ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 517

รถม้าวิ่งเร็วปานลมกรดสายฟ้าแลบ ซวนหยวนฉงโจวไล่ตามไปเรื่อย ๆ จึงพบว่าถนนเส้นนี้ถูกคนซ่อมแซมจนมีสภาพดีแล้ว ที่นี่เป็นเขตชานเมืองที่รกร้างว่างเปล่าและทุรกันดาร การที่พวกเขาจะพักผ่อน แน่นอนว่าจำเป็นต้องออกจากถนนหลัก พูดตามความจริงย่อมไม่มีใครใช้ถนนเส้นนี้สัญจรไปมาแน่ แต่ตอนนี้พื้นถนนกลับค่อนข้างเรียบ แทบจะไม่มีต้นหญ้า เศษหิน หรือพวกหลุมพวกบ่อที่สามารถขัดขวางหรือทำให้รถม้าสะดุดได้เลย

สิ่งนี้สามารถแสดงให้เห็นว่า คนผู้นี้ได้วางแผนชิงตัวคนไว้อย่างดีมานานแล้ว ทั้งยังกำหนดขั้นตอนทั้งหมดอย่างละเอียดรอบคอบมากด้วย

นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว

ในใจของซวนหยวนฉงโจวก็เกิดโทสะขึ้นมาแล้ว นั่นคือน้องสาวของเขานะ เขายังไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดนาง สร้างความสามัคคีและมิตรภาพอันดีของพี่น้อง ยังไม่เคยสัมผัสช่วงเวลาของการตามตอแยบีบแก้ม ตามลูบหัวน้องสาวในแบบพี่ชายที่ติดน้องสาวเลยสักครั้ง ก็มีคนมาลักพาตัวนางไปเสียแล้ว!

เดิมที โหลชีต้องหลับใหลไปสามวัน ถึงแม้ว่าในใจของพวกเขาจะหวาดหวั่นไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงจำนวนคนมากมายขนาดนี้ที่พามาด้วย ทั้งยังมีเขากับเฉินซ่าอีก ถึงยังไงก็คงไม่ทำให้นางเกิดเรื่องร้ายขึ้นมาได้หรอกกระมัง? แต่ผลที่ออกมากลับคิดไม่ถึงว่า ต่อหน้าต่อตาพวกเขา กระทั่งตัวคนรวมไปถึงรถม้า จะถูกฉกไปได้ง่าย ๆ แบบโต้กลับอะไรไม่ได้เลยแบบนี้

เขาโกรธจนเป็นถึงขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องแสนดีของเขา เจ้าน้องเขยแสนดีนั่นป่านนี้จะรู้สึกอย่างไรบ้างแล้ว

ความรู้สึกของเฉินซ่าน่ะหรือ?

เขาเป็นดั่งสายฟ้าฟาดในคืนอันมืดมิด ไล่ตามรถม้าที่อยู่ข้างหน้าไปอย่างบ้าคลั่ง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต่างแตกตื่นตกใจกับปราณอันเย็นเยียบที่แผ่ออกมารอบ ๆ ตัวเขา จนต้องรีบหลีกลี้หนีไปให้ไกลนับสิบ ๆ ลี้

ระยะห่างระหว่างเขากับรถม้า ห่างกันเพียงสิบฉื่อเท่านั้น เขารู้ว่าอย่างไรเขาก็สามารถไล่ตามได้ทันแน่ ทั้งยังจะตามทันได้เดี๋ยวนี้แล้วด้วย คนผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เขาจะต้องสับมันให้เละเป็นเศษเนื้อแน่!

แต่แล้วในเวลานี้ จู่ ๆ ก็เกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้ง

มีเสียงนกอินทรีร้องอยู่เหนือหัวของพวกเขา ปีกขนาดยักษ์นั่นผงาดเหนือท้องฟ้า เงาสีดำขนาดใหญ่เหมือนดั่งจะปกคลุมท้องฟ้าจนมิด สายลมพัดกระโชกแรง กรีดผ่านผิวเนื้อบนใบหน้าของพวกเขาจนเจ็บแปลบ

"สมควรตาย!"

ทันใดนั้น ในใจเฉินซ่าพลันรู้สึกมีสังหรณ์ไม่ดี เป็นความรู้สึกไม่สบายใจอย่างรุนแรงที่โจมตีใส่เขา กระบี่ดื่มเลือดดีดตัวดัง "ชิ้ง"ขึ้นเสียงหนึ่ง แล้วพุ่งออกจากฝัก เขาวาดมือออกไป ฟาดพลังโจมตีพุ่งตรงไปยังดวงตาของนกอินทรีตัวนั้น

ความเร็วในการไล่ตามของเขาไม่มีถอยหลัง มีแต่พุ่งไปข้างหน้า ทั้งยังเร็วกว่าถึงสามส่วน

คนในรถม้าอุ้มโหลชีออกมา กระโดดขึ้นไปบนหลังคารถม้า เสื้อคลุมถูกลมพัดจนโบกสะบัด รถม้าวิ่งตะบึงอย่างบ้าคลั่ง สั่นโคลงเคลงไปมา เขาอุ้มคนไว้ในอ้อมแขน ทั้งที่ยืนอยู่ข้างบนแต่กลับยืนได้อย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว

เพียงแต่ยามดึกเช่นนี้รอบด้านมืดสนิท จึงมองเห็นหน้าของอีกฝ่ายได้ไม่ชัด แต่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายมีร่างกายสูงใหญ่ เป็นผู้ชายที่ยังหนุ่มอยู่

"เจ้าเป็นใครกัน? วางคนลงเดี๋ยวนี้ ข้าจะละเว้นเจ้าสักครั้ง!"

ซวนหยวนฉงโจวเคยคิดว่าคำพูดเหล่านี้มันฟังดูโง่มาก แต่เขาไม่เคยคิดว่าพอได้เห็นโหลชีถูกคนแปลกหน้าอุ้มไว้ในอ้อมแขน ในใจจะรู้สึกโกรธขนาดนี้ พอควบคุมอารมณ์ไม่ได้จึงตะโกนออกไปแบบนั้น

แต่ใบหน้าของเฉินซ่ากลับเต็มไปด้วยแววเย็นเยียบ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว จู่ ๆ ก็ทะยานร่างขึ้นไปทันที ก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวร่างก็เหินเข้าไปใกล้รถม้าจนแทบจะทิ้งตัวลงบนหลังคาได้แล้ว

"ฮะ ๆ"

ท่ามกลางลมหนาว ชายหนุ่มคนนั้นพลันหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมา "จักรพรรดิแห่งแคว้นต้าเซิ่ง รัชทายาทแห่งราชวงศ์เฉิน วิชาตัวเบาช่างร้ายกาจอย่างที่คิดไว้จริง ๆ"

เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเขาที่ไม่มีความรู้สึกตึงเครียดเลยแม้แต่น้อย หัวใจของเฉินซ่าพลันหนักอึ้งจมดิ่งอย่างรุนแรง เขาตามมาทันแล้วแท้ ๆ ภายใต้สถานการณ์ปกติ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควรจะวิตกกังวลบ้างถึงจะถูก แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีแบบนั้นเลย ในทางกลับกันยังดูเหมือนมั่นใจว่าตัวเองกำชัยชนะไว้ในมือแน่นอนแล้วด้วย นี่แสดงให้เห็นได้แค่ว่า ----

เขามั่นใจแล้วว่าตัวเองคือผู้ที่กำชัยชนะไว้ในมืออย่างแท้จริง!

นกอินทรีตัวนั้น!

"จักรพรรดิมีการตอบสนองที่รวดเร็วดีมาก แต่น่าเสียดายนะ เจ้าเติบโตขึ้นมาในแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง สิ่งที่รู้ที่เห็นมาจึงมีจำกัด หากเจ้าเติบโตในราชวงศ์เฉิน นั่นจะต้องกลายมาเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ สามารถประมือกับข้าได้อย่างเท่าเทียมกันแน่ ช่างน่าเสียดายนัก"

ชายคนนั้นถอนหายใจเบา ๆ พริบตาที่เฉินซ่ายื่นมือเข้ามา หมายจะคว้าตัวโหลชีที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา ร่างคนทั้งร่างก็พลันเหินบินขึ้นฟ้าไปตรง ๆ เสียงหวีดแหลมดังขึ้นเสียงหนึ่ง นกอินทรีตัวนั้นพุ่งทะยานเข้ามา เขาอุ้มโหลชีกระโดดขึ้นไปบนหลังนกอินทรี เงาร่างของนกอินทรีตัวนั้นดุจดั่งก้อนเมฆดำทะมึน เพียงชั่วพริบตาก็บินออกไปจนไกลลิบ

ม้ายังคงวิ่งตะบึงไปอย่างบ้าคลั่ง เฉินซ่ายืนนิ่งอยู่บนรถม้า เย็นเยียบไปทั้งร่าง

เขา ถึงกับปล่อยให้มีคนมาแย่งชีชีไปต่อหน้าต่อตาเขาได้

"เฮ่อ! เหลียน! เจี๋ย!"

ซวนหยวนฉงโจวกระโดดขึ้นไปบนรถม้า คว้าบังเหียนมาคุมรถ ได้ยินเขาพูดสามคำนี้ลอดออกมาจากไรฟันที่ถูกขบกัดดังกรอด ๆ ก็ตกใจจนผงะ : "คนจากราชวงศ์เฮ่อเหลียน?"

เฉินซ่าไม่ตอบ ดวงตาจ้องมองตามเงาร่างสีดำสายนั้นที่บินจากไปไกลจนตามไม่ทันแล้ว รู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองเย็นจัดจนแทบจะถูกแช่แข็งให้ได้แล้ว

"ไม่ต้องตามแล้วล่ะ"

"เจ้าว่าอะไรนะ?" ซวนหยวนฉงโจวถึงกับตกใจจนผงะ แต่เมื่อเหลือบสายตาขึ้นไปดูนกอินทรีที่เวลานี้ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว ก็ทำได้แค่ดึงสายรัดบังเหียนไปเงียบ ๆ

คนอื่นต่างก็ไล่ตามมาจนถึงที่นี่ แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ชั่วขณะนั้นก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียง

สีหน้าท่าทางของฝ่าบาท ช่างทำให้ใครที่ได้เห็นรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก

"ฝ่าบาท เป็นใครหรือ?"ซวนหยวนอี้ขมวดคิ้วมุ่น หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถามขึ้นมา

"เฮ่อเหลียนเจี๋ย"

เฉินซ่ากระโดดลงจากหลังคารถ ใช้มือข้างหนึ่งเปิดผ้าม่าน ก็เห็นวู๊วูนอนขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง ที่ลำคอมีเข็มสีเงินเล่มหนึ่งปักอยู่ เขาดึงเข็มเงินออก วู๊วูกระโดดแผล็วขึ้นมาทันที

เมื่อเห็นเขา วู๊วูก็สะบัดหัวไปมาเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง "วู๊วๆ! วู๊วๆ!"

แววตาของเฉินซ่าราวกับมีแผ่นน้ำแข็งคมกริบเย็นเยียบ จมดิ่งลึกอยู่ในคลองตา "เจ้าตามทันรึ?"

วู๊วูดูคล้ายลังเลไปชั่วขณะ แต่ก็พยักหน้ารับทันที ท่าทางแบบนั้นช่างเหมือนนักรบที่ทำการตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยความมุ่งมั่นจริง ๆ

"ไป"

ยิ่งนางพูดมากเท่าไหร่ เอ้อร์หลิงก็ยิ่งร้องไห้มากขึ้นเท่านั้น

ท่ามกลางการเดินทางที่รวดเร็วปานลมกรดกับสายฟ้าแลบ ภายในรถม้าคันแรก เฉินซ่าถามซวนหยวนอี้ด้วยน้ำเสียงหนักอึ้งจริงจังว่า "สุสานของตระกูลโหลมีความพิเศษอย่างไร?"

เมื่อได้ยินว่าจู่ ๆ เขาก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา ซวนหยวนอี้ก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ : "เฮ่อเหลียนเจี๋ยนัดพบท่านที่สุสานตระกูลโหลอย่างนั้นรึ?"

"อือ"

"ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องของสุสานตระกูลโหลชัดเจนนักหรอก แต่ข้าพอจะจำได้ว่าพี่ใหญ่เคยพูดไว้ว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยบุกเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่งของบ้านตระกูลโหล ตอนนั้นโหลเหล่าไท่จวินทะเลาะกับเขาจนถึงขั้นแตกหักกันไปข้าง ไม่รู้ว่านั่นจะเป็นสุสานตระกูลโหลหรือไม่"

ซวนหยวนฉงโจวพูดว่า: "ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน พวกเราก็บุกเข้าไปหมดนั่นล่ะ พอดีว่า เราจะไปช่วยฮ่วนเทียนที่บ้านตระกูลโหลด้วย"

ฮ่วนเทียน.....

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกเขาสนิทสนมกันถึงขนาดนี้?

แต่เฉินซ่าในเวลานี้ไม่ได้อยู่ในอารมณ์สนอกสนใจอะไรแบบนั้น แค่พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: "จากนี้เราจะเดินทางกันด้วยความเร็วระดับเต็มที่ ถ้ามีใครมาขวางอีก----" ไอสังหารของเขาพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง "ฆ่าให้หมด"

......

นกอินทรีโฉบลงมา ชั่วขณะที่ร่างใกล้จะถึงพื้น ชายหนุ่มก็อุ้มโหลชีกระโดดพลิ้วกายร่อนลงพื้นไปอย่างเงียบเชียบ ชุดคลุมสีขาวนวลดั่งแสงจันทร์ ขับเน้นให้คนทั้งคนราวกับแสงจันทร์อันสว่างไสว ขาวกระจ่างแต่ไม่บาดตา

ด้านข้างภูเขาและป่าไม้อันสวยงาม มีรถม้าธรรมดาที่ดูไม่เด่นสะดุดตาคันหนึ่ง หยุดลงบนถนนเส้นหลักอย่างกะทันหัน มีคนสองนั่งอยู่ที่ส่วนหน้าของรถ เมื่อได้ยินเสียงก็กระโดดลงไปทันที

"นายท่าน" ชิงยีก้าวขึ้นไปข้างหน้า ทำท่าจะยื่นมือออกไปรับตัวหญิงสาวที่หลับใหลอยู่ แต่อีกฝ่ายกลับเบี่ยงตัวหลบเพื่อหลีกเลี่ยง

"ข้าจะอุ้มนางขึ้นรถเอง รีบออกเดินทางเดี๋ยวนี้" เฮ่อเหลียนเจี๋ยอุ้มโหลชีเข้าไปในรถม้า รถม้าคันนี้ถ้าดูจากภายนอกก็จะธรรมดา ไม่เด่นสะดุดตาอะไร แต่ภายในกลับตกแต่งจัดวางของจำเป็นไว้อย่างประณีตครบครัน ปูด้วยเบาะรองแบบหนา ที่มุมหนึ่งจุดธูปกำยานที่ส่งกลิ่นหอมจาง ๆ

เขาวางโหลชีไว้ข้างใน มองดูนางที่ยังคงหลับสนิทไม่รู้อะไรเลย จู่ ๆ ก็ยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ "ฮะ ๆ จู่ ๆ ข้าก็แทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นท่าทางของเจ้า ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบข้าว่าจะทำหน้าตาอย่างไรเสียแล้วสิ"

เขาใช้สามนิ้วแตะที่ชีพจรของโหลชีเบา ๆ จากนั้นไม่นานกลับทอดถอนใจออกมา "ทำไมถึงได้ทำจนพลังปราณที่ขับเคลื่อนโลหิตตัวเองว่างเปล่าได้ถึงขนาดนี้นะ? ดูไปแล้ว เหมือนว่าผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้รักใคร่หวงแหนเจ้าสักเท่าไหร่เลยนี่"

ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร แน่นอนว่าโหลชีย่อมไม่รับรู้อะไร ทั้งยังไม่สามารถตอบสนองใด ๆ ได้ทั้งนั้น นางแค่นอนหลับอย่างเงียบ ๆ ลมหายใจแผ่วเบาแต่มั่นคง มีท่าทางเหมือนนอนหลับได้สนิทดีมาก

เฮ่อเหลียนเจี๋ยจ้องมองนางอยู่นานมาก ค่อยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นาง ส่วนตัวเองขยับไปนั่งอีกด้าน จู่ ๆ ก็ไอออกมาสองครั้ง เลือดลมตีสวนพุ่งขึ้นมากะทันหัน

"นายท่าน ท่านเป็นอะไรไป?" ด้านนอกมีเสียงของชิงยีถามขึ้นมาอย่างเป็นห่วง

เฮ่อเหลียนเจี๋ย กดกระแสเลือดลมที่พลุ่งพล่านนี้ลงไป พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า "ไม่เป็นไร แค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยจากการฝืนบังคับควบคุมสัตว์ร้ายเมื่อครั้งก่อน"

นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขา โชคยังดีที่ สุดท้ายแล้วเจ้าเหยี่ยวปีกสั้นตัวนั้นก็ช่วยงานเขาจนสำเร็จลงได้ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายได้อย่างแท้จริง ดังนั้น เมื่อมาถึงที่นี่แล้วนกอินทรีหนีไป เขาก็ไม่มีทางจะรั้งมันไว้ได้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ