ะ!
ความเย็นชาที่คุยกันไว้ล่ะ!
ฝ่าบาทเอ๊ย ความคิดของท่านสกปรกเกินไปแล้ว!
......
มู่หลานจ้องมองเฉินสิบด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงทั้งโกรธทั้งเกลียด: "ใต้เท้าองครักษ์ท่านนี้เห็นมู่หลานเป็นคนแบบไหนกัน? เพราะมู่หลานเหมือนแม่นางของพวกเจ้า ดังนั้นเลยมาขอแต่งงาน?"
เฉิงสิบฮึออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง: "บอกว่าขอแต่งงานคือการให้เกียรติเจ้า นี่ยังเพราะเห็นแก่ใบหน้านี้ของเจ้า มิเช่นนั้นนักโทษคนหนึ่งอย่างเจ้า ข้าจะขอมาเล่นอย่างไรก็เป็นเรื่องธรรมดาทั้งนั้น"
คำพูดนี้เขาพูดได้อย่างยากลำบากจริงๆ ทำไมแม่นางไม่ยกเอางานนี้ให้โหลวซิ่นนะ?
อิ้นเหยาเฟิงที่แอบสังเกตการณ์อยู่ข้างนอกฟังแล้วรู้สึกปวดใจเล็กน้อย รู้ว่าเขากำลังแสดงละคร ทำไมนางยังรู้สึกไม่ชอบใจได้นะ?
จากนั้นนางก็นึกถึงชิวชิ่นเซียนที่ตามกลับมาด้วยอีกครั้ง หลังจากที่กลับมาแล้วชิวชิ่นเซียนก็อยู่ช่วยที่ตำหนักสองตลอด ติดตามอยู่ข้างกายของเสี่ยวโฉว แต่ว่า......
เฉิงสิบชอบนางใช่ไหมนะ?
กำลังเหม่อลอยอยู่เลย จู่ๆก็ได้ยินมู่หลานคำรามด้วยความโกรธ: "ใครอยากจะมีใบหน้าเช่นนี้กัน! ข้ามู่หลานเดิมก็เป็นถึงคนสูงส่งตระกูลโหลอย่างคุณ..."
สีหน้าท่าทางของนางสั่นไหวขึ้นมาทันที
เป็นถึงคนสูงส่งตระกูลโหลอะไร?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ