เรือนร่างที่เหมือนดั่งหยกขาวแสนอบอุ่นอ่อนนุ่มนี้ แทบจะทำให้เขาคลุ้มคลั่งให้ได้แล้ว เขาจะปล่อยให้คนอื่นรับใช้นางได้อย่างไรกัน? นี่เป็นของเขา เป็นของเขาคนเดียว ตั้งแต่ร่างกายไปจนถึงหัวใจ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามายุ่มย่ามเด็ดขาด
แม้ว่าพวกเขาจะเคยนอนบนเตียงเดียวกันมาก่อนแล้ว ทั้งยังใกล้ชิดสนิทสนมกันไม่น้อย แต่โหลชีเคยถูกเขาเห็นหมดทุกสัดส่วนแบบนี้เสียที่ไหนกันล่ะ? ดังนั้นพูดกันตามจริง การที่เขาได้เห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของนางแบบเต็มตา ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรก
แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกอาลัยอยากจะดูต่ออีกหน่อย แต่สุดท้ายเฉินซ่าก็ฝืนตัดใจ อากาศหนาวขึ้นมากแล้ว ถ้าไม่รีบสวมเสื้อผ้าเร็ว ๆ เกรงว่านางอาจโดนลมเย็นจนไม่สบายได้
รอจนเขาสวมเสื้อผ้าให้โหลชีทีละชิ้น ๆ จนเสร็จ เจ้าตัวกลับเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่ไหลอาบท่วมตัวแทน
เขาเปิดประตู แล้วพูดด้วยเสียงหนักอึ้งว่า"ไปยกน้ำเย็นมาถังหนึ่ง"
แม้จะมองไม่เห็นตัวคน แต่เทียนยีก็ส่งเสียงตอบรับออกมาจากมุมมืดมุมหนึ่ง เพียงไม่นานถังน้ำเย็นก็ถูกส่งมาถึง เทียนยีกลับไปซ่อนตัวในมุมมืดตามเดิม ลูบ ๆ จมูกแก้เก้อ ในฐานะองครักษ์ลับของฝ่าบาท เขารู้ว่าฝ่าบาทกับจักรพรรดินียังไม่ได้ร่วมหอกัน นี่มันช่างเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจเสียจริง ฝ่าบาทคงไม่ต้องอดกลั้นจนเกิดปัญหาขึ้นมาหรอกนะ?
ครึ่งชั่วยามหลังช่วงเวลาแห่งไฟปรารถนาอันร้อนรุ่มของฝ่าบาทผ่านพ้นไป คณะเดินทางก็เริ่มออกเดินทางกันอีกครั้ง เฉินซ่าอุ้มโหลชีขึ้นไปบนรถม้า ก่อนออกเดินทาง อวิ๋นเดินเข้ามาด้วยสีหน้าซับซ้อนแลดูยุ่งยากใจอย่างยิ่ง
"ขึ้นรถมาค่อยคุยกัน" เฉินซ่าวางโหลชีลงข้าง ๆ เอาผ้าห่มผืนบาง ๆ มาห่มให้ ส่วนตัวเองหยิบหนังสือเล่มเล็กขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วนั่งลงอ่านข้างตัวนาง
อวิ๋นขึ้นมาบนรถ พยายามควบคุมสายตาตัวเองไม่ให้หันไปมองทางโหลชี
"ฝ่าบาท อามู่......"
"ตามมาแล้วสินะ?" เฉินซ่าต่อคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ อันที่จริงการที่ไม่พาอามู่มาด้วย เหตุผลที่อวิ๋นบอกกับนางไปก่อนหน้านี้เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง นอกไปจากนั้นยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง อามู่ได้อธิบายในภายหลังว่าทำไมพวกนางพี่น้องถึงได้แยกจากกัน นางเล่าว่า หลังจากที่มู่หลานติดตามพ่อบุญธรรมที่ใช้แซ่มู่แห่งลัทธิสิ้นโลกีย์คนนั้นแล้ว ตัวนางเองยังได้อยู่ข้างกายพ่อกับแม่อยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าอีกสองปีต่อมาในคืนหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีนักฆ่าบุกเข้ามาถึงบ้าน นางถูกพ่อพาตัวไปซ่อนไว้ถึงรอดชีวิตมาได้ ทว่าก่อนที่พ่อของนางจะตาย เขาทำเพียงเบิ่งดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น แล้วพูดคำว่าตระกูลโหลออกมาแค่สองคำ นางจึงผลักเรื่องนี้ไปสุมไว้บนหัวของตระกูลโหล
แต่นางคนเดียวจะไปแก้แค้นตระกูลโหลได้เสียที่ไหนกัน? ครึ่งปีต่อมามู่หลานถึงตามหานางจนพบ แล้วพานางกลับไปด้วย ตอนนั้นเองนางถึงได้รู้ว่ามู่หลานได้เข้าร่วมกับลัทธิสิ้นโลกีย์แล้ว มู่หลานก็ให้นางเรียกชายคนก่อนนั้นว่าพ่อบุญธรรมด้วย แต่การใช้ชีวิตสองปีกว่า ๆ ของนางในลัทธิสิ้นโลกีย์นั้น กลับเป็นอะไรที่สบาย ๆ ผ่อนคลายไม่น้อย จากนั้นนางก็พบว่าพ่อบุญธรรมของนางไม่ใช่คนดีอะไร นางแอบเห็นเขาฆ่าสาวใช้อย่างโหดเหี้ยมไปหลายคน โดยทั้งหมดเป็นแค่เพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
นางเกลี้ยกล่อมพี่สาวให้ไปจากพ่อบุญธรรม ไปจากลัทธิสิ้นโลกีย์ แต่มู่หลานไม่ยอม อามู่จึงตัดสินใจออกไปเอง แต่นางคิดไม่ถึงว่าพ่อบุญธรรมจะถึงกับตอบตกลงทันที เขายังเปิดเผยข้อมูลให้ด้วยว่า ญาติหลายคนของแม่ของพวกนางที่มู่หลานเคยพูดให้เขาฟังก่อนหน้า ตอนนี้ไปอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าแล้ว
นางจึงมุ่งหน้าตรงไปยังทุ่งหญ้าตลอดทาง ค้นหาอยู่ที่นั่นเป็นนานสองนานก็หาไม่พบ ต่อมานางตกอยู่ในอันตราย ถูกอวิ๋นมาช่วยเอาไว้ เรื่องราวหลังจากนั้นตัวอวิ๋นก็รู้ชัดเจนแจ่มแจ้งดีแล้ว
พูดแบบนี้ฟังดูแล้วก็คล้ายไม่มีจุดบกพร่องตรงไหน จุดน่าสงสัยข้อเดียวน่าจะเป็นเจ้าคนแซ่มู่คนนั้น ทำไมจู่ ๆ ถึงใจดีพูดเตือนนางว่าพวกญาติ ๆ ของนางอาศัยอยู่ในเขตทุ่งหญ้า?
ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาแฝง เช่นนั้นแล้วเขาจะต้องเป็นคนที่มีความอดทนสูงอย่างยิ่ง เป็นคนที่ชอบวางแผนให้เรื่องราวมันใหญ่โต
แต่ก็ไม่ตัดประเด็นที่ว่าอามู่อาจโกหก
ดังนั้นพวกเขาเลยไม่ยอมให้นางตามมาด้วย ทั้งยังเป็นการให้โอกาสนางอีกครั้ง ให้นางอยู่ในวังไปดี ๆ ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาทางนี้ก็ไม่สามารถโทษนางได้ แต่ถ้านางตามมาด้วย แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา นางจะเป็นคนแรกที่ถูกสงสัย.
อวิ๋นพยักหน้า มีท่าทีเหมือนอยากจะพูดแต่ก็หยุดไป
"เจ้าก็ไม่ใช่คนจำพวกอ้ำอึ้งเชื่องช้าสักหน่อย มีอะไรก็พูดมา" เฉินซ่าเหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง ค่อยกวาดสายตากลับมาอ่านหนังสือเล่มเล็กต่อ ทั้งหมดนั้นล้วนรวบรวมโดย ฉินซูเป่าทำการเรียบเรียงออกมาสู่สายตาผู้คนว่าด้วยขนบธรรมเนียมที่ยึดถือปฏิบัติ ไปจนถึงประเพณีสำคัญของแผ่นดินใหญ่หลงหยิน ยังมีการจัดแบ่งภายในแคว้น การแบ่งกองกำลัง ข้อมูลเกี่ยวกับสมาชิกในราชวงศ์ไปจนถึงทรัพย์สินแหล่งรายได้ ส่วนอื่นนอกเหนือไปจากนั้น ถูกเพิ่มเข้าไปโดยซวนหยวนอี้สามีภรรยา รวมถึงเรื่องของราชวงศ์ซวนหยวนบางส่วนด้วย
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แม้ว่าหลายอย่างที่พวกเขารู้ จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว แต่สิ่งที่รู้ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นประโยชน์มาก
ช่วงระหว่างที่โหลชีหลับใหลอยู่ เขาอ่านหนังสือคู่มือเล่มเล็ก ๆ เล่มนี้ฆ่าเวลาอยู่ตลอด
"ฝ่าบาท ข้าน้อยเชื่อในตัวอามู่" อันที่จริงอวิ๋นอยากจะพูดแบบนี้มานานแล้ว แต่เขารู้นิสัยของเจ้านายดี ก่อนหน้านี้เขามีช่วงเวลาที่ไม่จะอาศัยความรู้สึกมาตัดสินว่าจะเชื่อใจใครสักคน อย่างน้อยที่สุดเขาต้องเห็นหลักฐานที่พิสูจน์ได้
คิดไม่ถึงว่าคำพูดนี้เพิ่งจะหลุดออกไป ก็ได้ยินเฉินซ่าพูดว่า: "อื้ม ข้าเชื่อในตัวเจ้า"
อวิ๋นถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ในรถม้าด้านหลัง อามู่จิกเสื้อตัวเองแน่น ยกผ้าม่านขึ้นมองออกไปยังรถม้าที่อยู่ด้านหน้า นางรู้ว่าอวิ๋นกำลังไปขอร้องฝ่าบาทให้นางตามไปด้วย ตอนนี้นางรู้สึกกังวลไม่น้อย กลัวว่าฝ่าบาทจะยังต้องการให้นางกลับไปอยู่ดี
แต่เพราะรอตั้งนานแล้ว พี่อวิ๋นก็ยังไม่กลับมาสักที
คณะเดินทางออกจากเมืองไปแล้ว ม้าทุกตัวล้วนเป็นม้าชั้นดี วิ่งทะยานไปข้างหน้าได้รวดเร็ว เมื่อเหลียวหลังมองกลับไปก็มองไม่เห็นเมืองชายแดนแห่งนั้นแล้ว
ถนนสายหลักที่นี่ชำรุดทรุดโทรม ขาดการซ่อมบำรุงมานานแล้ว ขณะที่วิ่งไปบรรดาเศษฝุ่นเศษทรายสีเหลืองก็ปลิวว่อน อามู่มองดูครู่หนึ่งก็ปิดผ้าม่านลง แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าล้อรถสะดุดไปจังหวะหนึ่ง เกิดเสียงดัง"ปัง"ขึ้นมาเสียงหนึ่ง แล้วรถม้าทั้งคันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
"มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ" เดิมทีอามู่ก็ไม่ใช่สาวน้อยประเภทอ้อนแอ้นบอบบางอะไรอยู่แล้ว นางปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชายมานาน จึงผุดลุกขึ้นแล้วเปิดม่านออกมา ตั้งใจจะไปถามคนขับรถม้าให้รู้เรื่อง
"เจ้านั่งลงดี ๆ บนถนนมีกับดัก" เดินทางหนนี้ คนขับรถม้าทั้งหมดต่างก็เป็นคนในกองราชาอสูรเทพ มีทัพใหญ่ตามหลัง แต่ยังคงส่งทหารจำนวนร้อยนายตามขบวนมา เพื่อคุ้มครองฝ่าบาท
พวกเขาผลัดกันขับรถ ทุกคนต่างได้พักผ่อนกันเต็มที่ ยืดกายเต็มความสูง ท่วงท่าสง่างามพร้อมรบ
เฉินซ่าทั้งตกใจทั้งโกรธมาก สองมือตบเข้าที่ต้นไม้ข้าง ๆ ยืมแรงส่งเหินกายไล่ตามรถม้าไปทันที
แต่ในเวลาเดียวกันนี้เอง มีคนสองคนเหินกายออกมาจากทั้งด้านซ้ายและขวา มาขวางตรงหน้าเขาแบบพอดิบพอดี แล้วแทงดาบยาวในมือเข้าใส่เขาอย่างพร้อมเพรียง
"รนหาที่ตายนัก!" เฉินซ่ายกฝ่ามือทั้งสองขึ้น แล้วซัดออกข้างละคน ทั้งสองล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง ร่างกระตุกเพียงสองครั้งก่อนจะตายสนิท แต่ชั่วขณะที่ชะงักไปนี้ อย่างน้อยพวกนั้นก็ยังขัดขวางระดับความเร็วในการไล่ตามของเฉินซ่าลงไปได้บ้าง
เวลาที่คนร้ายเลือกใช้ลงมือพอดิบพอดีมาก พวกเขากำลังเริ่มผ่อนคลาย หยุดรถพักม้า คนส่วนใหญ่ก็ไปที่ลำธารกันหมด เขาไม่ได้ลักพาตัวคนไป แต่บังคับเอารถม้าไปทั้งคัน ความเร็วในลักษณะนี้ย่อมเร็วกว่ามาก แน่นอนว่า อีกเหตุผลหนึ่งคือความสามารถในการบังคับม้าของเขา ม้าที่ลากรถม้าหนัก ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นม้าที่ฉลาด ไม่ใช่ประเภทที่ใครบังคับก็จะออกวิ่งอย่างเชื่อฟังทันที แต่เมื่อครู่ม้ากลับวิ่งทะยานออกไปราวกับเชื่อฟังคำสั่งของทหาร ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่ปกติเอามาก ๆ
หลังจากที่อวิ๋นหลุดจากอาการตกใจและโกรธเคืองแล้ว ก็รีบสะบัดอามู่ออกแล้วไล่ตามไปทันที พวกเขายังคุยกันอยู่ว่าการที่อามู่มาที่นี่ ไม่ใช่ว่าเขาจะยิ่งดูน่าสงสัยขึ้นกว่าเดิมหรอกหรือ? สถานที่ก็เป็นเขาเลือก คนที่บอกว่ามีลำธาร แล้วเชิญให้ฝ่าบาทลงมาจากรถก็เป็นเขาอีก!
ใบหน้าของอามู่ซีดเผือด ทันทีที่หันหลังกลับไปมอง ก็เห็นฉงอ๋องโฉบผ่านข้างตัวนางไป
"โจวเอ๋อร์! ระวังด้วยนะ คนคนนั้นไม่ธรรมดา!" ซวนหยวนอี้ร้องเตือนมาจากด้านหลัง
พวกชิวชิ่นเซียนพากันวิ่งเข้ามา ต่างรู้สึกตกใจและเป็นกังวล
"ใครกันแน่ที่หาญกล้าบุกมาชิงตัวจักรพรรดินีแบบนี้!" ชิวชิ่นเซียนเหลียวมองไปรอบ ๆ ไม่เห็นเงาร่างของเฉินสิบ ในใจพลันเกิดความกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
"ฝ่าบาทจะต้องพาจักรพรรดินีกลับมาได้แน่!" เอ้อร์หลิงสองมือประสานเข้าด้วยกัน ร้อนใจจนกระทืบเท้าเร่า ๆ
แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่า ครั้งนี้ เฉินซ่าจะไม่สามารถพาโหลชีกลับมาได้
แสงจันทร์ยามค่ำคืนส่องเงาของต้นไม้ ลมหนาวในฤดูใบไม้ร่วงค่อย ๆ พัดกัดกร่อนไปจนถึงกระดูก มีเสียงหมาป่าหอนดังแว่วมาเป็นครั้งคราวจากภูเขาที่อยู่ไกล ๆ ท่ามกลางหุบเขาลึก รถม้าหนึ่งคัน เงาร่างของคนหลายร่าง ไล่ล่าติดตามไปด้วยความเร็วอันน่าเชื่อสำหรับคนธรรมดา
"พวกเรามาขี่ท่าเสวี่ยเฟยเหิน ไล่ตามไปกันเถอะ!"
เทียนยีกับตี้เอ้อร์แค่ผ่อนคลายลงไปชั่วขณะ แต่ว่ากันตามจริง ความเร็วของคนร้ายคนนั้นเร็วเกินไป การเคลื่อนไหวของเขาเร็วเกินไป
กองราชาอสูรเทพวันนี้นับว่าออกแรงเยอะที่สุด ดังนั้นเมื่อครู่เหล่าองครักษ์จึงให้พวกเขาพักผ่อนก่อนโดยไม่รู้ตัว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ กระทั่งกองราชาอสูรเทพก็ไล่ตามไม่ทันเสียแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ